Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
สอนสนุกมากครับ ❤❤❤
สวัสดีค่ะ คุณรินค่ะ อยู่ปัตตานีค่ะ😅😅
ขอบคุณครับอาจารย์
ชัดเจนดีครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณค่ะ🙏🏻💗 ติวเตอร์สอนดีมากค่ะ พูดจาฉะฉาน รู้จักใช้การเน้นเสียง
เสียงคลิปดังดีครับ
ตั้งเป็นตุ๊กตาได้ไหมครับ
นาทีที่42 ติวเตอร์อธิบายผิด สับสนในเจตนาของจำเลย และบิดาจำเลยมีเจตนาแย่งปืนเพื่อทำร้ายบิดา แต่บิดามีเจตนาป้องกันภยันตรายที่จะถูกแย่งปืนได้ แต่ไม่ได้เจตนาฆ่าจำเลย
จำเลยไม่ได้ประมาท แต่โจทก์ก็ไม่ประมาทเช่นกัน แต่โจทก์มีเจตนาทำร้ายบิดา จึงเข้ามาแย่งปืน แต่กระสุนปืนลั่นในภาวะฉุกละหุก จึงไม่อาจบังคับให้เหตุการณ์เป็นไปตามเจตนาได้
ตามฎีกาที่ 17391/2557 นั้นจำเลย คือ บิดานะครับ จำเลยกำลังจะช่วยบุตรของตนเอง จริงอยู่ว่าโจทก์ คือ ผู้ก่ออภัย เพราะกำลัง กระทำภยันตรายต่อบุตรของจำเลยแต่ฎีกานี้การจะไปอ้าง ป้องกัน ซึ่งเป็นกฎหมายยกเว้นโทษ และอยู่ในโครงสร้าง ความรับผิดทางอาญาข้อที่ 2 แต่อย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยจะต้องผ่านโครงสร้างความรับผิดทางอาญาข้อที่ 1 กล่าวคือการกระทำนั้นต้องครบองค์ประกอบตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดนั่น ก็คือ จำเลยจะต้องกระทำความผิดโดยเจตนาหรือมิเช่นนั้นต้องกระทำโดยประมาทและการจะอ้างป้องกันได้จะต้องมาจากการกระทำความผิดโดยเจตนาเท่านั้นเมื่อฎีกานี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ประมาทเพราะการที่กระสุนปืนลั่นไปนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของโจทก์ที่เข้ามายื้อแย่งปืนเป็นเหตุให้ปืนลั่นไปถูกผู้อื่นแต่การกระทำดังกล่าวก็มิได้เริ่มต้นจากการกระทำโดยเจตนาของจำเลยเพราะศาลฎีกาก็วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ประมาทและก็จะถือว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาก็ไม่ได้เพราะจำเลยประสงค์จะเพียงเอาอาวุธปืนมาข่มขู่มิให้โจทก์ รุมทำร้ายบุตรของจำเลย แต่จากฎีกากลับตอบว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุซึ่งการที่ฎีกาจะมาอ้างเรื่องการป้องกันตามมาตรา 68 68 ได้ศาลฎีกาก็ต้องเริ่มต้นวินิจฉัยตั้งแต่ว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือทำร้ายเสียก่อนเมื่อฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ประมาทและ ไม่เจตนาจึงทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในผลสุดท้ายของฎีกาว่าทำไมการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุได้จุดนี้จึงเป็นจุดที่ติวเตอร์พยายามชี้ให้เราเห็นครับ
@@OhmsLawTutor ขอบคุณอาจารย์มากครับ
ถ้าเขาเอาชื่อ รหัสแบงค์ รหัสบริษัทขทงเราที่มีชืีอตัองเสียภาษี ไปทำเรื่องผิดกฏหมายโดยที่เราไม่เคยรู้ จะตัองทำอย่างไรค่ะ
ต้องไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจท้องที่ เกิดเหตุเพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ต้องดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้ครับ
