Gen z บลาๆ มีความสามารถนะ แต่เห็นแก่ตัวไปหน่อยความรับผิดชอบค่อนข้างน้อยเพราะยังไม่มีประสบการณ์ ถ้าวันนึงต้องไปเป็นนายจ้าง ก็คงไม่ต่างอะไรกับ gen y เพราะตอนนี้น้องๆเขาคงไม่รู้ว่า ถ้าทำงานสายงานนี้ จะต้องมี contact ตลอด ถึงในสัญญาจ้างจะไม่มีให้ต้องทำที่ทำงานตลอด แต่ Active ตัวเองกับงานไม่ได้ก็เท่ากับล้มเหลวแล้ว ถ้าวันนึงรับงานเอง Active ลูกค้าตลอดไม่ได้ก็จบ ไม่มีคนจ้างแน่ๆ ถึงจะส่งทันวันนัดก็จริงอยู่ แต่การที่ไม่ค่อยตอบหรือ active กับงานกับลูกค้าหรือนายจ้าง เหมือนฆ่าตัวตายชัดๆ เพราะถึงจะมีโอกาสครั้งนึงหรือครั้งต่อไป ก็จะเป็นโอกาสสั้นๆเท่านั้น.
หลังจากมีคนคอมเมนต์เข้ามาเยอะมาก แต่หลัง ๆ เริ่มซ้ำกันแล้ว ผมจึงหยุดอภิปรายกับทุกท่านอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ยังสามารถคอมเมนต์แสดงความเห็นได้อย่างอิสระ และสรุปการอภิปรายเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. Case-Study นี้ ต้องการสื่อให้เห็นถึงความจำเป็นของการปฏิบัติตามสัญญาเท่านั้น - นายจ้างและลูกจ้างควรตกลงเงื่อนไขการว่าจ้างให้เรียบร้อยก่อนทำสัญญา และเมื่อลงชื่อแล้วต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด หากทำงานร่วมกันแล้วปฏิบัติไม่ได้ควรแสดงให้เห็นถึงความพยายามจนถึงที่สุดก่อนเรียกร้องให้แก้ไขสัญญา
2. ลูกจ้างใน Case-Study นี้ ตัดสินใจละเมิดสัญญาจ้างและบีบให้นายจ้างปรับเปลี่ยนสัญญา เมื่อทัศนคติของลูกจ้างเรื่องความรับผิดชอบไม่ตรงกับนายจ้าง การแยกจากกันจึงเกิดขึ้น
3. ใบผ่านงานตามมารยาทจะไม่เขียนถ้อยคำเสียหาย, สาเหตุที่ให้ออก แม้ผมบอกว่าใบผ่านงาน "ดูไม่สวย" แต่ไม่ได้แปลว่านายจ้างจงใจขยี้ให้จมดิน แต่เป็นคำอธิบายตามจริงทั้งข้อดีและข้อสังเกต
4. WFH หรือ On-Site อะไรดีกว่ากัน เป็นสิ่งที่ตอบได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและตำแหน่งงาน ถ้าอำนวย WFH หรือ Flexible สามารถเกิดขึ้นได้ตามวิจารณญาณของนายจ้าง
5. ไม่มีระบบการทำงานใดที่จะโดน Disrupt เพราะเหตุผลข้อ 4
6. อำนาจปกครองลูกจ้างคือสิ่งที่นายจ้างต้องคุมให้อยู่ แต่จะปกครองด้วยพระเดช, พระคุณ เป็นธรรมขนาดไหนอยู่ที่นายจ้าง
7. Case Study นี้ผมไม่ได้เล่าอย่างเป็นกลางและตั้งธงเรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสัญญาจ้างเป็นหลัก ส่วนประเด็นอื่นผมอาจเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับเพื่อนผมซึ่งเป็นนายจ้างก็ได้
8. สิ่งที่ผมเล่าใน Case-Study คือสิ่งที่ผมรู้ และผมไม่สามารถจินตนาการโน่นนี่ถึงสิ่งที่ไม่รู้ได้
9. เจ้าของธุรกิจที่มีประสบการณ์โชกโชนมักไม่วิจารณ์ระบบการทำงานหรือวัฒนธรรมองค์กรของผู้อื่น เพราะรู้ดีว่าองค์ประกอบและบริบทมันซับซ้อน หากไม่เคยสัมผัสแล้วเผลอแสดงความเห็นอาจปล่อยไก่ได้
10. นายจ้างและลูกจ้างล้วนมีทางเลือก นายจ้างมีสิทธิ์เลือกลูกจ้า่ง และลูกจ้างก็มีสิทธิ์เลือกนายจ้างเช่นกัน
11. ความสัมพันธ์ของนายจ้างละลูกจ้างมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ถ้าเห็นไม่ตรงกันแล้วปรับเปลี่ยนไม่ได้จะแยกทางกันก็ไม่แปลกอะไร
12. นายจ้างและลูกจ้างล้วนเป็นมนุษย์ ดังนั้นอย่ามองว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ (แต่เป็นมนุษย์ที่ดีหรือไม่ก็อีกเรื่อง)
กรุณาแสดงความเห็นโดยไม่กล่าวหา, ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, เหยียดฐานะ-การศึกษา, บูลลี่ และตราหน้าชาวบ้าน
เออใช่! อย่าโยงการเมือง ลบไปเยอะพอสมควรแล้ว
ขอบคุณครับ
คุณเปนคนที่ พูดความจริงอย่างมากในเรื่องที่ผมเจอ ก็เเบบนี้เลยจริงๆ ครับ. เป๊ะมาก
เขียนดีครับ ดูเป็นคนอ่านเยอะ วิเคราะห์เยอะ 😉👍
ขอบคุณที่แบ่งปันครับ
ล
........
