การปฐมสังคายนา หลังพุทธปรินิพพาน สู่จุดเปลี่ยนทางพุทธศาสนา I ประวัติศาสตร์นอกตำรา EP.215
Вставка
- Опубліковано 9 лют 2025
- การทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก หรือปฐมสังคายนาเริ่มต้นขึ้น ณ กรุงราชคฤห์ หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานผ่านพ้นไปราว 3 เดือน โดยประกอบไปด้วยพระอรหันต์ 500 รูป ที่มีพระมหากัสสปะเป็นองค์ปุจฉา พระอุบาลีเป็นผู้ตอบในส่วนของพระวินัย ขณะที่พระอานนท์เป็นผู้ตอบในเรื่องพระสูตร
การสังคายนาคราวนั้น พระอานนท์ยังได้แจ้งต่อที่ประชุมสงฆ์ด้วยว่า เมื่อครั้งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา พระองค์ทรงมีพุทธานุญาตให้เหล่าสงฆ์สามารถเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ เป็นจุดเริ่มต้นของความเห็นที่แตกต่างของเหล่าคณะสงฆ์ว่า สิกขาบทใดเป็นสิกขาบทเล็กน้อยกันแน่
ในที่สุดพระมหากัสสปะจึงได้ประกาศขอมติที่ประชุมที่จะไม่เพิกถอน และเพิ่มเติมสิกขาบทใด ๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว
เรื่องพุทธานุญาตให้สามารถเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้นี้ ได้กลายมาเป็นประเด็น 1 ใน 5 เรื่อง ที่ทำให้พระอานนท์ถูกกล่าวโจทก์โทษอาบัติทุกกฎ ในที่ประชุมพระอรหันต์ทั้ง 499 รูป
ที่น่าสนใจคือ ในการกล่าวโทษพระอานนท์ครั้งนั้นมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นสตรีอยู่มากที่สุดถึง 3 ประเด็น ได้แก่ การอนุญาตให้สตรีเข้าถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคก่อน การปล่อยให้น้ำตาของสตรีร่วงหล่นลงบนพระสรีระของพระพุทธเจ้า และการขวนขวายให้สตรีเข้าบวชในพระพุทธศาสนาได้
ผศ.ดร.นพ.มโน เลาหวณิช หรืออดีตพระเมตตานันโทภิกขุ ผู้เขียน "เหตุเกิด พ.ศ.1" หนังสือต้องห้ามแห่งวงการพุทธศาสนา เชื่อว่าการปฐมสังคายนาทำให้ภิกษุณีเริ่มอ่อนแรงลง รวมทั้งเงื่อนไขต่าง ๆ เกี่ยวกับการบวชภิกษุณีเกิดขึ้นภายหลังการกำเนิดขึ้นภิกษุณีสงฆ์ และหลังการพุทธปรินิพพานไปแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ถูกแต่งเติมขึ้นเมื่อครั้งการทำปฐมสังคายนา
เมื่อการปฐมสังคายนาเสร็จสิ้นลง อันนับเป็นจุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาเถรวาท แต่ทว่าสัญญาณแห่งการขัดแย้งทางความคิดก็เริ่มปรากฏเค้าลางขึ้นพร้อม ๆ กัน เมื่อพระปุราณะพร้อมด้วยสงฆ์ 500 รูป จากทักขิณาคีรีชนบททางตอนใต้ เดินทางมาถึงเวฬุวันวิหารในเขตกรุงราชคฤห์ และได้รับแจ้งจากบรรดาเหล่าพระเถระว่า
บัดนี้การทำปฐมสังคายนาได้เสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ยึดถือตามที่ได้มีการสังคายนากันมา แต่ทว่าได้รับการปฏิเสธจากพระปุราณะที่ยืนยันจะยึดถือตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเฉพาะตามที่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น
ราว 100 ปี ต่อมา ประเด็นความขัดแย้งเรื่องข้อวินัยปฎิบัติครั้งสำคัญก็ได้เกิดขึ้นที่แคว้นวัชชี
ขณะนั้นมีภิกษุกลุ่มใหญ่ต่างยึดถือแนวปฏิบัติที่ขัดแย้งต่อพระธรรมวินัย 10 ประการที่มีมาแต่เดิม จนนำมาสู่เหตุการณ์สังคายนาครั้งที่ 2 โดยพระสงฆ์ 700 รูป และมีการกล่าวโทษรวมทั้งชำระความผิดของบรรดาภิกษุที่ละเมิดวินัย
คัมภีร์ทีปวงศ์และพระอรรถกถาวัตถุ เขียนขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 9-10 ในลังกา กล่าวถึงเหตุการณ์ในคราวนั้นว่า ภิกษุที่ถูกกล่าวโทษจำนวนมากได้รวมตัวกัน 10,000 รูป แยกไปทําสังคายนากันเองเมืองกุสุมปุระ เรียกว่า “มหาสังคีติ” หรือ การสังคายนาครั้งใหญ่
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พุทธศาสนาก็แตกออกเป็น 2 นิกาย คือนิกายของสงฆ์กลุ่มใหญ่ เรียกว่า “มหาสังฆิกะ” และนิกาย "สถวีรวาท หรือเถรวาท" อันหมายถึง ถ้อยคำของพระเถระ ซึ่งยึดถือตามมติเดิมที่ทำมาตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนา
เรื่องราวของพุทธศาสนายังคงดำเนินต่อไป ซึ่งไม่นานนัก นิกาย “มหาสังฆิกะ” ก็ได้แตกออกเป็น 5 นิกาย ขณะที่มีอีก 11 นิกายแยกตัวออกไปจากเถรวาท เรียกว่า "พุทธฝ่ายอาจริยวาท"
ในช่วงระยะเพียงราว 200 ปี หลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพาน ขณะนั้นพุทธศาสนาได้เกิดสำนักต่าง ๆ ขึ้นมากถึง 18 นิกาย
พุทธศาสนายังคงมีพัฒนาการและดำรงอยู่ในอินเดียต่อมาอีกยาวนานนับพันปี ท่ามกลางการเกิดขึ้นของนิกายใหม่ ๆ เช่น พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และพุทธศาสนาแบบตันตระ
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยภายในและภายนอกทำให้พุทธศาสนาเริ่มอ่อนแรงลง จนกระทั่งในราวพุทธศตวรรษที่ 17 ก็สูญสิ้นไปจากอินเดีย
การเอาคนๆเดียวมาสัมภาษณ์ชี้นำพระไตรปิฎกไม่เหมาะควรอย่างยิ่งเพราะใช้อคติใช้ความพอใจไม่พอใจของตนวิเคราะห์บนพื้นฐานแห่งความคิดของตนเองล้วนๆ ควรจะเอาผู้เชี่ยวชาญถึงพร้อมด้วย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท มาให้ข้อมูลบนพื้นฐานแห่งการไม่มีอคติ จึงเหมาะสม ขอเราชาวพุทธจงใช้หลักกาลามสูตร ไตร่ตรองพิจารณาให้รอบคอบ พึงใช้โยนิโสมนสิการอย่างยิ่งยวด อย่าให้ใครชี้นำ
ใช่เลยครับ ถือว่าไม่รอบคอบ
งานทางประวัติศาสตร์เขาอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ไม่ใช่เอาเรื่องด้านเดียวมาเป็นข้อสรุป😂
ท่าน ปอ ปยุตโต ต้องเคยไปถ้ำสัตบรรณมาแล้วแน่นอน แล้วไม่สงสัยเหรอว่า สามารถจุคนได้ถึง 500 คนหรือไม่
ใช่ครับถูกต้องต้องใช้ข้อมูลรอบๆด้าน ผมสังเกตุนายแพทย์ท่านนี้ มีลักษณะเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่มีใครเก่งกว่าใครในเรื่องประวัติศาสตร์ ท่านนี้ลักษณะคล้ายๆ นาย สุจินต์ วงศ็้ทศ ที่บอกว่าตัวเองเก่งรู้ทุกเรื่องเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นไปจนไปด้วยค่าความคิดเห็นของคนอื่น ผมติดตาม ช่องประวัติศาสตร์นอกตำรามานานและพบเจอเอาคนลักษณะนี้มาออกหลายครั้ง
เราเป็นเพียงบุคคลธรรมดาจะรู้ จะเข้าใจพระองค์ พระอริยสงฆ์พระอรหันต์500 พระองได้ยังไง.อย่าสงสัย จงปฏิบัติและจะเห็นเอง
ขัดใจกับซีรีส์นี้ครับ
เหมือนนำเสนอความเห็น ของคน ๆ เดียว ทั้งที่ข้อมูลมีหลายด้าน
ครับ เวลาเอาความเห็นของคนมาใส่ มาควรมีหลากหลายให้คนฟังพิจารณา แต่อันนี้ดูเหมือนมายัดเยียดสรุป
@@user-ru6nc5rz6oไม่ได้ยัดเยียดไรนะสำหรับผม เพราะว่าเอาข้อมูลจากหนังสือที่ถูกแบนในไทยด้วยซ้ำ
ถ้าเรายึดติดกับความเชื่อตัวเองถูกต้องเสมอ ก็ปฏิเสธความคิดใหม่ๆของคนอื่นอยู่เสมอ
ผู้พูดไม่รู้จัก "อภิญญา ๖" "ปฏิสัมภิทามรรค ๔"
ผมไม่เคยสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แม้นไครจะนำเสนอในรูปแบบความคิดเห็นใดก็แค่ความเห็นปุถุชนผู้ยังครุครุ่นด้วยกิเลสหนา ธรรมของพระพุทธเจ้ามีอริยสัจเป็นที่สุด ไครทำได้ก็ล้วนบรรลุทุกคน สาธุ อย่ามัวมานั่งสงสัยเลยเวลาของเราๆท่านๆมีไม่มากเท่าใดนัก
อาจารย์สึกออกมาดีแล้วครับ ดีต่อตัวอาจารย์ด้วย ดีต่อพระศาสนาด้วย
ทำไมครับ พูดความจริงเเล้ว ไม่ดีตรงไหน
@@Ks-ml3hn ความจริงตรงไหนครับเนี่ย ข้อสันนิษฐานทั้งนั้น มันน่ากลัวตรงนี่แหละ ทำให้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่สันนิษฐานสาเหตุการปรินิพพานตอนที่แล้วแล้ว
เห็นด้วยครับ ไม่ชอบการแสดความคิดเห็น
ท่านเป็นหนอนในนาข้าวแห่งพระพุทธศาสนามาทุกภพทุกชาติจริงๆ
ถ้าจะทำด้วยเจตนาดี ทำไมไม่ไปถามปอประยุทธ์ ท่านมีคุณธรรมและมีความรู้จริงไม่มโนคิดเอง และท่านการันตีได้ว่าพุทแท้100%ของมันดีอยู่แล้วจะมาทำเพื่ออะไร มีเจตนาอะไร?
หาความจริงไม่ได้เพราะผ่านมาแล้วนานมากจะเอาอะไรมาจริงมาพิสูจน์เอาสิ่งที่ท่านสอนมาพิสูจน์ในปัจจุบันจะเห็นว่าสิ่งที่ท่านสอนคือสิ่งที่เป็นที่สุดพิสูจน์ได้จริง ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา สาธุ
แล้วรู้ได้ไงคำสอนในปัจจุบันเป็นคำสอนจริง เชื่อได้ไง เขียนเองรึเปล่าก็ไม่รู้
@@zscism ท่านอยากพิสูจน์หรือเปล่า เอาอย่างนี้ เอาบทสวดปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยตา อันนี้เป็นของแท้แน่นอนพิสูจน์ยังไง เวลาเพื่อนสนิทมิตรสหายพ่อแม่พี่น้องเกิด เจ็บใกล้ตายหรือเสียชีวิต ให้ฟังอันนี้ก่อนสิ้นชีวิตแล้วท่านจะรู้ว่า อันนี้เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า แล้วก็เอาไปเทียบดูบันทึกไว้ กับศพที่ไม่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้ามาเทียบกันดูว่าเป็นอย่างไร ถ้ามีมิจฉาทิฏฐิ ก็คงไม่ทำ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ เป็นที่ตั้งจะได้ผลเป็นอย่างมาก แล้ว จะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้า มีคำสอน ที่ไม่เหมือนสาวกแต่งใหม่ แล้วค่อยศึกษาต่อไปว่าอันไหนจริงอันไหนแท้ เรื่องก็มีด้วยประการราชินี สาธุสาธุ
@@zscism เอาหลักธรรมจริงๆ ที่มุ่งเน้นเรื่องการทำดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั่นแหละดีที่สุดแล้ว
ฟังนานแล้วท่านด็อกเตอร์พอแล้ว
@@dddaay1114อันนี้ก็พิสูนจ์ไม่ได้หรอก มั่วไปอีก ไม่มีใคร พิสูจน์ไรได้
ปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนามีมากมาย ท่านป อ ปยุตฺโตก็เป็นคนหนึ่งที่เขียนเรื่องการสังคยานาเอาไว้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมรายการถึงฟังความข้างเดียวแล้วก็ไปเอาใครไม่รู้มาอุปโลกน์ว่าเป็นผู้รู้เล่าเป็นตุเป็นตะ รู้สึกเสียดายคิดว่ารายการน่าจะทำได้ดีกว่านี้ หากใครสนใจเรื่องนี้เพิ่มเติมลองไปอ่านหนังสือ ตื่นกันเสียที จากความเท็จ ของหนังสือ "เหตุเกิด พ.ศ.๑" ของท่านป อ ปยุตฺโตครับ ท่านเขียนเปิดโปงความผิดเพี้ยนของหมอมโนเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
เห็นด้วยมากมายครับ
""
เหมือนคน ค้านโลก ค้านธรรม ยังไงชอบกล นะหมอ..