สอนสนุกมากครับ ❤❤❤
สวัสดีค่ะ คุณรินค่ะ อยู่ปัตตานีค่ะ😅😅
ขอบคุณครับอาจารย์
ชัดเจนดีครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณค่ะ🙏🏻💗 ติวเตอร์สอนดีมากค่ะ พูดจาฉะฉาน รู้จักใช้การเน้นเสียง
เสียงคลิปดังดีครับ
ตั้งเป็นตุ๊กตาได้ไหมครับ
นาทีที่42 ติวเตอร์อธิบายผิด สับสนในเจตนาของจำเลย และบิดา
จำเลยมีเจตนาแย่งปืนเพื่อทำร้ายบิดา แต่บิดามีเจตนาป้องกันภยันตรายที่จะถูกแย่งปืนได้ แต่ไม่ได้เจตนาฆ่าจำเลย
จำเลยไม่ได้ประมาท แต่โจทก์ก็ไม่ประมาทเช่นกัน แต่โจทก์มีเจตนาทำร้ายบิดา จึงเข้ามาแย่งปืน แต่กระสุนปืนลั่นในภาวะฉุกละหุก จึงไม่อาจบังคับให้เหตุการณ์เป็นไปตามเจตนาได้
ตามฎีกาที่ 17391/2557 นั้น
จำเลย คือ บิดานะครับ จำเลยกำลังจะช่วยบุตรของตนเอง จริงอยู่ว่าโจทก์ คือ ผู้ก่ออภัย เพราะกำลัง กระทำภยันตรายต่อบุตรของจำเลย
แต่ฎีกานี้การจะไปอ้าง ป้องกัน ซึ่งเป็นกฎหมายยกเว้นโทษ และอยู่ในโครงสร้าง ความรับผิดทางอาญาข้อที่ 2
แต่อย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยจะต้องผ่านโครงสร้างความรับผิดทางอาญาข้อที่ 1 กล่าวคือการกระทำนั้นต้องครบองค์ประกอบตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดนั่น ก็คือ จำเลยจะต้องกระทำความผิดโดยเจตนาหรือมิเช่นนั้นต้องกระทำโดยประมาทและการจะอ้างป้องกันได้จะต้องมาจากการกระทำความผิดโดยเจตนาเท่านั้น
เมื่อฎีกานี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ประมาทเพราะการที่กระสุนปืนลั่นไปนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของโจทก์ที่เข้ามายื้อแย่งปืนเป็นเหตุให้ปืนลั่นไปถูกผู้อื่นแต่การกระทำดังกล่าวก็มิได้เริ่มต้นจากการกระทำโดยเจตนาของจำเลยเพราะศาลฎีกาก็วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ประมาทและก็จะถือว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาก็ไม่ได้เพราะจำเลยประสงค์จะเพียงเอาอาวุธปืนมาข่มขู่มิให้โจทก์ รุมทำร้ายบุตรของจำเลย
แต่จากฎีกากลับตอบว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุซึ่งการที่ฎีกาจะมาอ้างเรื่องการป้องกันตามมาตรา 68 68 ได้ศาลฎีกาก็ต้องเริ่มต้นวินิจฉัยตั้งแต่ว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือทำร้ายเสียก่อนเมื่อฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ประมาทและ ไม่เจตนาจึงทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในผลสุดท้ายของฎีกาว่าทำไมการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุได้จุดนี้จึงเป็นจุดที่ติวเตอร์พยายามชี้ให้เราเห็นครับ
@@OhmsLawTutor ขอบคุณอาจารย์มากครับ
ถ้าเขาเอาชื่อ รหัสแบงค์ รหัสบริษัทขทงเราที่มีชืีอตัองเสียภาษี ไปทำเรื่องผิดกฏหมายโดยที่เราไม่เคยรู้ จะตัองทำอย่างไรค่ะ
ต้องไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจท้องที่ เกิดเหตุเพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ต้องดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้ครับ