"กฎ ระเบียบ และความรับผิดชอบ" เป็นสิ่งที่สำคัญมากเมื่อมีคำว่า "ส่วนรวม" คลิปนี้อย่างดีเลยครับคุณโต
สิ่งที่น้องคิดและอยากได้มันคืองานของฟรีแลน จ้างกันเป็นชิ้นเป็นโปรเจค แต่ลูกจ้างนี้เข้าซื้อเวลาลูกจ้างมาเป็นของเขา จะมีงานให้หรือไม่มีก็ต้องจ่ายตลอด เป็นต้นทุนของนายจ้างแบบหนึ่ง ไม่งั้นเขาจ้างฟรีแลน ดีกว่าไม่ต้องมีภาระ
@TLE WORAYUT ผมขออนุญาตขำาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา แบบยาวๆ 555555555555555555
ตามนั้นแหละ เขาจ่ายผมเดือนเป็นเงินเดือนประจำเดือนเป็นแสนๆ เพราะต้องการความใช้งานได้ทันทีถึงแม้ผมจะนั่งเล่นเกมส์ออนไลน์ ทำงานนอก ในออฟฟิตทั้งวันก็ตาม
ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่...กลับเห็นด้วยในเรื่องของความรับผิดชอบต่อสัญญาจ้างและความอ่อนน้อมถ่อมตนครับ
.
ส่วนตัวมองว่า การเป็นคนทะนงตนไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือแย่ แต่ต้องดูบริบทให้เหมาะสมด้วยครับ
.
ที่เห็นต่างอาจจะเป็นเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ส่วนตัวอยากให้เป็นคำว่า"ให้เกียรติซึ่งกันและกัน"มากกว่า...ใครให้เกียรติอีกฝ่ายได้มากกว่า ไม่ว่านายจ้างหรือลูกจ้าง ย่อมเป็นฝ่ายที่ชนะครับ
รู้สึกเหมือนกันว่ารู้สึกทริกเกอร์กับคำว่า "บุญคุณ" มันไม่ใช่อ่ะกับบริบทของการทำงานแลกค่าครองชีพ มันควรจะเป็นคำว่า การให้เกียรติซึ่งกันและกันมากกว่าจริงๆ
ในการทำงานร่วมกันหรือการมีปฎิสัมพันธ์ร่วมกันไม่ว่าจะในบริบทที่ดีหรือบริบทที่กำลังรู้สึกแย่ต่อกัน
ให้เกียรติกับบุญคุณ คนรุ่นเก่าเขาถือว่ามีบุญคุณเพราะ คุณคือคนในส่วนที่เค้ารับผิดชอบ เช่นถ้าพนักงานไม่สบายก็ไปเยี่ยมเยียน คลอดลูกก็ให้สิ่งของ ฯลฯ ถ้าเป็นความสัมพันธ์แบบคนกินเงินเดือนก็แค่ไม่ผูกพันกัน จ่ายเงินแต่ละเดือนก็จบ สวัสดิการอื่นก็อาจไม่มี ถ้าให้เกียรติกันก็จะไม่ได้รับในส่วนดังกล่าว อย่างน้อยสุดนายจ้างกับลูกจ้างมันก็ฐานะต่างกันแล้ว ถ้าคุณเป็นนายจ้างก็คงจะรู้เอง นายจ้างส่วนใหญ่ (ส่วนใหญ่นะ)เค้าคำนึงถึงลูกน้อง มีความเป็นห่วงเป็นใย มีความผูกพัน
อยากให้แปลไทยเป็นไทย คำว่า "เกียรติ" ในบริบทนี้หน่อยน่ะครับ ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจ
มันไม่โอเคตั้งแต่ตอนบอกว่า ทุกคนรอน้องคนเดียวในการประชุม แล้วค่ะ น้องเขาเรียกร้องให้เจ้านายเคารพสิทธิ์ของน้องเขา แต่น้องเขากลับไม่เคารพสิทธิ์ของคนอื่นเลยสักนิด
ปัญหาอีกประการหนึ่งของการ WFH คือเจ้าของธุรกิจไม่สามารถควบคุมการรั่วไหลของข้อมูลได้ ลูกจ้างบางคนนำข้อมูลไอเดีย รูปแบบงาน แผนการตลาดไปเสนอบริษัทคู่แข่ง ถ้าอยาก WFH จริงๆแนะนำให้เป็นฟรีแลนซ์ประจำดีกว่า รับงานต่องาน
มันรั่วออกได้อยู่แล้ว จึงไม่มี WFH ต่อตาม อย่าลืมว่า ลูกจ้างก็ต้องมีสามี ภรรยา แล้วเกิดคู่สมรส อยู่บริษัทคู่แข่ง ด้วยแค่นี้ข้อมูลก็รั่วไหลรั่วๆเลย สรุป นายจ้างที่ไหนเค้าเอาข้อมูลสำคัญไปบอกลูกจ้าง เค้าบอกแต่กับ หุ้นส่วนเท่านั้น ที่มันมีผลได้ผลเสียอยู่
เห็นด้วย