เจือไปด้วยอคติ ยัดเยียด ด้อยค่า พระมหากัสสปะ ที่พระศาสดา ยังทรงยกย่อง
อวิชชา คือความไม่รู้ หรือเลือกรับรู้แต่เรื่องที่ชอบคนที่ชอบเท่านั้น
พระธรรมวินัย ตอนนี้ก็ยังอยู่พวกท่านไม่ควรไปหาต้นตอหรอกว่าใครผิดใครถูกอดีตมันก็คืออดีต อยู่กับปัจจุบันเถิดครับ ถ้าหากพวกท่านศึกษากันจริงๆ พุทธพจน์ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่าตั้งแต่ตรัสรู้ยันปรินิพพานคำพูดของพระองค์ไม่ขัดแย้งกัน และสามารถตรวจสอบได้ทุกกาลเวลา และถ้าไม่เข้าใจก็คำไหนใช่หรือไม่ใช่พุทธพจน์ก็สามารถตรวจสอบได้ตามหลักมหาประเทส4 แค่ก็สามารถรู้และดูออกได้ว่า อันไหนพุทธพจน์ อันไหน คำแต่งเสริม การจะไปว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ไปทำปฐมสังคายนาก็ไม่สมควร ท่านเป็นพระอรหันต์และอีกอย่างพระที่มาประชุมก็เป็นพระที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นเลิศด้านใดด้านหนึ่ง
ดูจะเป็นการนำเสนอความเห็น ไม่ใช่ข้อมูลที่จะวิจัยต่อไปได้ ยังไงก็ขอขอบคุณในข้อมูลทั้งหลายครับ.
เยี่ยมครับ เอาความจริงอีกด้านมาให้ขบคิด ไม่ใช่พอเป็นเรื่องศาสนาแล้วหัวหด
ชี้แนะด้วยเหตุและผลของความจริงดีมากชอบ
น้อมกราบระลึกถึงองศ์พระพุทธเจ้า และขอเอาพระธรรมของพระองศ์เป็นที่พึงใน ชีวิตตลอดไปสาธุ
สาธุ
บุคคลกำังจะทำกระกรรมหนักเสียแล้วช่างน่าสมเพชบุคคลผู้ถืออัตตาเป็นใหญ่กระทำการจ้วงจาบพระอรหันต์...ผู้บริสุทธิ์
ผมขอให้กำลังใจทีมงานทุกคนครับ ถ้าพิจารณาให้ละเอียดก่อนนะ ผมว่าได้แง่คิด มุมมองใหม่ๆให้ตัวเองได้เลย เยี่ยมครับ
ถ้าเอาคนเลื่อมใสในพุทธศาสนาแบบไม่ลืมหูลืมตามาดีเบทด้วยคงสนุกน่าดู ปล.ชอบตอนแบบนี้ค่ะ ทำให้คิดและมีสติมากขึ้น งมงายน้อยลง
อะไรคือเลื่อมใสทางศาสนาแบบไม่ลืมหูลืมตาครับ อะไรคือสติมากขึ้น งมงายน้อยลงครับ
นั่นสิคับ ทำไมเงียบ ไม่ตอบคำถามพี่เขาล่ะ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน
@@user-ru6nc5rz6o
ภิกษุ ทำเดรัจฉานวิชา ได้ปะคับ?
เห็นคนเค้าเลื่อมใสกันมากๆเลยคับ? ภิกษุที่ทำ เดรัจฉานวิชา 😁😅🤣😂
อะไร อะไร ที่เลื่อมใสมีเต็มประเทศ กาลาแลน มากๆเลยคับ 😬😁😄😊
ใครจะวิเคราะห์อย่างไรผู้ฟังคนไหนก็ตามที่มาฟังคลิปนี้หากไม่
เคยศึกษาธรรมมาก่อนหรือสึกษา
มาแต่ยังไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติ
แล้วแต่ยังไม่ถึงอรหันต์การฟังของท่านจงวางใจเป็นกลางไว้ก่อนอย่าด่วนสรุปว่าจริงหรือไม่
จริงเพราะเราๆท่านเป็นผู้ที่เกิด
มาในภายหลังทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น
เราไม่สามรถสรุปๆด้อย่างชัดเจน
ว่าจริงหรือไม่จริงโดยเฉพาะผู้ที่รู้
จริงรู้ชัดมีแต่พระพุทธเจ้าและสา
วกในกาลก่อนที่เกิดพร้อมกับพระ
พุทธเจ้าเท่านั้นส่วนผู้ที่เกิดมาใน
ภายหลังถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์
ที่รู้แจ้งเห็นจริงทั้งฝ่ายโลกและ
ฝ่ายธรรมและโดยเฉพาะพระอรหันต์ที่บริบูรณ์พร้อมทั้งเจโตวิ
มุติและปัญญาวิมุติคือทั้งรู้ทั้งเห็น
เป็นอรหันต์ที่มีอภิญญาพร้อมทั้ง
ปฏิสัมภิทาญานครบแม้แต่ในตำ
รายังไม่ให้ประมาทในพระอรหันต์ที่มีเจโตวิมุติเป็นผลเพราะท่านทั้ง
รู้ทั้งเห็นไม่ใช่รู้อย่างเดียวแต่ขาด
อภิญญาญานการเห็นมิได้เกิดเช่น
บ้างคนรู้ตามตำราว่านรกสวรรค์มี
จริงแต่อีกคนรู้จากการปฏิบัติและ
เข้าไปถึงนรกสวรรค์จริงด้วยอภิญ
ญาต่างเช่นพระโมคคัลาได้ใช้อภิ
ญญาเหาะได้ไปถึงสววรรค์และปราบพระอินทร์ให้สนใจในธรรม
ด้วยทำปฏิหารย์ทำให้สวรรค์สั่น
สะเทือนจนพระอินทร์ต้องหันมา
สนใจธรรมแทนความหลงในวิมาร
ของตนแต่ถ้าเป็นพระไม่มีอภิญ
ญาเช่นนี้ได้แต่รู้ธรรมตามตำรา
จะสามรถปราบพระอินทร์ได้หรือ
ไม่และการปฏิบัติที่เข้าถึงความ
จริงเยี่ยงนี้ย่อมสร้างความมั่นใจ
ให้แก่ผู้ปฏิบัติเองได้อย่างมั่นคง
ในธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่าเป็นจริงแท้ส่วนคนรู้ตามตำรา
แต่ไม่สามารถมีอภิญญาไปเห็น
ของจริงได้ความรู้แจ้งเห็นจริงจะ
รองรับสัจจะธรรมได้อย่างไรว่าจะ
ไม่คอนแคนเพราะคำของพระองค์
เน้นเรื่องจิตวิญญานโดยแท้ซึ่ง
ต่างจากศาสนาอื่นที่เน้นรูปธรรม
และอัตตาจงฟังหูไว้หูสายกลาง
จะเกิดความขัดแย้งจะดับเพราะ
ถ้าเราไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระ
อรหันต์ล้วนกิเลสทั้งสิ้นและมิอาจ
บริบูรณ์ในธรรมที่พบเพราะคนที่
ยังวิเคราะห์ธรรมอยู่บ่งบอกว่ายัง
ไม่สิ้นสงสัยและก็บ่งบอกว่ายังไม่
แจ้งในธรรมเป็นเพียงการหยิบจับ
เอาธรรมของพระเถระผู้อยู่เหนือ
ตนด้วยพรหมจรรย์หรือเหนือด้วยศีลเหนือด้วยสมาธิและปัญญาอัน
ดับกิเลสสิ้นแล้วถ้ายังยึดผิดถูก
อยู่สายกลางเกิดไม่ได้และอุเบกขาก็เกิดไม่ได้ย่อมแสวงหา
ถูกผิดและย่อมยินดีในพวกพร้อง
ตนนำมาซึ่งความแตกแยกถ้า
อย่างรู้ความจริงแท้คุณจ้องลงมือปฏิบัติและพิสูจน์ด้วยตัวเองจึงจะ
สิ้นสงสัยและไม่ต้องมาถามใครอีกเพราะคุณตอบตัวเองได้แล้ว
เพราะธรรมก็ไม่เที่ยงเป็นฝ่ายสม
มุติเป็นแค่พวงแพเมื่อถึงฝั่งแล้ว
กิเลสสิ้นแล้วก็ถือว่านิพพานได้
แล้วส่วนใครจบแล้วแต่ยังอยาก
ช่วยพระศาสนาก็สุดแท้แต่วาสนา
บารมีของผู้นั้นไม่ว่าจะปฏิบัติวิธี
ไหนถ้าทำให้ละกิเลสได้ก็นิพพาน
ได่เหมือนกัหมดเพราะคนเราต่าง
เหตุต่างปัจจัยสะสมมาต่างกันระหว่างทางที่มาเรามากันคนละ
ทิศทางเพื่อมาเดินทางเดียวกัน
แต่กรรมวิธีต่างกันเหมือนคนทำ
ข้าวแกงจะแกงอะไรแบบไหนถ้า
เราพอใจแกงไหนรสใดก็เลือกได้
ตามใจชอบแต่ที่ทางเดียวกันคือ
ถึงจุดหมายเดียวกันคือมันก็ทานได้เหมือนกันจะต่างวิธีกันบางก็
อย่ายึดถือเอามาเป็นอสรมณ์ทำให้ขัดแย้งกันเปล่าๆ
คอมเม้นคุณภาพ
ผมเชื่อว่าไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ตายแล้วสูญ ไม่มีโลกหน้า และโลกหลังความตายใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งนี้คือคติของพราหมณ์ที่ยัดเข้ามาในศาสนาพุทธ การทำบุญ คือการทำสาธารณะประโยชน์
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิดโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสดา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้.) อ.ท่านนี้ ไม่บอกเหตุผลอีกด้านหนึ่ง เรื่อง พระปุราณะ เพราะหมู่ทำสังคายนาไปแล้ว ท่่านมาไม่ทัน เพราะการเดินทาง ข่าวสาร มันช้า หมู่สงฆ์ทำสังคายไป สองสามเดือน ไปแล้ว จะใหม่เริ่ม รื้อใหม่เหรอ??? การทำสังคายนา แต่ละครั้ง ใช้ทรัพยากรมาก แค่เลี้ยงพระ เป็นร้อยๆ เตรียมสถานที่ อะไรๆ อีก จิปาถะ เยอะแยะ มาก ก็เหมือนเราประชุมงานในยุคปัจจุบัน ถ้าเราไปสาย หรือมาไม่ทัน เราก็ถือมติในที่ประชุม พระปุราณะ ก็เช่นเดียวกัน พระปุราณะ จึงกล่าวเหมือนพูดการันตี กับหมู่สงฆ์ว่า ยังยึดถือพุทธพจน์ ตามที่ได้รับฟังจากพระศาสดา เพราะหมู่สงฆ์ ไม่ได้รับํฟังทุกวจนะ เพราะ รับภาระเผยแผ่พระศาสนา ออกเผยแผ่ธรรม ไปตามที่ต่างๆ มีแต่พระอานนท์เท่านั้น ที่ได้รับพรจากตถาคต ว่าถ้าพระศาสดา แสดงธรรม ทัี่ไหน กับใคร เวลาใดก็ตาม หากเธรรมที่แสดงนั้น ไม่มีพระอานนท์ อยู่ด้วย ตถาคต ต้องกลับมาแสดงธรรมนั้น ให้พระอานนท์ อีกรอบหนึ่ง แต่พระปุราณะ มาไม่ทันสังคายนาตั้งแต่เริ่ม ก็กล่าวว่าจะยึดพุทธวจนะ ตามที่ตน ได้รับตรัสสอนจากพระศาสดา และถือเอา ธรรมวินัยอันหมู่สงฆ์์สังคายนา รับรองเรียบเรียง
พิมพ์ศัพท์ที่ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆหน่อยสิ ภาษาอย่างนี้ ไว้ใช้พิมพ์ในซองผ้าป่า จะได้มีมนต์ขลัง ชาวบ้านจะได้ใส่ซองเยอะๆ
@@zik.7735คุณก็พูดไป😂การตอบรูปแบบนี้คือการตอบในการสอบนักธรรมตรี โท เอกและมหาเปรียญคุณอย่าไปยึดคิดในรูปแบบสิยึดเนื้อหาเป็นหลักเถอะ.😊
ดูแล้วฟังแล้วเราก็ใช้หลักกาลามสูตรมาพิจารณานะครับแต่ก็ขอบคุณทีมงานมากครับที่นำเรื่องราวของพุทธศาสนานำมาวิเคราะห์สังเคราะห์ให้ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นครับ❤
