Це відео не доступне.
Перепрошуємо.
ธรรมเหล่านี้ควรเจริญ | สุตตมยญาณนิทเทส | แสดงสุตตมยญาณ | ญาณกถา ปฏิสัมภิทามรรค
Вставка
- Опубліковано 28 чер 2024
- ธรรมเหล่านี้ควรเจริญ
สุตตมยญาณนิทเทส
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ
เล่มที่ ๓๑ ข้อ ๒๕-๒๘
ความยาววีดิทัศน์ 75:12 นาที
-------
การทรงจำธรรมที่ได้สดับมาว่า “ธรรมเหล่านี้ควรเจริญ” ปัญญารู้ชัดธรรมที่ได้สดับมานั้น ชื่อว่าสุตมยญาณ เป็นอย่างไร คือ
ธรรมอย่างหนึ่งควรเจริญ คือ กายคตาสติอันสหรคตด้วยความสำราญ
ธรรม ๒ ควรเจริญ คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑
ธรรม ๓ ควรเจริญ คือ สมาธิ ๓
ธรรม ๔ ควรเจริญ คือ สติปัฏฐาน ๔
ธรรม ๕ ควรเจริญ คือ สัมมาสมาธิ มีองค์ ๕
ธรรม ๖ ควรเจริญ คือ อนุสสติ ๖
ธรรม ๗ ควรเจริญ คือ โพชฌงค์ ๗
ธรรม ๘ ควรเจริญ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘
ธรรม ๙ ควรเจริญ คือ องค์อันเป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ (ปาริสุทธิ) ๙
ธรรม ๑๐ ควรเจริญ คือ กสิณ ๑๐
ภาวนา ๒ คือ
โลกิยภาวนา ๑
โลกุตรภาวนา ๑
ภาวนา ๓ คือ
การเจริญธรรมอันเป็นรูปาวจรกุศล ๑
การเจริญธรรมอันเป็นอรูปาวจรกุศล ๑
การเจริญกุศลธรรมอันไม่นับเนื่องในโลก (โลกุตรกุศล) ๑
การเจริญธรรมอันเป็นรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล เป็นส่วนเลวก็มี เป็นส่วนปานกลางก็มี เป็นส่วนประณีตก็มี
การเจริญกุศลธรรมอันไม่นับเนื่องในโลก เป็นส่วนประณีตอย่างเดียว
ภาวนา ๔ คือ
เมื่อแทงตลอดทุกขสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑
เมื่อแทงตลอดสมุทัยสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑
เมื่อแทงตลอดนิโรธสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑
เมื่อแทงตลอดมรรคสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑
ภาวนา ๔ อีกประการหนึ่ง คือ
เอสนาภาวนา ๑
ปฏิลาภภาวนา ๑
เอกรสาภาวนา ๑
อาเสวนาภาวนา ๑
เอสนาภาวนาเป็นไฉน
เมื่อพระโยคาวจรทั้งปวงเข้าสมาธิอยู่ ธรรมทั้งหลายที่เกิดในธรรมอันเป็นส่วนเบื้องต้นนั้น มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น ภาวนานี้ จึงชื่อว่าเอสนาภาวนา
ปฏิลาภภาวนาเป็นไฉน
เมื่อพระโยคาวจรทั้งปวงเข้าสมาธิแล้ว ธรรมทั้งหลายที่เกิดในสมาธินั้น ไม่เป็นไปล่วงกันและกัน เพราะฉะนั้น ภาวนานี้จึงชื่อว่าปฏิลาภภาวนา
เอกรสาภาวนาเป็นไฉน
เมื่อเจริญสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่าน้อมใจเชื่อ อินทรีย์อีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน
เมื่อเจริญวิริยินทรีย์ด้วยอรรถว่าประคองไว้ อินทรีย์อีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถแห่งวิริยินทรีย์...
เมื่อเจริญสตินทรีย์ด้วยอรรถว่าตั้งมั่น อินทรีย์อีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถแห่งสตินทรีย์...
เมื่อเจริญสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน อินทรีย์อีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์...
เมื่อเจริญปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่าเห็น อินทรีย์อีก ๔ อย่าง มีกิจอย่างเดียวกันด้วยสามารถปัญญินทรีย์...
เมื่อเจริญสัทธาพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะอสัทธิยะ พละอีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถสัทธาพละ...
เมื่อเจริญวิริยพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะโกสัชชะ พละอีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถวิริยพละ...
เมื่อเจริญสติพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะปมาทะ พละอีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถสติพละ...
เมื่อเจริญสมาธิพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะอุทธัจจะ พละอีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถสมาธิพละ...
เมื่อเจริญปัญญาพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะอวิชชา พละอีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถปัญญาพละ...
เมื่อเจริญสติสัมโพชฌงค์ ด้วยอรรถว่าตั้งมั่น โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถสติสัมโพชฌงค์...
เมื่อเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าเลือกเฟ้น โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถธรรมวิจยสัมโพชฌงค์...
เมื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าประคองไว้ โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถวิริยสัมโพชฌงค์...
เมื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่า ซาบซ่านไป โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถปีติสัมโพชฌงค์...
เมื่อเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าสงบ โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
เมื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถสมาธิสัมโพชฌงค์
เมื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าพิจารณาหาทาง โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถอุเบกขาสัมโพชฌงค์...
เมื่อเจริญสัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็นชอบ มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาทิฐิ...
เมื่อเจริญสัมมาสังกัปปะด้วยอรรถว่าตรึก มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาสังกัปปะ...
เมื่อเจริญสัมมาวาจาด้วยอรรถว่ากำหนดเอา มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาวาจา
เมื่อเจริญสัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมากัมมันตะ...
เมื่อเจริญสัมมาอาชีวะด้วยอรรถว่าผ่องแผ้วมรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาอาชีวะ...
เมื่อเจริญสัมมาวายามะด้วยอรรถว่าประคองไว้ มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาวายามะ...
เมื่อเจริญสัมมาสติด้วยอรรถว่าตั้งมั่น มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาสติ...
เมื่อเจริญสัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน
มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาสมาธิ...
อาเสวนาภาวนาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเสพเป็นอันมากซึ่งสมาธิที่ถึงความสำราญ ตลอดเวลาเช้าก็ดี เวลาเที่ยงก็ดี เวลาเย็นก็ดี ตลอดเวลาก่อนภัตก็ดี เวลาหลังภัตก็ดี ตลอดคืนก็ดี ตลอดวันก็ดี ตลอดคืนและวันก็ดี ตลอดฤดูฝนก็ดี ฤดูหนาวก็ดี ฤดูร้อนก็ดี ตลอดส่วนวัยต้นก็ดี วัยกลางก็ดี วัยหลังก็ดี
ภาวนา ๔ อีกประการ คือ
ภาวนา ด้วยอรรถว่าไม่ล่วงกันและกันแห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้น ๑
ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ๑ ...
กราบสาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
🌲🍂 🙏🙏🙏 🍂🌲
กราบขอบพระคุณค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ 🙏🙏🙏