WFH ถ้าทำที่บริษัทนึงได้ ย่อมทำอีกบริษัทนึงได้ คราวนี้รับจ็อบ 3 บริษัท ได้เงินเดือน 3 ที่ โดยที่นายจ้างไม่รู้ แจ่มเลยคราวนี้ แต่คนซวยคือ นายจ้าง เพราะลูกจ้างทำงานไม่เต็มที่
การรั่วไหลไม่ได้ขึ้นกับว่าทำงานที่ไหน ขึ้นกับความซื่อสัตย์สุจริตเพียงอย่างเดียว นั่งทำงานที่บริษัท ก็ก็อปข้อมูลไปได้ หรือส่งอีเมลไป หรือเอาทุกอย่างในหัวไปถ่ายทอด
ทำที่ออฟฟิศก็ควบคุมไม่ได้ครับ
ถ้าคิดจะเอาข้อมูลของ บ. ไปใช้ สมัยนี้มี Cloud แค่เปิดแล้วโยนไฟล์ใส่ก็ไม่มีใครรู้แล้วครับ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ไม่เกี่ยวกับ WFH เลย
อยู่ที่ความซื่อสัตย์ล้วน ๆ เลย
สำคัญตัวผิด แปลความหมายผิด ในการเป็นลูกจ้าง คือ รับจ้างเขา เอาเวลา เอาเเรงงาน เเลกเงิน เข้าสั่งอะไรก็ต้องทำ เพราะเขาจ่านยเงินซื้อเวลาเเละความคิด เเละเเรงงานไปเเล้ว เเต่ถ้าคำสั่งงี่เง่า ไม่อยากร่วมงานเเล้ว ดูเเล้วอยู่ไปไม่มีอนาคตก็ออกไป เเค่นั้น เเฟร์ทั้งสองฝ่าย เเต่เมื่อยังอยากได้เงิน ก็ต้องทำงาน ก็ต้องทำตามเงื่อนไขที่เขาจ้าง ตามที่ตกลงค่าจ้างกันไว้ ถ้าได้เงินไม่พอค่าใช้จ่าย เป็นเรื่องของลูกจ้างไม่ใช่เรื่องของนายจ้าง เงินให้ไปเเล้วใช้เปลืองเอง บอกทำงานได้เงินน้อย ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เเต่มีวิธีที่ดีกว่านั้น คือ ถ้าไม่อยากอยู่ภายใต้คำสั่งใคร ก็เปิดกิจการของตัวเอง เป็นนายตัวเอง
หลังๆคลิป คือเหมือนทำมาเพื่อกล่าวตักเตือนน้อง(หรือผมรู้สึกไปเอง) แต่อย่างว่าครับ ผมคนgenY เคยต้องทำงานกับคนรุ่นเก่ามาก่อนแล้วมาร่วมกับคนรุ่นใหม่ๆตอนนี้ แบบหนักกว่าน้องก็เคยเจอมาแล้วครับ ถ้าคนเคยทำงานอยู่ในระบบองกรณ์ที่มีพนักงานเยอะๆมาหลายปีก็น่าจะเคยเจอและเข้าใจเรื่องแบบนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ครับเป็นมานานแล้วเพียงแค่แต่ก่อนคนแบบน้องมีน้อย แต่ยุคหลัง ความคิดเด็กรุ่นใหม่เปลี่ยนไวด้วยปัจจัยหลายด้าน ผมเคยเป็นเหมือนน้องหลายช่วงครับ แต่ส่วนมากไปขอลาออกเอง ไม่เคยโดยเชิญออก ผิดในหน้าที่จะยอมรับทันที แต่ถ้าครั้งไหนที่รู้สึกว่าโดยเอาเปรียบไม่แฟร์ๆต่อกัน หรือไม่คุ้มที่จะเดินต่อกับทีม(บริษัท)นั้น ผมจะไปบอกคนที่สนิทว่าจะไปแล้ว และไปลาออกทันที หรือเบากว่านั้นคือไปขอทำข้อตกลงกันใหม่ ตกลงกันได้ก็อยู่ต่อ ตกลงกันไม่ได้ผมขอถอนตัวเองดีกว่า…ผมเลยไม่กล้าว่าเด็กรุ่นใหม่มาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราเกิดก่อนเราเคยเป็นเด็กมาก่อน แต่เด็กเขายังไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ครับ
เก่งจังเลยครับ ว้าวๆ
@@xoxax2148 ยังไงครับ ใครเก่ง เก่งอะไร
น้องเจอแบบนี้ก็น่าจะทำให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะผมว่า เก่งแต่ไม่อ่อนน้อม หาที่อยู่ยากครับ
เมื่อก่อนผมเคยเป็นคล้ายๆแบบนี้ พอมาย้อนกลับไปถ้าอ่อนน้อมมากๆแต่แรก ไม่พยศเกินเหตุ คงได้ดีกว่านี้แน่นอน ทำแบบนี้หาคนเมตตาเรายาก เมื่อก่อนเคยมีคนเตือนแต่ผมไม่สนใจ มาคิดได้เมื่อสายแล้วครับ ปัจจุบันอายุงาน 25ปีแล้ว
คือเด็กรุ่นนี้สนใจคำตักเตือนจากผู้ใหญ่ด้วยหรอครับ?