เราควรเเงี้ยโสดลงฟังตามพุทธะกล่าวไว้ส่วนจะเห็นชอบหรือไม่อยู่ที่ตัวเรา สติคือสิ่งสำคัญที่พุทธะให้ปฏิบัติ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า
ศาสนาพุทธสอนว่าให้อยู่กับปัจุบัน ยึด กาลามสูตร และ เน้นเรื่องการปฏิบัติด้วยตนเอง ประวัติศาสตร์ศึกษากันพอใก้เห็นท่่มาที่ไป แต่การหมกมุ่นกับประวัคิศาสตร์มากเกินไปไม่ใช่แด่นคำสอนของพุทธ พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า ให้ศึกษาประวัติศาสตร์ให้มากแล้วมานั่งเถียงเรื่องประวัติศาสตร์กัน แต่เน้นสอนเรื่องการพ้นทุกข์ หาด฿ช่องที่เปนียบเทียบศาสนาพุทธกับฟิสิกส์ควอนตัมจะทำให้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามาดฝกขึ้น คำสอนพุทธไม่ใช่แค่แรัชญาในการใช้ชีวิต แต่เป็นสัจธรรมของจักรวาล
เม้นท์ได้ดีมากๆ
อ.ท่านนี้ ไม่บอกเหตุผลอีกด้านหนึ่ง เรื่อง พระปุราณะ เพราะหมู่สงฆ์ทำสังคายนาไปแล้ว ท่่านมาไม่ทัน เพราะการเดินทาง ข่าวสาร มันช้า หมู่สงฆ์ทำสังคายไป สองสามเดือน ไปแล้ว จะให้หมูสงฆ์เริ่มใหม่ ที่ทบทวนเรียบเรียง มาเป็นโมฆะเหรอ??? การทำสังคายนา แต่ละครั้ง ใช้ทรัพยากรมาก แค่เลี้ยงพระ เป็นร้อยๆ เตรียมสถานที่ อะไรๆ อีก จิปาถะ เยอะแยะ มาก ก็เหมือนเราประชุมงานในยุคปัจจุบัน ถ้าเราไปสาย หรือมาไม่ทัน เราก็ถือมติในที่ประชุม พระปุราณะ ก็เช่นเดียวกัน พระปุราณะ จึงกล่าวเหมือนพูดการันตี กับหมู่สงฆ์ว่า ยังยึดถือพุทธพจน์ ตามที่ได้รับฟังจากพระศาสดา เพราะหมู่สงฆ์ ไม่ได้รับฟังทุกวจนะ ทุกคำสอน ทุกคำพูดของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ บางท่่าน บางคณะท่านได้ รับภาระเผยแผ่พระศาสนา ออกเผยแผ่ธรรม ไปตามที่ต่างๆ มีแต่พระอานนท์เท่านั้น ที่ได้รับพรจากตถาคต ว่าถ้าพระศาสดา แสดงธรรม ทัี่ไหน กับใคร เวลาใดก็ตาม หากเธรรมที่แสดงนั้น ไม่มีพระอานนท์ อยู่ด้วย ตถาคต ต้องกลับมาแสดงธรรมนั้น ให้พระอานนท์ อีกรอบหนึ่ง แต่พระปุราณะ มาไม่ทันสังคายนาตั้งแต่เริ่ม ก็กล่าวว่าจะยึดพุทธวจนะ ตามที่ตน ได้รับตรัสสอนจากพระศาสดา และถือเอา ธรรมวินัยอันหมู่สงฆ์์สังคายนา รับรองเรียบเรียง เป็นมติร่วมกัน ที่สำคัญ หมู่สงฆ์ ที่ไม่ได้ร่วม ทำสังคายนา ด้วยเหตุใดก็ตาม ....... แต่เป็นที่ยอมรับเพราะ มีพระอานนท์ ในการสังคายนาครั้งนี้ เพราะพระอานนท์ เป็นผู้ฟังทุกพุทธวจนะ ตามพรที่พระศาสดาทรงมอบแก่พระอานนท์ พระมหากัสสปะเถระไม่ได้ยึดอำนาจอะไรหรอก ที่พระเถระ ปรับอาบัติ พระอานนท์ ก็ถูกแล้ว พระเถระ ผู้ใหญ่ จะสอนตักเตือน พระสงฆ์ ก็เป็นธรรมดา เพราะ ถ้า พระเถระผู้ใหญ่ สอนพระรุ่นต่อไป เตือนรุ่นต่อไป แนะนำ พระรุ่นต่อไปไม่ได้ แล้วหมู่สงฆ์ จะอยู่กันยังไง.... ถ้าไม่มีการคอยดูแลซึ่งกันและกัน อย่างหลวงพี่ ก็ตักเตือน พระลูกวัด สามเณร แนะนำ และหลวงพี่เอง อาจพลั้งเผลอ ก็ รับคำตักเตือน กับพระลูกวัด การปลงอาบัติ คือ การรับฟัง การแนะนำ ตักเตือน รับผิดรับชอบ บอกกล่าวแก่กัน ทั้งสองฝ่าย ทั้งพระผู้ให้อาบัติ และพระผู้ปลงอาบัติ งง กับคำพูดของ อ. ท่านนั้น ว่าท่านพระมหากัสสปะเถระ เป็นการยุึดอำนาจ บ้างละ เป็นพราหมณ์ มั้งละ คิดไตร่ตรองให้ดี เมื่อสิ้นพระศาสดา ไป ตถาคต ตรัสว่า ให้หมู่สงฆ์ ร่วมสังฆกรรม ปรึกษาหารือ คอยดูแล ช่วยเหลือกัน การอยู่ร่วมกัน ต้องมีกฎเกณฑ์ ระเบียบ ก็คือพระวินัย และหลักธรรมคำสอน ก็ต้องถ่ายทอดไป จากรุ่นสู่รุ่น ถ้าพระมีพระอาจารย์ คอยสอนพระรุ่นต่อๆ ไป แล้วพุทธวจนะ จะถึงรุ่นเราอย่างไร อ.ท่านนี้ จะให้ พระทุุกรูป ทำตัวเป็นอิสระชน เป็นปัจเจก เหรอ ไม่ฟัง คำสั่งสอน จากพระเถระ จากรุ่นสู่รุ่น อ.ท่านนี้ ตรรกะ วิบัติมาก ขอให้ อ.ท่านนี้ เกิดสัมมาทิฐิ ด้วยเถิด (ยกตัวอย่างสัมมาทืฐื พ่อมี แม่มี บุญมี บาปมี โลกนี้มี โลกหน้ามี พระพุทธเจ้ามี พระอรหันต์มี หลักธรรมที่พระัพุทธองค์ค้นพบมี พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามธรรมนั้นบรรลุอรหันต์ถึงพระนิพพานมี)
+1
+1
😅😂😂😮🎉❤
เป็นกำลังใจให้ทีมงานในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ต่อไปค่ะ ไม่ว่าประเด็นจะsensitiveแค่ไหน เราพร้อมเปิดใจรับฟังค่ะ และต้องขอบคุณมากๆ ที่ทำสารคดีคุณภาพ(ที่มีการถ่ายทำยังสถานจริงในสภาพปัจจุบัน) ออกมาให้ได้รับชมนะคะ บทส่งท้ายของตอนนี้คือใช่ค่ะ 👍🏻
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิดโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสดา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้.).....เจริญพร สาธุ
ปัญหาคือ คุรุธรรม8ได้ออกมาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงหรือไม่ หรือแต่งเติมมาทีหลัง
@@tanakitkhraiprasert3797นักบวชศาสนาพุทธเว้นเรื่องเพศ การเอาหญิงชายมาอยู่รวมกัน มันก็ยากเป็นธรรมดา คุณคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านจะไม่มองเห็นตรงนี้หรือ ที่หมอคนนี้บอกผู้หญิงสอนได้ดีกว่า คุณคิดว่าเป็นแบบนั้นเสมอไปหรือไม่ ที่เห็นพูดกันแบบวิทยาศาสตร์คือ ผู้หญิงปกติจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เพราะ ชีววิทยาเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงมีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากกว่า การที่ผู้หญิงจะมาถือศีลในป่า ภัยอันตรายก็มากกว่า
อันนี้เราก็ไม่ว่าผิดถูกทุกเรื่องราวที่ได้ยินแต่พอปฎิบัติแล้วมันไม่มีตัวตนบุคคลที่ว่าจิตนี้ไม่ใช่หญิงใช่ชายนั่นจริงไม่เป็นหญิงชายแต่ก็ต้องปฏิบัติให้เห็นถึงความไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาก่อนนะมันก็เหมือนต้นไม้ในป่าชายหญิงก็เป็นต้นไม้คนละชนิดแค่นั้นเองรู้แต่ว่าจิตไม่เป็นหญิงเป็นชาย
ช่อง ประวัติศาสตร์นอกตำรา ก็ต้องเป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือตำราที่เคยๆฟังเคยๆได้ยินกันมาอย่างนี้สิ...เป็นกำลังใจให้ทีมงานทำคอนเทนต์ดีๆอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ...👏👏👏👏👏👏
เห็นด้วยครับ ควรมองประวัติศาสตร์ในมุมที่ต่างออกไป เปิดใจให้กว้าง
@@jatearchitects
คิดแบบเดียวกันเลย
ฟังจากท่านพระอาจารย์ ป.อ ปยุตโต ท่านกล่าวว่า
พราหมณ์ที่บวชในพุทธศาสนามีมาก
ธรรมะของพราหมณ์มีมาก่อนพุทธศาสนา
ธรรมะที่ปราณีตของพราหมณ์ พระพุทธเจ้า
ก็ไม่ได้ทรงปฏิเสธ เพราะธรรมะเหล่านั้นก็มีประโยชน์
ต่อหมู่ชนทั้งหลาย อุปมาเช่นสายน้ำทุกสาย
ย่อมไหลมาบรรจบกันที่ มหาสมุทร นั่นแล
มีธรรมะ เป็นที่ตั้ง มีนิพพาน เป็นจุดหมาย
นับถือกันตาม สติ ปัญญา
แม้ อิทธิฤทธิ์ ปฏิหาริย์ ก็มีคุณประโยชน์
ที่จะทำให้คนหันหน้าเข้าวัดทำบุญ
เฉกเช่นเรื่อง พระศรีอริยเมตไตร
ที่หมู่ชนทั้งที่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้
ต้องรอ พระศรีอริยเมตไตร ลงมาโปรด
จึงจะบรรลุธรรม กันถ้วนหน้า
เราชาวพุทธ ต้องเร่งศึกษาธรรมะ
ให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เฉกเช่นพระศาสดา
ของเรา ตามสติปัญญา ของเรา
“อัตตาหิ อัตโน นาโถ”
(ตนแล เป็นที่พึ่ง แห่งตน)
ที่สำคัญ คือ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่
ศาสนาแห่งการ ไหว้วอนขอ
เป็นศาสนา แห่ง สติปัญญา อย่างแท้จริง🤍🙏🙏🙏
อะไรที่พราหมณ์ทำ พระพุทธเจ้าห้าม เช่นการปลุกเสก แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ คนพุทธมีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นที่ยึดมั่น จะไปเอาของพราหมณ์มารวมได้ไง ก็นับถือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา ไม่ได้นับถือศาสดาของพราหมณ์อย่าเอามารวมกัน สมควรหรือไม่ ไปอ่านพุทธวจนะให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าให้ยึดคำสอนท่าน ไม่ใช่คำสอนของศาสนาพราหมณ์ พระพุทธเจ้านั้นรู้ว่าทางโลกมีหลากหลายความเชื่อ จึงไม่ได้ปฏิเสธ ต่างคนต่างเชื่อ ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเชื่อ อย่าเบียดเบียนกัน อย่าเอาของพราหมณ์มาเกี่ยว พระพุทธเจ้าให้ฟังท่าน ไม่ได้ให้ฟังสาวก หากสาวกแต่งคำสอนเองไม่ยึดคำสอนท่าน พระพุทธเจ้าไม่ให้ฟัง ไปศึกษาพุทธวจนะดูจะได้เข้าใจ