@@iamsak3867 ประเด็นนี้น่าสนใจ เอาเป็นว่ามันก็แล้วแต่บ้างคนละครับ
ผมเปิดวีดีโอคุณโดยที่ไม่รู้ว่าข้างในเป็นเรื่องอะไร แค่คิดว่าเปิดดูสักนิดแล้วจะปิด แต่ก็เปิดฟังจนหมด เนื้อหาดี การเล่าเรื่องดีมาก
คลิปนี้มีประโยชน์มากค่ะ เห็นด้วยกับที่บอกว่า ให้อ่านสัญญาจ้างให้ละเอียด ถ้าเราอยากได้เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น เราก็ควรหาองค์กรที่เขามีแนวปฏิบัติแนวคิดเดียวกับเราดีกว่า
แนะนำดีแล้วละครับยังไงเด็กรุ่นใหม่ก็ควรมีตัวอย่างใหม่ๆ ที่ชัดเจนให้รับรู้และปรับปรุง เป็นแนวทางชีวิตของเขาต่อไปครับ :)
ผมเพิ่งเคยได้ดูคลิปของคุณเป็นครั้งแรก เลยได้เห็นมุมมองของคนรุ่นใหม่(ตัวลูกจ้าง)ที่มั่นใจตัวเองสูง จนเข้ากับสำนวนยอมหักไม่ยอมงอ และได้เห็นสิ่งที่เคยมีในสังคมไทยมาเนิ่นนานที่ขาดหายในเคสนี้ นั่นก็คือความอ่อนน้อมถ่อมตนและความมีน้ำใจ เท่าที่ฟังในคลิปและที่คุณตอบคอมเม้นต์ฝั่งนายจ้างมีน้ำใจพอสมควร(การช่วยเหลือค่าเดินทางบางส่วน) แต่ฝั่งลูกจ้างไม่มีน้ำใจที่จะคิดถึงสิ่งที่ฝั่งนายจ้างต้องการเลย ทฤษฎีสว่านนั้นตั้งขึ้นมาผิดแล้ว การซื้อสว่านนั้นผู้ซื้อต้องการสว่านไม่ใช่แค่รูจากการใช้สว่าน หากฝั่งลูกจ้างคิดว่าตนเป็นสว่านนั่นหมายความว่าหากนายจ้างต้องการรูเมื่อใดเค้าย่อมหยิบสว่านไปเจาะได้ทันที จริงๆแล้วฝั่งลูกจ้างลายนี้คิดว่านายจ้างต้องการแค่ผลงานของตน ซึ่งหากคิดเช่นนั้นก็ไม่สมควรมาเป็นลูกจ้างประจำ ควรรับงานแบบฟรีแลนซ
หรือน่าจะไปทำกิจการของตนเองนะลูกจ้างรายนี้ การเอาเวลาของบริษัทไปทำงานส่วนตัว ไม่ว่าเรื่องพ่อแม่พี่น้อง มันก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว หรือใช้โทรศัพท์ส่วนตัวในการคุยเรื่องส่วนตัวก็ไม่ถูกต้อง แม้แต่ในที่ทำงาน
@@poplynn4293 เอาจริงๆคนเเบบนี้มีโอกาสไปได้ดีเเน่ๆกับการทำธุรกิจส่วนตัว อย่างน้อยเขาก็เป็นคนมีฝีมือ
@@keangzzzzzzz ก็ไม่แน่หรอก ทำอะไรได้คิดละเอียดแล้วหรือยัง ทำกับคนมีพระคุณอย่างคนในคลิปที่เป็น referee/reference แนะนำงานให้แบบนี้ ไปทำธุรกิจอะไรก็คงจะมีปัญหาไม่แตกต่างกัน
คืออันนี้อยากรู้นะว่าส่งใบเตือน 3 ครั้งได้มีการเรียกคุยไหม ทำไมคุยแค่ครั้งนี้แล้วมันก็พังเลย เหมือนว่าเขาเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ตอนนี้
นายจ้างหรือหัวหน้าฝ่ายควรจะเรียกคุยตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าคุณต้องรอน้องเข้าประชุมตลอด ครั้ง 2ครั้งมันควรมีการเรียกตักเตือน
ะนะ แต่นี่คือยังไงอะ อีเมลล์อย่างเดียวหรอ?
@@patnoppadol1994 เอผมว่าคำถามนี้มีคำตอบในคลิปแล้วนะครับ ลองฟังดูใหม่นะครับ
มีฝีมือทำงานออกมาดี มีความติสค่อนข้างสูง ต้องเป็นฟรีแลนซ์เท่านั้น หรือเปิดบริษัทๆเอง
บริษัท(ในส่วนOffice)ของคนรุ่น Babyboomer , X และ Y ต้นๆ ต้องการบรรยากาศในที่ทำงานที่คึกคัก มีคน มีเสียงถกเถียงคุยกัน และเห็นตัวคุณจนครบเวลาจ้าง จะอู้บ้างไรบ้างแต่ต้องเห็นตัวเป็นๆ
เพราะเราโตมาจากการทำงานคนละรูปแบบ คนละเทคโยโลยี นายจ้างก็ไม่ได้ผิด น้องคนนั้นก็ไม่ได้ผิดแต่มันยังเร็วไปสำหรับยุคนี้ แต่ถ้าจากนี้อีกซัก 10-20 ปีนี่จะเป็นเรื่องปกติ
@Tep Tep แม้ผมจะไม่ได้ถามเพื่อนผมเรื่องนี้ แต่รู้สึกได้ว่าในตอนท้ายมันอยากประนีประนอมกับน้องแล้ว เพราะเปลี่ยนหัวเรื่องเป็นสาเหตุที่ไม่เข้าประชุมเช้าตรงเวลา และไม่สามารถติดต่อในเวลางานได้ โดยผมเชื่อว่าถามไปเพราะต้องการดูทัศนคติ ถ้าน้องเลือกใช้คำมากกว่านี้อาจไม่ลงเอยโดนไล่ออกก็เป็นได้
ใช่
หัวอกเดียวกัน คนเป็นนายจ้าง
@@ttasac เราชอบน้องนะ ชัดเจน เราก็ติ๊สท์แตกแบบน้องนี่แหละ คนเก่งระดับนี้หาไม่ง่าย แค่ปรับจูนกันทั้งสองฝ่าย ลูกเราก็ เจ็น Z ทำงาน WFH แต่เรา เจ็น X... เข้าใจน้องมาก และเข้าใจนายจ้างค่ะ
@@ttasac ผ่านเข้ามากะว่าดูเล่นๆแต่ก็ดูจนจบ ซีนนั้นถ้าน้องไม่อ้างมาแบบนั้น คงจบสวยกว่านี้ คือในความติสของนางคงยึดไลฟ์บาลานซ์มากไป แถมยังคอนเซปมองว่างานจ้างกันเป็นชิ้นๆ ลืมมองไปว่าเขาจ้างเอาเวลาชีวิตน้องเขา มาเพื่อผลิตงาน ถ้าในช่วง wfh ตอนที่อยู่ในเวลางาน น้องติดต่อได้ ไม่หายไม่เงียบ อันนี้ยังพอเอามาเถียงได้ แต่เล่นเอาเรื่องอู้มาอ้างนี้ จอดสนิทตรงนั้นแหละ
เป็นเรื่องจริงนะที่ว่า เจนนี่ เขามองว่าการขอโทษ ขอบคุณ ให้อภัย มันเป็นอะไรที่ทำให้มองว่าเขาสูญเสีย แต้มต่อรองในเกมชีวิตของเขา การนอบน้อมจะทำให้ชีวิตเขาดูต่ำกว่า คนที่ไปประพฤติใส่ด้วย
เชื่อผมเถอะ การเป็นเจ้าของกิจการยากกว่าเป็นลูกจ้างเยอะ ผมเป็นลูกจ้างมานานจนมีประสบการณ์มากพอถึงไปเป็นเจ้าของกิจการ เป็นลูกจ้างคิดหน้าเดียวเป็นนายจ้างคิดตั้งเเต่ในส้วมยันยอดเขา คนเก่งหนะมันมีทั่วอย่าทะนงตนไป
ใช่ครับเป็นเจ้าของมันยากกว่าลูกจ้างเยอะครับ
เชื่อครับ
เห็นด้วย
ตอนที่คุณเป็นลูกจ้าง คุณทำงานให้กับบริษัทไหนครับ เป็นบริษัทที่คุณต้องเขียนใบสมัคร และต้องสอบสัมภาษณ์เบียดแย่งกับผู้สมัครคนอื่นเข้ามา หรือเป็นบริษัทของญาติพี่น้องหรือครอบครัวของคุณครับ??
ใช่ครับเป็นเจ้าของยากกว่าการเป็นลูกจ้าง
แต่คนที่เป็นลูกจ้างแล้วคิดแค่แบบคุณก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้เหมือนกัน
เพราะคุณคิดแต่ว่ามันยากและไม่อยากทำ คุณก็เป็นได้แค่ลูกจ้างไปจนคุณไม่มีแรงจะทำ
ผมเป็นพนักงานประเภท WFH มา 2 ปีแล้วครับ ทำงานประจำสายนิเทศเหมือนกัน จุดแตกต่างผมน่าจะเป็นเรื่องระบบองค์กร ส่วนตัวมองว่า มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้ง 2 ฝ่ายครับ เด็กเขาอีโก้สูงจริงๆครับ (สูงกว่าผมเยอะเลย) นอกจากการทำงานที่ออกมาดีแล้ว มันต้องมีการสื่อสารที่ดีด้วยครับ อ่านเเชทให้เร็ว ตอบรับงานให้เร็ว ในกรณีนี้คือจริงครับที่เด็กเข้าประชุมไม่ตรงเวลาหรือไม่ประชุมกันนี้ผิดมากครับ คนทำงาน WFH ต้องมีความรับผิดชอบในมีวินัยมากๆ รายงานการทำงานรายวัน ผมไม่มีโอที เพราะฉนั้นต้องจัดแจงตารางชีวิตให้ดี เพื่อไม่ให้เสียสุขภาพและงานด้วย WFH ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนหรือประเภทงานครับ กรณีนี้เป็นกรณีศึกษาที่ดีมากๆ
ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังครับ เดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้กันเยอะ นายจ้างใจเย็นมาก ลองถ้านายจ้างเป็นแบบเดียวกันล่ะ นึกแล้วหนาว 🥶
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจครับพี่โต ผมอยู่กลางๆของยุคสมัย เกิดมาก็ 1990 ทันเห็นของเก่าๆและทันเข้าใจ ของสมัยใหม่
บาง idea ที่เคยเสนอ บริษัทเก่าไป ผมเคยได้รับคำตอบว่า เป็น ideaแนวคิดที่ดี ทันสมัย....แต่ไม่เหมาะกับที่นี่.
ผมมองว่าสุดท้าย สำหรับเคสนี้ ไม่ถึงกับมีใครถูกหรือผิดซะเต็มประดา มันคือ เป้าหมาย และหรือ วิธีการ ที่ไม่ตรงกัน ของ ผู้จ้าง - และผู้ถูกจ้าง
น้องเค้าก็อาจจะเหมาะกับ บริษัท ที่มี ธง อีกแบบนึง ที่มีหัวทีมอีกแบบหนึ่ง ส่วนเพื่อนพี่ ก็เป็นหัวทีม ที่ เหมาะกับ ลูกจ้างแบบหนึ่ง
ส่วนผลลัพของการตัดสินใจ ก็เป็น Pro-and-Con ของทั้งสองฝ่าย น้องเค้าก็อาจจะต้องรับผลของการแสดงกริยาไม่เหมาะสมไป อาจจะต้องเสียโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตไป ก็เป็นบทเรียนที่เค้าต้องได้รับ ส่วนเพื่อนพี่เองก็อาจจะต้องเสีย ลูกทีม ที่วันนึงอาจจะกลายเป็นยอดฝีมือในอนาคตไปหรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้ แต่ในวันนี้ก็จบกันลงไปก็เป็นไปตามที่สถาณการนำไปแหละครับ ^^
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงวันที่ Valentino Rossi ย้ายออกจาก ทีม Honda Honda เชื่อว่ารถhonda ดีมาก ใครขับก็ชนะ ซึ่งนาทีนั้นรถของ Honda ก็เหนือจริง honda จึงไม่ได้ให้ credit นักขับมากเท่าไหร่นักถ้าจำไม่ผิด มันเป็นความเสี่ยงของ Rossi เป็นอย่างมากตอนจะย้ายทีม เพราะยอดฝีมือเมื่อไม่มียอดอาชา ก็อาจจะกลายเป็นท้ายขบวนไปได้ ถ้า Rossi อยู่ต่อ แทบจะการันตี Champ สมัยถัดไปได้แน่นอน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อวิธีการทำงาน หรือจริตในการทำงานไม่ตรงกัน และ Yamaha ในเวลานั้น พร้อมจะให้ทั้งทีมปรับเข้าหา Rossi ณ ขณะนั้น รถ yamaha ไม่เหนือไปกว่า Honda แต่ด้วยฝีมือ ของ Rossi ย้ายไปปีแรก สิ่งที่ Yamaha ได้คือ Champ Motor GP ในนามของ yamaha ซึ่งไม่มีมานานแล้ว ในตอนนั้น นั่นคือสิ่งที่ Honda ศูนย์เสียไป ณ เวลานั้น เล่าขำๆครับ 555