@@IamsonOfjesus ค่ะ แล้วห้ามได้มั้ยคะ ท่านพระอาจารย์ ป.อ ปยุตโต ท่านก็ปล่อยตาม สติปัญญา เป็นเรื่องยากที่จะห้าม พุทธ พราหมณ์ ผี ผสมจนกลม มีวิธีเดียวค่ะ ต้องเป็นพุทธศาสนาเชิงวิทยาศาสตร์ จึงจะสามารถดึงผู้คนออกจากไสยศาสตร์ได้ค่ะ🤍🤍🤍
@@Coffeeordie._88. มันจะปล่อยตามได้ไงอะ ปล่อยตามก็เท่ากับศาสนาเสื่อมทรามลง เพราะไม่สามารถรักษาหลักการในสิ่งที่พระศาสดาบัญญัติไว้ได้
@@IamsonOfjesus ก็บอกแล้ว ไงคะ ว่า ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ คนจะได้เลิกพึ่งพาไสยศาสตร์ ค่ะ
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิเโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสนา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้
หัวใจพุทธศสานา คือ
1.สั่งสมความดี การกระทำความดีทั้งปวงคือ การกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นต้องเป็นทุกข์
2. ละเว้นจากจากการกระทำความชั่วทั้งปวงคือ การละเว้นจากกระทำที่ทำให้ตนและผู้อื่นเป็นทุกข์
3. พึงทำจิตใจให้ถึงพร้อมความบริสุทธิ์ คือไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น การหวังดีต่อผู้อื่น
ส่วนใครที่ยังคิดว่ากฏ(สิกขาบท)ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ กระทำแล้วจะเป็นบาปทั้งหมด หรือ สิ่งที่พระพุทธเจ้านังมิได้บัญญัติไว้ คงเหนือบาปทั้งหมด คุณคิดผิด อันนี้กลับไปอ่านข้อ1,2,3ให้เข้าใจโดยละเอียด
กฏ(สิกขาบท)ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ อาจเป็นแปลงได้ตามยุคสมัย โดยใช้มหาประเทศ4พิจารณา(มหาประเทศ4คืออะไรไปหาค้นข้อมูได้ตามกูเกิ้ล ยกตัวอย่างเช่น แถวถาคเหนือ(จังหวัดไหนจำไม่ได้ ที่วัดและหมู่บ้านห่างกัน เวลาบิณฑบาตรต้องขึ้นเขา)มีพระขี่ม้าหรือลาบิณฑบาตร ถ้าหากว่าพระรูปนั้นส่งเสริมและเลี้ยงดูม้าหรือลาเป็นอย่างดี และชาวบ้านในระแวงนั้นไม่ค้ดค้านหรือเห็นชอบไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ทั้งพระและม้าหรือลาจะมีกรรมผูกันอยู่ หรือถ้าหากมีพระขับรถเองไปบิณฑบาตร(อันนี้ไม่มีในสิกขาบท กฏที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เพราะสมัยนั้นยังไม่มีรถให้ขี่และขับกัน) ถ้าหากชาวบ้านหรือประชาชนที่นั้นเห็นชอบด้วยไม่ถือว่าผิดกฏวินัย แต่จะเป็นบาปหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพระภิกษุรูปนั้น ว่าต้องการขับรถบิณฑบาตรเพื่อโปรดชาวบ้าน,กิจของสงฆ์หรือเพื่อความอยากเท่อยากเก๋ หรือมีเจตนาที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ ถือว่าเป็นบาป เพราะถ้าทำเพื่ออยากเท่อยากเก๋อวดโอ้ ย้อนกลับไปดูข้อ3. พึงทำใจให้บรืสุทธิ์
84,000พระธรรมขัน หรือพระไตยปิฏกหลายๆเล่ม ย่อมามาแล้ว ก็เหลือแค่3ข้อข้างต้นที่กล่าวไว้
หากใครคิดว่าพระวินัย(สิกขาบท,กฏต่างๆ)ของพระพุทธเจ้าไม่ตรงตามยุคสมัย ใช้กฏมหาประเทศ4ตัดสินครับ ส่วนกระทำไหนจะเป็นบาปหรือเป็นบุญ อยู่ที่เจตนาของคนทำครับ ใครมีความต่างจากหัวใจพระพุทธศาสนา3ข้อนี้มาแย้งกันได้นะ
เพื่อคุณรุ่นหลังมาอ่าน จะจำไปใช้ให้ถูก..ขอภัยครับ
บิณฑบาต, ไตรปิฏก, ธรรมขันธ์..ที่ถูกเป็นอย่างนี้ขอรับ ขอบคุณครับ!
นั่นน่ะข้อสรุป แต่การปฏิบัติไปให้บรรลุ 3 ข้อนั่นต่างหากเล่า
ลูกงง.ลูกไม่เคยบวชเรียน.ลูกเป้นสามัญชน.ธรรมดา.. เด้กเกเร.. อย่ๆทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้.. ท่านสอนอะไรลูกทำตาม.. แต่เรื่ิองปฏิบิติ.บอกไม่ได้เลยย.. ลูกอาจพูด.เพราะไม่รู้.. แต่ถ้าผิดจริง.ลูกต้องรับผิด.. แต่ลูกก้อไม่ได้อย่ที่พุทธ.ทึ่เดียว.ถามหน่อบพวกท่าน.เกิดที่ไทย.ตลอดเหรอ.. เต๋า.. อิสลาม.. ลูกไม่ใช่เรียนรู้.พุทธ.. อย่างน้อยมี.ญาณ.จักรพรรดิ.มีมังกรจีน.มีสิงห์.. มีเทพหลายนิกายคุ้มครองลูก.. มังกรแม่กวนอิม.. มีหยินหยาง.. ลูกบอกแล้วใครที่คิดทำร้ายลูก..มังกรท้องทะเล..แม่กาเผือก.แม่สิงห์..กวนฮุ...พระเจ้าตาก.พระนเรศวรมหาราช.พระสยาม.คงไม่ปล่อยให้ลุกถุกทำลาย.องคปฐม.. พระยุไร.. คุ้มครองลูก
พระอรหันต์เยอะ.. ต้องเจอสักคำถาม.. อย่างน้อยลูกตรัสรุ้ตามพระองค์.. อ้างตนกันเอง.. เจอคำถาม.. สักคำ.กับสามัญชน.ที่ไม่เคยศีกษา..
กฏมหาประเทศ4 เกิดขึ้นหลังจากที่พระพุทธเจ้าดีบขันธปรินิพพานแล้วใช่ใหม่ เกิดขึ้นจากสัคยานาคทั้งที่1 หรือครั้งที่2
รายการนี้ผู้บรรยายดีมาก ถ้าไม่เอานายมะโนมาร่วมรายการจะน่าติดตามมากกว่านี้นะ*
เขาเป็นศัตรูกับพระพุทธศาสนามาตลอด
เอาเป็นศัตรูแค่ไอ้ธัมมี่แค่นั้นค่ะ พวกสาวก ธรรมกายธรรมกวย มักจะไม่ชอบเขาค่ะ
สมัยก่อนยังมี อรหันต์ อยู่พอสมควร เลยสังคายนา
เพราะท่านเหล่านั้น
เข้าฌาน ทวนคำสอนของศาสดา
ว่าอันไหนคือธรรม อันไหนคือวินัย
จึงบันทึกลง
แล้วด้วยท่านพระอานนท์
ฟังมามากที่สุด ด้วยอุปฐากด้วย
เลยรอพระอานนท์เข้าปฐวีกสิน
ด้วยอารมณ์ ไม่เอาแล้ว
จิตจึงตัดมานะอุปทานหมด
ระหว่าง วูป ลงพื้น กลายเป็นอรหันต์ทันที
พระมหากัสสปะ
เลยบอกให้ช่วย บอกคำสอนทั้งหมดให้ฟัง. คนอื่นๆ เข้าฌาน
ไล่ตามเอา
เพื่อพิสูจสิ่งที่ได้ฟังมาว่าจริงไหม
สมัยนี้ก็คล้าย ทวนทักษะ
36:49 ใช่ครับ พุทธวจน เท่านั้น🙏
ชอบคลิปนี้ เพราะมองพุทธศาสนาโดยอิงจากมุมมองที่สลัดปาฏิหาริย์ทิ้งและทำให้มองเห็นตัวตนของสงฆ์ เห็นความเป็นมนุษย์ที่ประกอบด้วยปัญญาและอคติ ศาสนาวัดวาอารามจะดำรงอยู่เปลี่ยนไปหรือไม่แล้วแต่เงื่อนไข แต่ถ้าธรรมอยู่ในใจศาสนาก็อยู่ในใจ ขอยึดหนึ่งเดียวคือคำสอนพระพุทธเจ้าแค่นั้น
ฟังเพื่อความรู้ ฟังเพื่อคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ประวัติศาสตร์ในตำราเราจะทราบเพียงแต่ความอัศจรรย์ แต่ประวัติศาสตร์นอกตำรา ฟังเพื่อเปรียบเทียบในหลักของความเป็นจริง นำสองบทของตำรามาเทียบเราจะศรัทธาในพระพุทธเจ้า หรือคำสอนของท่านที่ไม่ใช่ความเชื่อที่งมงาย
ถูก..อยู่ที่ผู้ฟังจะฟังงมงายหรืออ้างอิงเหตุผลความเป็นจริง
ถูกต้องแล้ว ที่คุณหมอ ได้รับคำเปรียบ..กาลิเลโอ แห่งพุทธศาสนา.
เขาเคยเป็นพระสายวัดพระธรรมกาย แต่ตอนหลังเลิกนับถือเพราะเขาตาสว่างเห็นพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องวัดนี้ ซึ่งก็ยังมีคนหลงนับถืออยู่ ก็เหมือนกับชาวพุทธทั้งหลายที่ยังคงเชื่อและนับถือศาสนาแบบหลงงมงาย
@@PK-qk3shอยากได้สวรรค์ชั้นไหน ก็เอาสตางค์มาให้ฉัน ชิตังเม โป้ง!!! รวยยยยย
ฟังซ้ำหลายรอบเลยค่ะ ได้ความรู้ ขอบคุณทีมงานที่ทำให้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ค่ะ
เป็นกำลังใจให้ทีมงานนะครับ ทำเรื่องแบบนี้ ในหลากหลายแง่มุม มาให้ได้คิดได้ตั้งคำถามกันเรื่อย ๆ อีกนะครับ
แล้วผมก็รอดูข้อมูลด้านอื่นๆ
เอามาแย้งกับหนังสือเล่มนี้ ที่เอามาเป็นตัวต้นเรื่องของคลิป
ถึงผมไม่ได้ศรัทธาในตัวบุคคล แต่เชื่อในหลักเหตุและผล
อยากฟังเหตุและผล
จากหลายๆ แหล่ง
แล้วค่อยเชื่อ
ตามสติปัญญาของตัวเอง
การเล่าที่มาที่ไป
และข้อให้ตั้งคำถามในคลิป
เป็นเรื่องน่าคิดทีเดียวครับ
ปุทุชนคาดเดาได้แค่นี้ก็เป็นฝ่ายกุศลเป็นอุปนิสัยไปจนกว่าจะบรรลุถึงซึ่งพระนิพพานในใจตน แต่ความเห็นผิดในใจถ้ายังไม่บรรลุถึงก็จะเห็นผิดคาดเดาพระธรรมวินัยไปเรื่อยๆ ทางที่ดีตั้งเจตนาเดินด้วยตนเองพึ่งตนเองในการสั่งสมปัญญาด้วย โอปนยิโกแห่งตนเองตาพุทธบัญญัติ จะเป็นทางที่ชอบด้วยตนเอง นั้นชอบที่สุด และไม่ติดอยู่กับความเห็นของท่านใดอีกเลย
@@โกวิทใจอารีย์
1. ยิ่งอ่านยิ่ง งง
2. เรื่องยาก เขียนให้ง่าย
ไม่ใช่ยาก กลับเขียนให้เข้าใจยากกว่าเดิม
3. ถ้าไม่มีการนำเสนอ ไม่ถกเถียง ไม่โต้แย้ง ไม่พิจารณา จะเกิดปัญญาได้อย่างไร
4. ไม่ต้องรีบพิมพ์ขนาดนั้นหรอกครับ
เรียบเรียงก่อน ประเมินก่อนว่าคนอื่นจะเข้าใจไหม แล้วก็ตรวจสะกดคำให้ถูกต้องเสียก่อนครับ
อ่านแล้วไม่เข้าใจเลย
ว่าต้องการสื่อสารอะไร!!!
ชอบซี่รี่ชุดนี้ นี่คือประวัติศาสตร์นอกตำรา ขอขอบคุณทีมงาน ครับ
ลอง ไปหาอ่าน "คิริมานนทสูตร"
จะรู้ว่า คำสอนจากสมมติสงฆ์ หลวงปู่ หลวงตา เรื่องบุญ บาป นิพพาน ดังเช่นที่สอนกันในปัจจุบัน ที่พุทธองค์ตรัสแก่พระอานนท์ ว่ามีความแตกต่างเพียงใด อาจจะรู้อะไรที่ไม่เคยรู้อีกมาก และเข้าใจเจตนาที่พุทธองค์สื่อผ่านพระอานนท์ ไปยังพระมหากัสสปะ 😅
*To the person reading this, Good Luck! Don't stress, everything will be fine. No matter what difficulty you are facing right now, you can overcome it! You are strong and brave* 🙏
🙏🙏🙏
😊😊😊ขอบคุณทีมงาน และท่านผู้บรรยาย สำหรับสารคดีอันมีคุณค่า สำหรับชาวพุทธ
กลับมาฟังอีกครั้ง ชอบมากค่ะ เราต้องตั้งคำถามและช่วยกันหาคำตอบค่ะ
หมอมโนตั้งข้อสังเกตุไว้ดีแล้ว หนังสือที่เขียนก็เป็นอีกมุมหนึ่ง คนที่รับฟังข้อคิดเห็นเล่านี้ไม่ได้ ต้องศึกษาพุทธศาสนามากๆหน่อย
ผู้ให้การวิเคราะห์ ต้องเป็นคนที่รอบรู้ ไม่ใช่ผู้มีความคิดเช่น นายมโน ฟังตอนนี้แล้ว เหมือนนำเสนอแล้ว กัดกร่อนด้วยคำพูดของนายมโน
เห็นด้วยค่ะขัดหูมาก
epก่อนหน้านี้ก็บอกไม่มีต้นสาละไม่มีอัศจรรย์ใดใดมโนล้วนๆฟังแล้วเหมือนเขาไม่ใช่พุทธศาสนิกชนทีมงานน่าจะเอาคนที่เลื่อมใสพุทธศาสนาจริงมาไม่ใช่เอามาขัดกัดกร่อนแบบนี้ ความคิดส่วยตัวนะคะ
มีเหตุผล
สูตรเดียวกับใอ้ลิ้มเลย คนนี้เคยบอก เมกาเป็นคนคิดค้นโควิด🥴🥴🤣🤣🤣🤣
@@feyana354ก็เรื่องจริง เหตุอัศจรรย์ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าให้ไว้แต่พระธรรมไม่ใช่คำสรรเสริญอัศจรรย์
ชอบความ AI ช่วยสร้างภาพมากๆ ช่วยให้เห็นภาพเหตุการณ์ในเวลานั้นได้เยอะมากๆ
สวัสดีดีค่ะขอบคุณค่ะทุกท่านที่จัดทำสาธุๆๆ น้อมอนุโมทนาบุญนี้ด้วยค่ะสาธุๆๆ
เรื่องในอดีต นานมาแล้ว .. ใครเป็นผู้บันทึก เชื่อได้หรือไม่...
.. พระพุทธเจ้า ได้แจ้งไว้ให้แล้ว...
.. อย่าเชื่อ เพราะ ฟังตามกันมา
.. อย่าเชื่อ เพราะ เป็นอาจารย์
.. อย่าเชื่อ เพราะ เป็น ตำรา
.. คนจะไม่เอาเรื่องนี้ มาโยนิโสมนสิการ ...
ใครสมัครใจเชื่อ ก็เรื่องของเขา.. ใครยังไม่เชื่อ ก็ต้องมีเหตุผลอธิบาย....
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิเโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสนา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้
เป็นเจตนา ความประสงค์ ของพระพุทธเจ้า ที่ไม่ประสงค์ให้สตรีบวชเป็นพระ .. แต่ด้วยกิเลส ที่ เต็มล้น จึงทำให้ ไม่ต้องไปสนใจ ว่าจะเป็นเจตนาใคร เอาเป็นว่า ถ้าเป็นเจตนาของเรา ย่อมเหนือกว่า .. เพราะ คำสั่งคนตาย หรือจะมาเหนือกว่า ความต้องการ ของคนอยู่ ...
.. สตรีที่มาบวชเป็นพระ ก็ถือว่า เป็นพระปลอม ... ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาสดา ... ครุธรรม 8 ได้มีการยกเลิกกันเอง ทุกข้อ .... ตายแล้วจะไปไหน ....
ขอบคุณๆ ทีมงาน
ดูติดตามตลอดเลยครับ ชอบมากครับ
สาธุ พุทธ ธรรมะนำพา การให้ความรู้ ของประวัติศาสตร์นอตำรา เป็นการให้ ที่ยิ่งใหญ่ สาธุ ครับ
รอ เกี่ยวกับพุทธนานม้ากกกก
น่าสนใจดีครับ เป็นแนวคิดอีกด้านหนึ่ง พุทธศาสนา ก็ให้คิดวิเคราะห์เองอยู่แล้ว ไม่ใช่สักแต่จะให้เชื่อข้อมูลด้านเดียวแบบงมงายไม่ยอมรับแนวคิดด้านอื่น จะเชื่อหรือไม่ก็คิดวิเคราะห์เองครับ
แต่คลิปนี้ก็เชิญนักวิเคราะห์มาพูดด้านเดียวนะ เปิดกว้างทางความคิดตรงไหน
การสังคายนาฯ หากมองแบบปุถุชน แม้จะจบการศึกษาทางโลกสูงเพียงใด ก็เข้าใจและวิเคราะห์แบบปุถุชน เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นเวลานั้น ที่สำคัญเราไม่ได้ปฏิบัติจนบรรลุเป็นอริยะบุคคล
เอาควาใคิเของคนมีอาสวะกิเลศ ไปตัดสิน พระอรหันต์ 😖😔🥴
ใช่ครับคำหนึ่งทีท่านนี้พูดทำให้ผมไม่สามารถ ยอมรับความคิดเห็นของคนๆนี้ได้คือคำว่า"ใครจะไปรู้ว่าใครเป็น พระอรหันต์หรือไม้เป็น" คนๆนี้เป็นใคร พูดดูแคลนพระมหา"กัสสัปปะ" และอีกคำหนึ่งที่รับฟังไม่ได้ก็คือ "พระมหากัสสปะ ช่วงชิงจังหวะสังคายนา"
@@teerayootontong406เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ
@@teerayootontong406เพิ่มเติมให้ครับ...พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้เองครับ ว่าไม่มีใครพยากรณ์ความเป็นอรหันต์ของผู้อื่นได้ครับ ขนาดพระนั่งใกล้ๆกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นอรหันต์ทั้งคู่ ยังไม่รู้กันเลยครับ หรือแม้แต่เณรที่มีอายุน้อยเป็นพระอรหันต์แล้ว ภิกษุที่เป็นพระอรหันต์เอง ก็ยังไม่ทราบเลยครับ
ถูกต้องครับ
มองให้เป็นสำนักปรัชญา เพื่อวิพากษ์ได้ในวิสัยปรัชญา
ถ้ายังถือว่าวิเศษเลิศพ้นกว่ามนุษย์ แตะต้องอันใดมิได้ ก็กลายเป็นลัทธิศาสนา
ศาสนิกต้องเปิดกว้างให้เกิดการมองในวิสัยอื่นที่ไม่เป็นทิพย์ ถ้ามองพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นนักคิด นักปรัชญา ก็จะได้แีกมุมมองหนึ่ง
ใช่ไหมครับ ผมคิดเช่นกัน
นี่แหละคิดแบบปัญญาชน
ขอขอบคุณ
ผิดหวังกับรายการที่แคสใครก็ไม่รู้ที่ให้ความเห็นที่บิดเบี้ยวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแถมยังปรามาสพระรัตนตรัยด้วยซ้ำ
ที่กล่าวหาว่าพระมหากัสสปะยึดอำนาจ นี่เป็นความเท็จร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่าลืมนะครับว่าพระมหากัสสปะท่านเป็นพระอรหันต์ท่านย่อมมีปัญญาที่หลักแหลมรู้รอบและเข้าใจทะลุทุกอย่างในเขตของ รัก โลภ โกรธ หลง ที่ท่านต้องทำสังคยนาพระพุทธศาสนาในครั้งนั้นเป็นเพราะ จะรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้ามาจัดเป็นหมวดเป็นหมู่ อันไหนเป็นพระธรรม อันไหนเป็นพระวินัย เพราะสมัยนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านก่อนจะเดินทางไปสอนใครที่ไหนท่านจะใช้ญาณตรวจดูก่อนว่าบุคคลนั้นๆมีจริตนิสัยเป็นเช่นไร จะสอนสั่งด้วยธรรมแบบไหนผู้นั้นถึงจะบรรลุธรรมได้ง่าย ซึ่งแต่ละครั้งที่พระองค์เสด็จ ไปโปรดพระองค์ก็จะสอนในแบบที่ต่างๆกันไป แล้วบุคคลนั้นก็บรรลุธรรมในเวลาต่อมา และสั่งสอนลูกศิษย์ในแบบที่ตนได้รับคำสอนมาต่างๆกันไป ศิษย์ของพระแต่ละคณะที่ยังเป็นพระเสขบุคคลก็มักจะเถียงกันว่าหลักธรรมของสำนักเราถูกของท่านผิด จึงได้เกิดข้อโต้แย้งกันไปต่างๆนาๆในเหล่าพระสาวก เพราะเหตุนี้จึงได้เกิดปฐมสังคยานาขึ้น
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิดโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสดา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้.
@@kritsanachaidet9939 🙏🙏🙏
ลัทธิธรรมกายในประเทศไทยชอบเปลี่ยนความคิด แต่งเติมพระไตรปิฎก ผู้ที่มีปัญญาย่อมรู้ผู้มีปัญญา พระอรหันต์ย่อมรู้ใครเป็นพระอรหันต์วัดได้ด้วยคุณธรรม วัดได้ด้วยญาณ ระดับปัญญาขั้นต่างๆ
น่าจะเอาหนังสือของพระสงฆ์ไทยมาเสนอด้วย
@@chonthidaathiprayoon2455เกี่ยวไร จะวิจารณ์ใครก็เป็นคนๆไป อย่าโยงทั่ว
สาธุคะ เข้ามาฟังครั้งแรกคะ ได้ความรู้เยอะเลยคะ อนุโมทนาสาธุ กับทีมงานนะคะ🙇🙇🙇
อยู่ "นอกตำรา" แต่ก็ต้องอยู่ "ในความถูกต้อง" จึงจะมีคุณค่า ควรแก่การเผยแพร่ และนำมาพินิจพิจารณา (ความแตกต่างนั้นดี แต่ต้องอย่างสร้างสรรค์ คือทำให้เกิดส่วนดีๆ ขึ้น มิฉะนั้นจะกลายเป็นความแตกต่างที่แปลกประหลาด และสร้างความเสียหาย ความแตกต่างอย่างพระเทวทัต ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ว่าเป็นอย่างไร) .. คำกล่าวของหมอมโน มาจากหมอมโน แต่ของท่าน ป.อ.ปยุต จะอ้างอิงจากพระไตรปิฏก พระสูตร จึงมีที่มาที่ไป ในกรณีข้อเขียนของหมอมโน (เหคุเกิด พ.ศ.1) ท่าน ป.อ. ปยุต (ในหนังสือ "ตื่นเสียทีฯ") ถึงกับสรุปชัดเจนว่า หลายส่วนมาจากความไม่รู้จริง และหลายส่วนทำความเท็จ .. ความพยายามของคลิปนี้ ที่ฟังความคิดเห็นของหมอมโน แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการช่วยขยายและส่งต่อ "ความไม่รู้และความเท็จ"
ดีครับ...ความต่างทำให้ตื่นตัวศึกษามากขึ้น
ผมว่า โดยแนวความคิดหลักๆ ศาสนาพุทธทุกสาขาเหมือนกันมาก ต่างแต่ตรงวัตรปฏิบัติ และแนวคิด/วิธีการย่อยๆ
โดยเฉพาะการเจือปนของวิถี/ภาษา/ความเชื่อเดิมของผู้บวชเข้ามาเป็นนักบวช
❤ big fan
ให้ดูที่ธรรมเป็นหลักดีกว่า เรื่องอื่นไม่ควรใส่ใจ,ติดใจ,ถกเถียง ในเรื่องเหตุผลของความเป็นจริงมากเกินไป เพราะเหตุที่ว่า
- พระสูตรพระวินัย สืบต่อมาจากตำนานเรื่องเล่า(มุขปาฐะ)
- พุทธประวัติ สืบต่อมาจากเรื่องแต่ง(รจนา)
พุทธธรรมนำมาชึ่งความสงบสุข 👍👍👍👍🙏🏻🙏🏻🙏🏻❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤
เป็นกำลังใจให้ทีมงานทุกท่านสร้างสรรค์สารคดีคุณภาพตลอดไปครับ❤❤❤❤
กราบสาธุสาธุสาธุ❤❤❤
ขอให้ครอบครัวข้าพเจ้ามีความสุข
ขอบคุณทีมงาน ที่ให้แสงสว่าง
ติดตามประวัติศาสตร์ นอกตำรา มาตลอด เพราะเชื่อในทีมงานฯลฯ แต่ ครั้งนี้ ขอติงนิดหน่อย การนำคนที่คิดว่า ...น่าเชื่อถือที่สุด มาให้ข้อคิดเห็น เพราะเห็นว่า มีภูมิ.่..ทางโลกสูง คนสว่นใหญ่ย่อมให้ความเชื่อถือ ความจริงก็ไม่ผิดอะไรมากหนัก
แต่ เท่าที่ ติดตามผลงานของท่านผู้รว่มรายการ ด้านเกี่ยวกับ.....ธรรมปฏิบัติ... และ..ปฏิเวธ ความเห็นสว่นตัว..คิดว่า.ท่านยังห่างไกล ...พระธรรมเหลือเกิน... การ วิจารณ์ ของท่าน.....จึงเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ,,,ที่ไม่เกี่ยวกับ พระธรรม วินัย อันประเสริฐ ของ พระพุทธองค์ แม้แต่น้อย
ท่านกล้าพูดว่า ....พระมหากัสปะ รู้ได้อย่างไรว่า...ใครคือ พระอรหันต์...เป็นต้น ย่อมแสดงถึงภูมิธรรมของท่านว่า....อยู่ระดับไหน??? ขอบคุณ
อย่าไปให้ค่าคนประเภทนี้เลยคับ พูดยังกับว่าตัวเองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
เห็นด้วยครับ... ติดตาม 'ประวัติศาสตร์นอกตำรา' มาโดยตลอด เพราะเชื่อว่าเป็นรายการที่มีการสืบค้นความจริง... จากผู้รู้จริงแล้วนำมาเผยแพร่เพื่อการศึกษาเรียนรู้ต่อไป..