ผมมองว่า กฎระเบียบ ความรับผิดชอบ เเละการ เคารพและรู้จักขอบคุณทุกต่อโอกาส เป็นสิ่งจำเป็น และก็มองว่า ความคิดที่ก้าวล้ำ กล้าที่จะไปในที่ไหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน ผมคิดว่าผู้ชนะที่แท้จริงคือคนที่ Balance เรื่องพวกนี้ได้อย่างเหมาะสม ก้มหัวได้เมื่อต้องก้มหัว ขอบคุณได้เมื่อต้องขอบคุณ แต่ก็ต้องแข็งได้เมื่อต้องแข็ง เพื่อที่จะไม่โดนวัฒนธรรมเก่าๆ พัดพาไปซะจนหมด แต่คุณสมบัติ สองฝั่งนี้ จะให้ไปพร้อมกันในคนคนเดียว ในความเป็นจริง มันย่อมไม่ง่ายนัก ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันไปสั่งสมกันไป ใครโชคดีหน่อยเข้าใจได้ก่อน ปฏิบัติได้ก่อน ก็ได้เปรียบคนอื่นไป ผมว่านะ
ผมเห็นด้วยกับคุณครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกตัวอย่างกรณี Rossi เห็นภาพชัดเจนเลยครับ
เห็นด้วยครับ
พูดถึงเรื่องระบบงาน
ที่พนักงานอยากให้เปลี่ยน
บอกตามตรงไม่มีใครอยากเสี่ยง
ใช้ความคิดของพนักงานที่พึ่งมาใหม่หรอก
เพราะถ้าระบบที่ว่ามันเกิดล่มขึ้นมา
ไอ้คนเสนอก็แค่ย้ายงานใหม่ไม่เจ็บตัว
แต่เจ้าของร่วมทั้งองค์กรถึงกับล้ม
พังเลย
ระบบบางอย่างมันมีความลึกซึ้ง
เกินกว่าจะเปลี่ยนได้วัน 2วัน
สมัยที่ทำงานเก่า
เคยมีคนเสนอให้เก็บเอกสาร
ข้อมูลบริษทไว้ในคลาวในไดท์
ผ่านไปไม่นานกูลเกิลเรียกเก็บค่าบริการ
โชคดีที่ไม่มีใครเชื่อความคิดนั้น
ธุรกิจมันคือปากท้องของคนทั้งองค์กร
ไม่ใช่ห้องทดลองของคนร้อนวิชา
เพิ่งฟังคลิปแรกครั้งแรก ต้องกดซัพเลย
พูดชัดเจน ฉะฉาน และอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมากๆ
ตามกฏหมายแรงงาน และสัญญาจ้างสำคัญมาก มารยาทก็ด้วย ที่สำคัญนึกถึงคนฝากคนให้โอกาสมากๆ ยิ่งทำงานไปสังคมในการทำงานยิ่งใกล้ชิด ไม่สร้างศัตรูหรือตัดอนาคตและโอกาสตัวเองจะดีกว่า
นายจ้างหัวโบราณมากครับ พิจารณาตัวเองนะครับก่อนจะสายเกินไป ผมเจนx ทำงาน wfh 100% และมีทัศนคติแบบเดียวกับน้องคนนี้ ผมว่าถ้าผมเจอแบบนี้ผมก็ไม่ง้ออ่ะ และผมจะเอาประสบการณ์ที่ผมได้เจอไปบอกเล่าให้อีกหลายคนได้ฟัง โลกเปลี่ยนไปเยอะแล้วครับ คุณหยุดไม่ให้เวลาเดินไปข้างหน้าไม่ได้หรอกคับ
เรื่องนี้ไม่มีอะไรยาก ไม่จำเป็นที่นายจ้างจะต้องไปทะเลาะกับลูกจ้างว่าใครผิดใครถูก นายจ้างส่วนมากต้องการแค่ลูกจ้างที่พร้อมทำงานเมื่อนายจ้างสั่งเท่านั้น ถ้าน้องเขาทำงานที่บ้านแล้วได้ผลงานเท่ากับที่มาทำงานในบริษัท ผมมองว่าควรให้น้องเขาทำงานต่อจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเสียพนักงานไป แต่ถ้ามันมีผลกระทบต่อการทำงานทั้งองกร อันนี้ก็ต้องอธิบายน้องเขาไป ถ้าน้องเขาทำไม่ได้ก็ต้องเลิกจ้างน้องเขาไปก็แค่นั้น
เท่าที่ฟังแล้ว ทั้งสองฝ่ายคุยกันด้วยEgoและอารมณ์ล้วนๆ ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองถูก ซึ่งมันไม่มีใครผิดใครถูก ต่างคนต่างมีเหตุผล อยู่ที่เหตุผลของทั้งสองฝ่ายว่าจะไปด้วยกันได้ไหมเท่านั้น
👍👍👍👍👍
มันเสียการปกครองครับ
ต้องไปดูที่สัญญาจ้างงาน พูดลอยๆไม่ได้อาจถูกไล่ออกได้ต่อให้ทำงานดีแค่ไหน ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆเขาทำตามสัญญาจ้างงาน
มันเหมือนเป็นเนื้อร้ายครับ ผมว่าหลายๆที่ จะแก้ปัญหาแบบเดียวกันคือ ให้ออก