ในกรณีนี้ ที่ถูกต้อง 'ควร' ต่อท้ายในหัวข้อเรื่องนี้ว่า 'ในมุมมองของ นพ.มโน' เพราะเนื้อหารายละเอียดและข้อมูลในคลิปนี้ไม่ตรงกับความรับรู้และความเข้าใจของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะการศึกษาเรียนรู้ต่อๆกันมาของคณะสงฆ์ไทย
ทางรายการควรอย่างยิ่ง ที่จะนำพระสงฆ์ที่มีความรู้มาร่วมให้ความคิดเห็นด้วย เพราะเห็นชัดว่าข้อคิดเห็นของ นพ.มโน ขัดแย้งและเห็นต่างจากความรู้และความเข้าใจของคณะสงฆ์หลักของไทยอย่างมากมาย จะได้เกิดการเทียบเคียงเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริง (ของวิทยากรที่ 1. ผู้ที่มีความรู้ภาษาบาลีอย่างแตกฉาน กับผู้ที่ไม่มีความรู้เลย และ 2. ผู้ที่เรียนรู้และปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธองค์ในฐานะพระสงฆ์(ศีล 227 ข้อ) กับ ผู้ที่เป็นฆราวาส
ที่สำคัญ เพื่อเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นของข้อมูลที่วิทยากรแต่ละท่านได้นำมาเสนอ 'ต้อง' อ้างอิงถึงหลักฐานด้วยอย่างเคร่งครัด เช่นมาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน? วรรคใด? หรือจากอรรถกถาจารย์ท่านใดแต่ง? เล่มไหน?เมื่อไร? เพราะหลักฐานหลักชั้นต้นทางพระพุทธศาสนาก็มีอายุไม่ต่ำกว่า 2,500 ปีล่วงมาแล้ว(มีอายุมากกว่าคัมภีร์ของศาสนาหลักของโลกอีกหลายศาสนา)
ไม่เช่นนั้น... คลิปในหัวข้อนี้นี้ก็คงเป็นได้แค่มุมมองแบบ 'มโน' เท่านั้นเอง หาใช่เนื้อหาทางวิชาการ(ตามแนวทางที่ประวัติศาสตร์นอกตำราได้พยายามดำเนินการมาโดยตลอด)แต่อย่างใดไม่
ได้ความรู้อีกมุมหนึ่งค่ะ
แทนที่จะว่ารายการ หรือวิทยากร เราต้องแยกความเชื่อความศรัทธา กับ การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์และวิชาการให้ออก นะคะ .. ทุกเรื่องในประวัติศาสตร์ย่อมมีเรื่องราวต่างๆแฝงอยู่ แม้แต่เรื่องศาสนาก็ตาม ประวัติศาสตร์มีการแต่งเสริมเติมแต่งแบบใด คัมภีร์ทางศาสนาก็มีการแต่งเสริมมาหลายชั้น หลายยุค หลายสมัย .. การที่เรากรองเอาเรื่องอภินิหารออก คิดวิเคราะห์ มองด้วยเลนส์ต่างๆกันออกไป ย่อมเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะทำให้เราเข้าใกล้พุทธองค์มากยิ่งขึ้น เข้าใกล้คำสอนของพระองค์ยิ่งขึ้น .. พุทธศาสนาสอนให้คิดวิเคราะห์ตั้งคำถามเสมอค่ะ เราไม่ใช่ศาสนาที่ต้องเชื่อ ก้มกราบโขกหัวโป๊กๆอย่างเดียว แล้วจะบรรลุธรรมได้
อ.ท่านนี้ ไม่บอกเหตุผลอีกด้านหนึ่ง เรื่อง พระปุราณะ เพราะหมู่สงฆ์ทำสังคายนาไปแล้ว ท่่านมาไม่ทัน เพราะการเดินทาง ข่าวสาร มันช้า หมู่สงฆ์ทำสังคายไป สองสามเดือน ไปแล้ว จะให้หมูสงฆ์เริ่มใหม่ ที่ทบทวนเรียบเรียง มาเป็นโมฆะเหรอ??? การทำสังคายนา แต่ละครั้ง ใช้ทรัพยากรมาก แค่เลี้ยงพระ เป็นร้อยๆ เตรียมสถานที่ อะไรๆ อีก จิปาถะ เยอะแยะ มาก ก็เหมือนเราประชุมงานในยุคปัจจุบัน ถ้าเราไปสาย หรือมาไม่ทัน เราก็ถือมติในที่ประชุม พระปุราณะ ก็เช่นเดียวกัน พระปุราณะ จึงกล่าวเหมือนพูดการันตี กับหมู่สงฆ์ว่า ยังยึดถือพุทธพจน์ ตามที่ได้รับฟังจากพระศาสดา เพราะหมู่สงฆ์ ไม่ได้รับฟังทุกวจนะ ทุกคำสอน ทุกคำพูดของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ บางท่่าน บางคณะท่านได้ รับภาระเผยแผ่พระศาสนา ออกเผยแผ่ธรรม ไปตามที่ต่างๆ มีแต่พระอานนท์เท่านั้น ที่ได้รับพรจากตถาคต ว่าถ้าพระศาสดา แสดงธรรม ทัี่ไหน กับใคร เวลาใดก็ตาม หากเธรรมที่แสดงนั้น ไม่มีพระอานนท์ อยู่ด้วย ตถาคต ต้องกลับมาแสดงธรรมนั้น ให้พระอานนท์ อีกรอบหนึ่ง แต่พระปุราณะ มาไม่ทันสังคายนาตั้งแต่เริ่ม ก็กล่าวว่าจะยึดพุทธวจนะ ตามที่ตน ได้รับตรัสสอนจากพระศาสดา และถือเอา ธรรมวินัยอันหมู่สงฆ์์สังคายนา รับรองเรียบเรียง เป็นมติร่วมกัน ที่สำคัญ หมู่สงฆ์ ที่ไม่ได้ร่วม ทำสังคายนา ด้วยเหตุใดก็ตาม ....... แต่เป็นที่ยอมรับเพราะ มีพระอานนท์ ในการสังคายนาครั้งนี้ เพราะพระอานนท์ เป็นผู้ฟังทุกพุทธวจนะ ตามพรที่พระศาสดาทรงมอบแก่พระอานนท์ พระมหากัสสปะเถระไม่ได้ยึดอำนาจอะไรหรอก ที่พระเถระ ปรับอาบัติ พระอานนท์ ก็ถูกแล้ว พระเถระ ผู้ใหญ่ จะสอนตักเตือน พระสงฆ์ ก็เป็นธรรมดา เพราะ ถ้า พระเถระผู้ใหญ่ สอนพระรุ่นต่อไป เตือนรุ่นต่อไป แนะนำ พระรุ่นต่อไปไม่ได้ แล้วหมู่สงฆ์ จะอยู่กันยังไง.... ถ้าไม่มีการคอยดูแลซึ่งกันและกัน อย่างหลวงพี่ ก็ตักเตือน พระลูกวัด สามเณร แนะนำ และหลวงพี่เอง อาจพลั้งเผลอ ก็ รับคำตักเตือน กับพระลูกวัด การปลงอาบัติ คือ การรับฟัง การแนะนำ ตักเตือน รับผิดรับชอบ บอกกล่าวแก่กัน ทั้งสองฝ่าย ทั้งพระผู้ให้อาบัติ และพระผู้ปลงอาบัติ งง กับคำพูดของ อ. ท่านนั้น ว่าท่านพระมหากัสสปะเถระ เป็นการยุึดอำนาจ บ้างละ เป็นพราหมณ์ มั้งละ คิดไตร่ตรองให้ดี เมื่อสิ้นพระศาสดา ไป ตถาคต ตรัสว่า ให้หมู่สงฆ์ ร่วมสังฆกรรม ปรึกษาหารือ คอยดูแล ช่วยเหลือกัน การอยู่ร่วมกัน ต้องมีกฎเกณฑ์ ระเบียบ ก็คือพระวินัย และหลักธรรมคำสอน ก็ต้องถ่ายทอดไป จากรุ่นสู่รุ่น ถ้าพระมีพระอาจารย์ คอยสอนพระรุ่นต่อๆ ไป แล้วพุทธวจนะ จะถึงรุ่นเราอย่างไร อ.ท่านนี้ จะให้ พระทุุกรูป ทำตัวเป็นอิสระชน เป็นปัจเจก เหรอ ไม่ฟัง คำสั่งสอน จากพระเถระ จากรุ่นสู่รุ่น อ.ท่านนี้ ตรรกะ วิบัติมาก ขอให้ อ.ท่านนี้ เกิดสัมมาทิฐิ ด้วยเถิด (ยกตัวอย่างสัมมาทืฐื พ่อมี แม่มี บุญมี บาปมี โลกนี้มี โลกหน้ามี พระพุทธเจ้ามี พระอรหันต์มี หลักธรรมที่พระัพุทธองค์ค้นพบมี พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามธรรมนั้นบรรลุอรหันต์ถึงพระนิพพานมี)
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิดโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสดา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้.
สาธุๆๆอนุโมทนาบุญเจ้าค่ะ ที่ได้เกิดในแผ่นดินพระพุทธศาสนานี้เจ้าค่ะ
เป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตาม
สาธุ หีติ1-10*112
สาธุุ
ทำไมไม่ไปเชิญพระท่านมา คนๆนี้ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะ ไปสัมภาษณ์พระวัดนาป่าพงจะดูดีกว่านี่นะ คนๆนี้ไม่มีศรัทธา
จริงครับ ดูหน้าเวลาพูดสิ
@@user-ru6nc5rz6oทำไมถึงตัดสินคนแค่รูปนอก
@@ozone8642 จริงๆมันก็เป็นวิธีดูคนแบบนึงนะ อย่างน้อยก็พอสังเกตุว่าเขาพูดด้วยอารมณ์หรือทัศนคติแบบไหน
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิเโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสนา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้
@@kritsanachaidet9939สาธุครับ
ภาพถ่ายประกอบคลิป(หมู่สงฆ์) สวยงามจริง ให้กำลังใจ คุณอดิศักดิ์ +ทีมงาน นะคะ รังสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยมออกมาเรื่อยๆน๊า! ติดตามตลอดค่ะ
💖💖💖💖
คิดว่าน่าจะเป็นภาพที่สร้างด้วย AI
@@สมิงจ้อยสะพานช้าง
ใช่แล้วค่ะ
สวยงามครับ...แต่การห่มเฉวียงของผ้าไม่ถูกต้องครับ....จะให้สวยงามและสมบูรณ์ต้องคำนึงถึงสิ่งนี้ด้วยครับ
@@moomoo243 จับชายผ้าจีวรด้วยมือซ้าย แล้วมือด้านขวารวบชายผ้าม้วนเข้าหาตัว จนแนบชิดตัว แล้วมือขวาจับปลายผ้าข้ามหัวไหล่ซ้ายเข้ามาไว้ใต้รักแร้ จะมีภาพที่มีภิกษุสงฆ์นั่งเป็นประธานจะห่มไปทางซ้าย ส่วนพระสงฆ์บริวารจะห่มจีวรไปทางขวา คิดว่าเป็นที่ผู้เขียนคำสั่งมากกว่า เขียนแล้วไม่สังเกตุภาพรวม
ขอบคุณทีมงานมากๆ นะคะ ได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย เเละกว้างขึ้น
ปล.สงสารพระอานนท์ โดนทั้งขึ้นทั้งร่อง
ขอบคุณมากครับ
น้อมกราบสาธุๆๆๆจ้า
กฎเกี่ยวกับภิกษุณี เทียบกับบริบทสมัยนี้คือการกดขี่ทางเพศชัดๆ แต่เข้าใจว่าบริบทในสมัยนั้น คงต่างกับสมัยนี้
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิดโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสดา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้.