บริษัท ที่ผมเห็นๆมา ที่มีการทำ M& A จะเห็นชัดมากๆ บ ที่โดน take over มา พนักงาน ต้องเซ็นต์รับ สวัสดิการ ที่ใหม่ หลังการ m& A ถ้าไม่เซ็นต็ ให้ซองทันที ไม่สนว่าจะเก่งหรือเป็น keyman ขนาดไหน
เคสนี้ นายจ้างทำดีที่สุดแล้ว
ถ้าเราเป็นนายจ้าง ต้องการจ้างคนมาทำงานในบริษัท แต่ลูกจ้างมาตั้งกติกาเอาเองว่าทำงานที่ไหนก็ได้ถ้าผลงานออกมาดี ผมว่าไม่โอนะ เพราะผมไม่ได้จ้างfreelance แต่ต้องการจะจ้างพนักงานทำงานที่office
คุณพูดถูกทุกอย่าง แต่ผมคิดว่าควรหรือไม่ควร พูดคำว่าขอบคุณ สำหรับเหตุการณ์การนี้ ไม่ควรไปตัดสินแทนใคร และการทำงานในประเทศไทย พูดมันง่ายมากในหลายๆเรื่อง แต่เอาเข้าจริง ข้อกำหนดที่มีกับการทำงานในชีวิตจริงของแต่ละที่ก็แตกต่างกัน บางทีในสัญญาจ้างอย่างหนึ่ง ให้ทำจริงอีกอย่างเลยก็มี ถ้าทนได้ก็ทน ถ้าทนไม่ไหวก็ควรหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ชีวิตหนึ่งเกิดมาอยู่ไม่เกิน 100 ปีหรอกคนส่วนใหญ่ ใช้ชีวิตให้ง่าย และไม่เดือดร้อนใครก็พอแล้วครับ
จ้างงานประจำเข้าเช้าเลิกเย็น เพื่อใช้งานอื่นได้ เช่น ช่วยยกของ ช่วยเปลี่ยนหลอดไฟ ช่วยเลี้ยงหมา ฯลฯ น้องคนนี้น่าจะเหมาะกับงานฟรีแลนซ์ครับ
ใช่...จากที่ฟังที่น้องเค้าแก้ตัว น้องเค้าเหมาะกับฟรีแลนซ์มากกว่า คือ มอบงาน มีงานส่งจบ. ไม่ต้องมีกติกา อะไรมาก....
ฟังความดูแล้วพฤติกรรมในการทำงานของน้องยังไม่โอเค เพราะขาดสำนึกส่วนรวมอยู่ เพื่อนร่วมงานต้องรอน้อง ทั้ง2คน แบบนี้ใครจะพอใจ WLB ของน้องเป็นอย่างไรก้ออยู่ที่น้องบริหาร แต่ทำให้ชีวิตคนอื่นที่ต้องร่วมงานด้วยเสียหาย เคยคิดบ้างไหมว่าเค้าจะว่าน้องอย่างไร
คนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก๋า จะใช้ชีวิตไม่เหมือนกันไม่เป็นไรหรอกแต่ความเกรงใจมันควรจะมีทุกๆคน
นี่คือทุนนิยม สิ่งต้องการคือสิ่งที่ดีกว่ามักจะมาแทนสิ่งเก่า ถ้าทำไม่ดีก็โดนสิ่งอื่นกลืนกินดั้งนั้นต้องปรับตัวและพัฒนาสิ่งใหม่เสมอดูจากบริษัทที่เติมโตต่อเนื่องได้ นายจ้างเป็นยากกว่าลูกน้องอยู่แล้ว สิ่งที่ห้ามทำเลยจำไว้ ห้ามละเลยกฎหมาย ห้ามโทษคนอื่น ห้ามผิดเงื่อนไขที่กำหนด ข้อสุดท้ายห้ามทำตัวให้ไม่น่าเชื่อถือ
สมัยนี้มีหลายบริษัทที่มีโครงสร้างและการทำงานแบบที่ลูกจ้างกล่าวมาอยู่ครับ แต่บริษัทนายจ้างในคลิปเขาไม่ได้มีโครงสร้างบริษัทแบบนั้น ฉะนั้นแยกกันถูกต้องแล้วครับ ต่างคนต่างหันหาสิ่งที่ชอบสิ่งที่ต้องการ อาจจะมีกระแทกๆกันบ้างเพราะความต่างของเจนเนอเรชั่น แต่ถ้าผู้ประกอบการสามารถเข้าใจและบริหารคนเจนใหม่ๆเป็น คนเจนใหม่ๆจะมอบผลงานที่ดีและมีความจงรักภักดีต่อบริษัท อีกทั้งในปัจจุบันที่ผ่านวิกฤติโควิดมา2ปีแล้ว แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลงเลย ไม่แปลกใจนะครับที่จะเกิดเหตุการณ์ประมาณนี้ หลายๆธุรกิจก็ปรับตัวลดเวลา on-site แล้วไปใช้MetaverseหรือการVideo Callแทนการพบปะจริงๆ ซึ่งถ้าสามารถบริหารจัดการและวางระบบระเบียบให้มันดีมันจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ในคลิปบริษัทไม่ได้เป็นแบบนั้น ก็ไม่ควรจะทำแบบนี้ ในเมื่อไม่ทำก็แยกทางกันไป แต่ความอีโก้ไม่มีการกล่าวลาหรือขอบคุณนี่มันก็ไม่ดีเลยนะครับมันจะตรงกับสิ่งที่คุณโตพูดช่วงท้ายๆให้ฟังกันไว้ดีๆ
เรื่องโอกาส คือเรื่องจริงแม้จะเก่งขนาดไหน หากไม่ได้รับโอกาส ให้ทำงานในชิ้นๆนั้นๆ ก็จะทำให้เราไม่ได้รับประสบการณ์ไปด้วยนะ พลาดไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าเราวางตัวไม่เหมาะสมก็จะไม่ได้รับโอกาสเลย