การที่ภิกษุณีได้บวชเป็นภิกษุณีผู้หญิงก็เคร่งครัดในพระธรรมวินัยได้ดีอยู่นะไม่เคยเห็นภิกษุณีทำผิดพระธรรมวินัยเลยกราบสาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิ
พระไตรปิฎกแปลไทยส่วนมาก แปลว่า ปรับอาบัติพระอานนท์ แต่ในฉบับบาลี ไม่มีคำว่า อาบัติ เลย (อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฏํ, นาหนฺตํ ทุกฺกฏํ ปสฺสามิ) แม้ในอรรถกถาก็กำชับไว้ว่า
คำว่า อิทํปิ เต อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฏํ นี้ อันพระเถระทั้งหลายเพียงแต่จะติว่า กรรมนี้อันทำไม่ดีแล้ว จึงกล่าวแล้ว, หาได้กล่าวหมายถึง อาบัติไม่. อันพระเถระเหล่านั้นจะไม่รู้จักอาบัติ และมิใช่อาบัติก็หามิได้.
ทุกฺกฏ (ทุก-กะ-ฏะ) แปลว่า ทำไม่ดี ไม่เหมาะสม แต่ อาบัติทุกกฏ (อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส) อาบัติเบาสุด เป็นข้อทางวินัยอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เช่น เคี้ยวอาหารเสียงดัง เป็นต้น
หลังจากสังคายนา พระอานนท์เองยังมีอำนาจในการปกครองสงฆ์อยู่ด้วย หลังจากนั้นคณะสงฆ์มีมติ ให้อำนาจพระอานนท์นำพระภิกษุราว ๕๐๐ ไปทำการลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะที่กรุงโกสัมพี ตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าซึ่งตรัสไว้ก่อนปรินิพพาน ซึ่งเมื่อท่านไปที่กรุงโกสัมพี ท่านก็ยังได้รับการเคารพอย่างสูงจากพระเจ้าอุเทน ถึงขนาดที่พระเจ้าอุเทนทรงถวายผ้า ๑๐๐๐ ผืนแก่พระอานนท์ เมื่อพระอานนท์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะแล้ว พระฉันนะบรรลุอรหันต์
ปิ่นสาธุค่ะ
การดูประวัติศาสตร์ ห้ามเชื่อนักวิชาการ แต่ให้ดูหลักฐานข้อเท็จจริง เพราะ คนวิเคราะห์ก็ใช้ความเห็นของตนเอง ส่วนมากมักจะผิดกัน ดูเป็นข้อมูลพอ
มันว่ามันก็มีส่วนจริง เพราะนักวิชาการจะเอามาพูด ต้องมีงานวิจัย หลักฐานชั้นต้นหลักฐานชั้นลอง แน่นอนว่าเอาความรู้สึกเราลงไปด้วยแต่ก็ควรอิ้งหลักฐาน
@@sarayutwongman3874 ปัญหาคือถ้ามีคนเชื่อ ก็จะเชื่อผิดๆตามกันไป ประวัติสาสตร์ถูกบิดเบือน เพราะแบบนี้ส่วนนึง
อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
บุคคลที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนที่จะเจอพระพุทธศาสนาย่อมมาจากวรรณะต่างๆ ทั้งนั่น พระพุทธเจ้าก็อยู่ในวรรณะกษัตริย์ พระสารีบุตร พระโมคคัลนะ พระอัญญาโกฑัญญะ อยู่ในวรรณะพราหมณ์ หากแต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงกลับมาหาปัญจวคีย์ทั้ง 5 (ขอข้ามตอนที่นึกถึงอาจารย์ทั้ง 2 ไปนะ ) พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และพระอัญญาโกทัญญะ ก่อนหน้าที่เป็นโหราศาสตร์เคยทำนายว่าสิทธัตถะจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็มีดวงตาเห็นธรรม จึงเป็นพระสงฆ์องค์แรกที่รับรองในธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว (ในสมัยพุทธกาล ได้พบเจอทั้งตาเนื้อและตาใน พร้อมด้วยการสั่งสมของแต่ละบุคคลมานั้น ย่อมทำให้เกิดศรัทธาได้ง่าย) ดังนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อบรรลุธรรม จะออกจากวรรณะเดิมเป็นอัตโนมัติ ( รู้ด้วยปัจจตัง ) และเข้าสู่พุทธวงค์โดยมีพระโสดาบันเป็นอริยบุคคลขั้นตน… เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เพราะเข้ามาอาศัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันเกษม… ( จึงมีคำว่าสมมุติโลก สมมุติธรรม จึงบัญญัติ จริงสัจจะ ) 😊
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิเโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสนา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้
@@kritsanachaidet9939 ตามสมมุติบัญญัติ สมมุติสงฆ์สูงกว่าสมมุติทั้งหลาย แม้สตรีเพศที่บวบเข้ามาอาศัยในพุทธศาสนาจะพรรษามากกว่าก็ยังต้องเคารพศรัทธาพระภิกษุที่บวชเข้ามาใหม่ เพียง 1 วัน ก็มีระบุไว้ในคุรุธรรม 8 ประการ พุทธบริษัท 4 ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสีกา เมื่อนำกายกับจิต เข้ามาอาศัยพระพุทธศาสนา ย่อมรู้ประโยชน์อันสูงสุดคือ เข้ามาอาศัยเพื่อดับทุกข์ มิได้มาแสวงหาประโยชน์เพื่อตน มิเช่นนั้นยังเป็นผู้ประมาทในทาง
สาธุครับ
นายมโนเสนอข้อมูลเพื่อให้สนับสนุนความเห็นตัวเอง เสนอไม่รอบด้าน
แล้วไง นี้ก็เป็นข้อมูลให้ได้คิดวิเคราะห์ ศาสนาแย่เพราะพวกงมงายนับถือแบบไม่ใช้สมอง
มโนตามชื่อ
❤รักแท้ ทำได้ ถ้ารักจริง
❤ปฎิบัติในรักจริง และ ทน
❤และปฎิบัติ ชีวิตรับผิดชอบให้ดีและให้ถูก❤❤❤❤
ອ່ານພຣະໄຕຣປີດົກສະບັບມະຫາຈຸລາແລ້ວຄິດຄືກັນເລີຍ คิดเหมือนกันเลยค่ะ ท่านกัสสปะไม่เพีกถอนแต่ฉวยโอกาสบัญญัติเพิ่มเรื่องอาบัดพระอานนท์ 5 ข้อไม่มีในวินัยเลยค่ะ แต่พระอานนท์ก็รับอาบัดนั้น แล้วท่านกัสสปะก็ไล่พระอานนท์ให้ไปกับสงหมู่ใหญ่นั่งเรือไป👌🏻
สาธุๆอนุโมทามิ
ควรใช้วิทยากรที่มีความรู้จริง เปิดกว้าง ไม่มีอคติ หรือมีปมในใจ
ขอกราบสาธุนะค่ะ
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
🌻 สุสสูสํ ลภเต ปญฺญํ 🌻
🌾ผู้ตั้งใจฟังฯย่อมได้ปัญญา🌾
...................
...ใดๆ ล้วนสมมุติ...
...ความวิตก วิจารณ์ เป็นเรื่องปกติของธรรมที่มีกับทุกมนุษย์และเทวดา.
...ฟังเเล้ว อ่านประกอบในคัมภีร์ ก็จะมีความเข้าใจยิ่งๆ
...พระไตรปิฏก เข้าใจในจิตธรรมไม่ได้ง่ายมีปริศนาธรรมแฝงไว้ บังไว้ทั่วทั้งวินัยปิฎก และสุตตันตปิฎก.
...ให้ทุกมนุษย์และเทวดามี
...วิตก
...วิจารณ์
...ปีติ
...สุข
...เอกัคตา จงทุกประการธรรม.
🌾สรณะนี้สูงยิ่งเป็นพยานตน🌾
🌱🌱🌱🌱
ขอบคุณ ทีมงานทุกๆ ท่านครับ
🤟🙏💓💕💞💗🥰🤩😍
การตั่งคำถามนเดีครับ แต่คนที่มาตอบคำถามนะ มันถูกต้องรึป่าวๆๆครับ
พระมหากัสสปะ, พระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพราหมณ์ก็จริง ก่อนออกบวชท่านทั้ง 2 ท่านไม่ได้สนในวรรณะเดิมของท่านเลยนะ
ฟังดูก็รู้ครับ ว่านายมโน เป็นกลางหรือมาทำให้แตกแยกนะ 😅😅😅😅😅😅😅😅
รู้ได้ไงว่า 2 ท่านไม่ได้สนในวรรณะเดิม ถามหน่อย ชาติที่แล้วเกิดในสมัยพุทธกาลหรือ อ่านมาก็เชื่อกันไป เราไม่รู้จริงๆ หรอกว่า 2 ท่าน สำนึกยังเป็นพราหมณ์อยู่หรือไม่ การที่คิดว่านักบวชสมัยนั้นจากที่เคยเป็นพราหมณ์ มาบวชเป็นพระ ซึ่งสำนึกของพราหมณ์ยังติดตัวมาก็อาจเป็นไปได้ ซึ่งไม่ไม่น่าจะปิดกั้นทางความคิด การเชื่อและนับถือแบบงมงายควรเลิกกันเสียที
@@PK-qk3sh กดไลค์ให้นะ ยังกล้าอุตส่าห์มาตอบแบบแถๆๆๆ นะ 👈😃😀😄🤣😂😅😅😅😅
@@PK-qk3sh อ่านหนังสือเป็นเป่าาาละ
ถ้าอ่านออกเป็น ลองอ่านประวัติทั้ง 2 ท่านดู ว่าก่อนออกบวช ท่านทั้ง 2 ทำอะไรเกี่ยวกับวรรณะเดิม ของท่านมั้งนะ!?!?!?!?!?!?
เรื่องของอดีตชาติผ่านมานานแล้ววว คนละส่วนกันครับ
@@น้ํามันหอมผักกาด ไม่มีใครรู้หลอกว่าเป็นจริงตามที่เขียนๆ มาไหม เขาก็วิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารที่อ่านมากันทั้งนั้น และมันคงไม่จริง 100% ตามที่เขียนมาหลอก อ่านแล้วก็เชื่อโดยไม่ใช้สมองวิเคราะห์ เชื่อมันทั้งหมด
หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิดโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสดา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้.
อนุโมทนาช่องนี้จริงๆ
รายการนี้ดูติดตามมาตลอด_แต่เอาท่านอาจารย์คนนี้มาวิจารย์โดยที่ไม่ศึกษาข้อมุลทำให้รายการประวัติศาสต์นอกตำราดูไม่ดีเลย_😢
จริงๆอาจารย์คนนี้ ตอนสมัยบวช ก็เก่งมากนะครับ แตกฉานตำรามากเช่นกันครับ เรียกว่าแกก็ค้นคว้ามาไม่น้อยเช่นกันครับ 29:30
เขาก็บอกว่าเป็นอีกมุม
คนบางกลุ่มก็เหมือนจะเป็นทุกข์เฉยเลย
เคยฟังอาจารย์เล่าช่องไทยเทพ ก็น่าสนใจดี ขอบคุณรายการที่เอามุมนี้มา
เราควรเสมอภาค ภิกษุ ภิกษุณี ก็คือมนุษย์เหมือนๆกัน ศาสนาทุกศาสนา มักมีข้อจำกัดของผู้หญิงเสมอ
ไม่ต้องบวชก็นิพพานได้ครับ ดูคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมเป็นตัวอย่างครับ
ในทางจิตแล้วไม่แบ่งเพศ มีความสามารถเท่ากันหมด แต่ความจริงในทางสรีระผู้หญิงอ่อนแอกว่าชาย มีเรื่องจุกจิกเยอะกว่าในการดำรงชีพ เช่นมีประจำเดือน อยู่ป่าอยู่วีดมีอันตรายจากภายนอกมากกว่าเช่นการถูกข่มขืน ถูกปล้นสู้ไม่ได้ ดังนั้นการบัญญัติสิกขาบทหรืออะไรต่างจะไม่เท่ากัน
สาธุๆๆจ้า
17:48 พระอานนท์ รับจบทุกอาบัติ 😅
55555555555555555555555 พระอานนท์บอกผ่านไปแล้วหลายปียังเป็นประเด็นได้
@@ธนากรณ์คูณทา คนไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด
กราบสาธุ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ
คนที่เก่งเรื่องพุทธประวัติมีมากมาย ไม่เอามาออก แต่เอา อ.มโน มาออก ทั้งที่ประวัติก็ไม่ดีเลย แถมกล่าวตู่พระมหากัสสะปะ อีกด้วย แบบนี้ลูกหลานมาฟังเกิดหลงเชื่อ มหากัสสปะท่านก็เสียสิครับ
ก็ให้เขามโนต่อไปเถอะโยมเอ้ย อย่าไปถือสาเขาเลย อย่าไปทุข์ตามเขาเลย เขาบวชเพื่ออะไรตัวเขาเองก็รู้ เขาสึกเพราะอะไรเขาเองก็รู้ สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตัว เสียดายความสามารถทางการศึกษา ศึกษาเพื่อทำให้จิตของตัวเองและคนอื่นเศร้าหมอง ...สุดๆแผ่เมตตาให้เขาเถอะ..สัพเพ...
เป็นกำลังใจให้ทีมงาน
ผมคิดบางทีถ้าเกิดไม่ทันการแสดงความคิดเห็นว่าตัวเองถูกนั้นไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งเช่นเห็นท่านมหากัสสปะท่านรู้ได้ว่าอย่างไงว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด500 องค์ พระอรหันต์ท่านรู้จิตกัน ผมไอ้คนพูดเช่นนั้แหละทำให้ศาสนาเสื่อม ไม่รู้จริงอย่าบังอาจพูดอเวจีมหานรกแน่ๆครับคนนี้
ชื่อก็บอกอยู่ ประวัติศาสตร์นอกตำรา จะให้ถูกใจแบบตำราที่ร่ำเรียนกันมาก็แปลก มันคือการนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ของนักวิชาการคนหนึ่ง ก็เท่านั้น ใช้วิจารณญาณในการรับชมครับ
😅😂😮🎉
นอกลู่นอกทาง
เป็นกำลังใจให้ทีมงาน รวมถึงคุณมโนครับ นอกตำราของจริง ผิดกับที่เคยรับรู้มาเลย ต้องพิจารณาปวศ.กระแสหลักใหม่ซะแล้ว
ทีมงานไม่เอาหนังสือของท่าน ป.อ. ปยุตโต ชื่อ "ตื่นกันเสียทีจากความเท็จของหนังสือเหตุเกิด พ.ศ.1" มาเป็นข้อมูลอีกด้าน
ใช่
ผมว่าต้องเอาทั้งสองเล่มมาสู้กันครับ ดูว่าอะไรมีเหตุผลมากกว่า เราจะเอาเล่มใดเล่มหมึ่งมาอ้างอิงไม่ได
ใช่
@@Redmic-iz3ugไม่ว่าเล่มใด ล้วนเป็นเรื่องแอบอ้างทั้งนั้น หาความจริงไม่ได้ ดูแค่ศีลห้าก็พอ "ปาณาติปาตาฯ" หากไม่ฆ่าสัตว์ นักบวชจะกินอะไร นี่มันตอแหลชัดๆ🙏🙏🙏
@@Fcku1231เรื่องของ อัลเลาะ อิสลาม อย่ามายุ่งกับเรื่องของศาสนาอื่น
หลายๆคนสงสัยว่าทำไมรายการนำเสนอข้อมูลจากด้านเดียว ให้ย้อนกลับไปอ่านชื่อรายการนะครับ "ประวัติศาสตร์นอกตำรา" รายการเขาต้องการนำเสนอความคิดเห็นจากตำราและความเชื่อกระแสหลักครับ
ถ้าจริงแบบนั้นก็ดีครับ กลัวมีเจตนาอื่นแอบแฝงนะซิ
ใช่ครับเป็นการเสนอมุมมองนอกอำนาจศาสนจักรของรัฐ
ช่วยเปิดมุมมองมาก ขอบคุณครับ
ทำไมจึงพูดว่าสังฆประหาร ยึดอำนาจโดยพระมหากัสสปะ ? ทั้ง ๆ ที่มูลเหตุก็บอกว่ามีภิกษุจาบจ้วงธรรมวินัย ? ฟังแล้วก็ตะหงิด ๆ
เหมื่อนมีอะไรแอบแฝงเนอะ
น่าเป็นห่วงหมอท่านนี้ครับ
กล่าวร้ายพระอริยะมานาน
พระมหากัสสปะ มีคุณใหญ่
ภิกษุณีชื่อ ถุลลติสสา เคย-
พูดร้ายต่อท่านแล้วชิบหาย
พวกเราจงทำใจเลื่อมใสเถิด
ขอบคุณครับที่คุณมองออก
🎉
@@สัทธินทรีย์พุทธานุสสติ ใครว่าพระอรหันต์แค่ 1 คือพระมหากัสสปะ เท่านั้น.......พระอรหันต์ ตั้ง 499+1(พระอานนท์)
ขอบคุณครับที่มีสาระ
ใน 4:45 ใครจะไปรู้ว่า ใครเป็นอรหันต์ไม่เป็นอรหันต์ คำกล่าวนี้ผิดหรือป่าวคับ? มันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะพระบรมศาสดาเพิ่งดับขันธปรินิพพานไป ยังมีภิกษุที่พระบรมศาสดาได้รับรองสภาวะจิตว่าเป็นอรหันต์อยู่ ซึ่งท่านก็จะรู้สภาวะจิตของภิกษุอื่นได้ด้วยการทวนสอบสภาวะจิต ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรคับ
ประเด็นครุธรรมข้อที่8 ย่อมมีความถูกต้องโดยแม้ เพราะการทีาอรหันตภิกษุณีสอนธรรมเสกขภิกษุผู้ที่ยังมีอาสวะอยู่นั้น ย่อมมีความเสี่ยงต่อภัยที่จะเกิดขึ้นกับภิกษุณีและเป็นภัยต่อการดำรงอยู่อย่างยาวนานของพระศาสนา และยังสอดคล้องกับข้อก่อนหน้าที่ว่า ภิกษุณีต้องถามวันอุโบสถและฟังธรรมจากภิกษุทุกๆกึ่งเดือน เมื่อครั้งพุทธกาลที่ภิกษุณีสอนธรรมภิกษุจนบรรลุอรหันต์นั้น ภิกษุณีผู้เป็นแม่สอนภิกษุผู้เป็นลูกในไส้ ข้อนี้ย่อมไม่ผิดต่อเจตนารมย์ของครูธรรม ย่อมถือเป็นข้อยกเว้นได้ไม่ใช่หรือคับ?
แล้วที่ท่านกล่าวว่า พระศาสนาหมดไปจากแผ่นดินอินเดียเพราะการแต่งพระสูตรจำกัดภิกษุณีไม่ให้สอนธรรม ข้อนี้หาเป็นเหตุเป็นผลไม่ เพราะครุธรรมจำกัดเฉพาะการสอนภิกษุ ไม่ได้จำกัดการสอนญาติโยมผู้เป็นฆราวาสไม่ การเที่พระศาสนาเสื่อมจากแผ่นดินอินเดียย่อมมีเหตุปัจจัยข้ออื่นๆ ที่สำคัญไหมคับ?
การที่บุรุษและสตรีมีความเท่าเทียมกันตามหลักพระศาสนานั้น คือมีความเท่าเทียมในการฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม หาใช่มีความเท่าเทียมในการประพฤติไม่ เพราะพระบรมศาสดาท่านเข้าใจธรรมชาติตามหลักสรีรศาสตร์คับ
พระพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งเพื่อปัญญาอันยิ่ง เพื่อความดับทุกข์ ซึ่งมีหลักใหญ่ว่าด้วยเรื่องการปฏิบัติและเรื่องของจิตธรรมชาติของจิต ไม่ใช่การนั่งคืดวิเคราะห์เอาเอง เพราะการคิดวิเคราะห์คือการทำงานของสมอง ซึ่งถือเป็นกายไม่ใช่เป็นไปโดยธรรมชาติของจิตคับ ดังนั้นท่านถึงจำแนกเป็น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ หากมีแค่ปริยัติ หากเป็นสงฆ์ก็เป็นได้แค่สงฆ์ใบลาน ถือเป็นแค่สมมุติสงฆ์ แล้วถ้าเป็นแค่สมมุติสงฆ์หรือเคยเป็นแล้วยึดถือว่าตัวเองถูกตัวเองเลิศ อย่างนั้นเรียกว่า คนหลงสมมุติไหมคับ? เพราะพระศาสดาท่านทรงบัญญัติไว้อย่างชัดเจนเพียงแค่ 4 เหล่าไหมคับ? พระศาสนาเสื่อมก็เพราะคนที่ไม่ปฏิบัติแล้วบอกว่าตัวเองรู้แล้วพาคนอื่นหลงนี่ล่ะคับ
@@paphonwitdaothaisong3083 หลวงพี่ จักได้อรรถาธิบาย ขยายความกระทู้ธรรมพุทธภาษิตที่ทรงลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางประพฤติสัมมาปฏิบัติสิบต่อไป ....พุทธธรรมภาษิตนี้ท่านชี้ ให้เห็นว่า..... ครูธรรม 8 ที่ตถาคตได้บัญญัตินั้น ในพุทธกาล สตรี ในยุคนั้น โดนกีดกัน ไร้สิทธิ์เสียง (แปลง่ายๆ โดนเหยียบตลอด) ในตอนต้น ที่ยังไม่ทรงอนุญาติให้บวช เพราะ ศาสนายังไม่มั่นคง ในสายตา คนยุคนั้น จะนำเหตุสตรี เข้าคณะสงฆ์ มาเป็นข้อเหตุ ให้เผยแผ่พุทธธรรม ไม่มั่นคง (เพราะทุกลัทธิ เตรียมจ้องล้างผลาญ จับผิด ทุกลมหายใจ) พอผ่านนานหลายพรรษา ทรงเห็นว่พุทธธรรมมั่นคง พอจะมีปีกแผ่น ก็ทรงอนุญาติให้สตรีเข้าคณะสงฆ์ ครุธรรม 8 เป็นเครื่องหมาย วุฒิภาวะ คุณสมบัติ ที่ทรงประกาศให้ทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้รู้ ทราบว่า สตรี ที่เข้าคณะสงฆ์ มีความวิริยะ อุตสาหะ เป็นเลิศในการประพฤติในธรรมะ เมือทุกหมู่ชน ในชมพูทวีป ได้เห็นได้ตรวจสอบ ว่าสตรีที่ทรงรับเข้าคณะสงฆ์ มีความหนักในธรรม ทำให้ความเชื่อที่(กดขี่ ดูแคลน เหยียบสตรีจมดิน) ยิ่งกว่าฝังรากในเรื่องสตรี ในสมียนั้น เป็นที่ยอมรับ ในหมู่ชน ที่สตรีได้เข้าหมู่คณะสงฆ์ (ครูธรรม เป็นเครื่องหมายให้ศาสนา มั่นคง ที่มีสตรี ในหมู่สงฆ์ เป็นพุทธรรมที่ ปกป้องทั้งพระศาสนา และปกป้องทั้งสตรี) อย่ามองว่ากดขี่เพศสตรีเลย เพราะสมัยนั้น ป็นเรื่องที่ยากมาก มหาโคตรยากมาก ที่ในวิถั ความเชื่อ ยุคนั้น ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส ให้แก่สตรี ตถาคต สัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านั้น ที่เปิดโอกาส ทรงสรรเสริญ ยกย่อง ให้สตรีเสมอบุรุษ (ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ยุคนั้น กดขี่สตรี ทุกๆอย่าง) พระศาสดา ทรงอุตสาหะ ไตร่ตรอง เหนื่อยยากมาก กว่าจะนำเอกภาพ เสมอภาค มาให้สตรี ในยุคนั้นได้ ......... (เพราะ ทุกลัทธิ ทุกความเชื่อ ทุกหมู่ชน ในยุคนั้น พร้อมจะทัวร์ลง พระศาสนา อย่างรุนแรงหนักหน่อง ทันที ในเรื่องนี้.