เห็นด้วยกับมุมมองน้องผู้หญิง แต่ผมมองว่าเวลางานคุณควร standby อยู่ตลอดนะครับ
แล้วก็คหสต. ผมมองว่าองค์กรนี้ไม่เหมาะกับน้องแล้วละครับ ไม่ได้ว่าน้องไม่ดี แค่องค์กรนี้มันไม่เหมาะกับน้องแค่นั้นครับ
ผม wth มาปีกว่าแล้ว องค์กรก็มีการวัดผลมีอะไรพร้อมอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่แล้วสายงานด้วยแหละครับ
ผมเองก็ทำบัญชีบนcloud ผมคิดเหมือนคุณว่าองค์กรประเภทนี้ไม่เหมาะสำหรับน้องเค้า เนื่องด้วยนโยบายบริษัท มันไม่ตอบโจทย์สำหรับทั้งสองฝ่าย
อย่าลืมว่า ตอนเข้า มีสัญญาจ้าง ชัดเจน แสดงน้องว่าไม่ได้อ่าน ไม่ทำความเข้าใจ ก่อนการทำงานนะคะ นี่คือ นายจ้างให้โอกาสแล้วนะคะ ผิดชัดเจน จะมาใช้ความเห็นของตนเองไม่ได้ค่ะ
บอกสั้นๆ ครับว่า องค์กรนี้ไม่เหมาะกับน้อง เพราะน้องเขาสามารถเลือกองค์กรอื่นที่เหมาะได้ อย่าลืมครับว่า การทำงานมันจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ได้ยึดติดกับสถานที่และเวลา ยังมีอีกหลายองค์กรที่ในปัจจุบันก็ไม่มีสถานที่ แต่บางที่ก็ไปทำ on -site ของลูกค้าด้วย เหมือนกินอยู่กับการทำงานเขา บริษัทที่จ้างแค่ปรับตัวและยืดหยุ่นเวลาและการทำงานให้เข้ากับพนักงานไปด้วยครับ… แล้วมองอีกมุมว่าทำไม อีกหลายๆอย่างในวัฒนธรรมองค์กร มันก็มีแตกต่างกันก่อนไป ยังมี พนก. มีผลงาน KPI ต่ำกว่า หรืองานตามปกติ แต่ไม่เคยกระตือรือร้นที่จะทำมันได้ในสายงานเขา แต่ก็ทำตามกฏ… มันมีหลากหลายประเภทครับ อยู่ที่ฝ่ายบริหารจะปรับให้เหมาะสมกับแต่ละฝ่ายมากกว่า อย่ายึดติด สิ่งสำคัญงานมาผลงานมาก่อนและตรงเวลาครับ ใช้งานได้ทันทีมันดีกว่าแก้เป็นร้อยๆ ครั้ง มีแต่ประชุมหาสาระไม่ได้ หรือมานั่งแล้วงานไม่เดินครับ ลองเทียบดูว่าอันไหนมันสำคัญกว่ากัน ทำงานอย่าใช้อารมณ์ส่วนตัว เพราะเวลานั้นมันก็จะพังทุกอย่างจริงๆ
ผมอาจจะไม่ทราบสถานที่กับลักษณะงานทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ลองมองวิธีการเผื่อไว้ในอนาคตบ้างครับ WFH ไม่ใช่แค่ไวรัส แต่ฝุ่น PM 2.5 บางทีอาจจะมาแรง น้ำท่วมและภัยอื่นๆ อีก.. ขอโทษถ้าคิดไปไกลกว่ามาก
@@patn6346 ผมมองว่าตอนที่น้องเข้าทำงาน ตอนนั้นคงยังไม่มีโรคโควิดให้ต้องกังวล ก็ทำงาน onsite ได้
แต่ว่าปัจจุบันมีโรคโควิดเกิดขึ้น เลยเป็นตัวแปรใหม่ที่ทำให้เค้าอยาก WFH มากกว่า และอาจจะเพราะเหตุผลที่บ้านเค้ามีผู้สูงอายุหรือเด็กเล็กอยู่ ตัวเองไม่อยากเป็นพาหะให้คนในบ้านต้องมาเสี่ยงติดโควิดก็ได้
ฝากถึงคนทำงานรุ่นใหม่ การเป็นคนเก่ง ทำ kpi ดี อาจทำให้คุณไปได้ไว แต่ไปได้ไม่ไกลครับ แต่ถ้าอยากไปได้ไกล ต้องเข้าใจคำว่า cooperate working and empathy อย่างถ่องแท้ครับ ซึ่งคนรุ่นใหม่ส่วนมากมักมองข้ามเรื่องนี้ โอเคบางครั้ง cooperate อาจไปได้ช้ากว่า personel working แต่คุณจะค้นพบความสุขแห่งการแบ่งปัน มันเป็นสุขจากภายใน
ลึกล้ำแฮะ ผมคิดแค่ว่ามันทำให้ธุรกิจทำงานอย่างราบรื่นเท่านั้นเอง
อันนี้ผมคิดว่ามันเเล้วเเค่คน ส่วนผมคิดว่าขอให้การทำงานราบรื่นเเละผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจก็พอเเล้ว
ก็คือทำงานเป็นทีมไม่เป็นล่ะครับ
เห็นคนลักษณะนี้มาหลายราย ปลายทางไม่ได้โดดเด่นเท่าไร อาจเพราะพอโตขึ้น คู่แข่งเริ่มเก่งพอกัน อึกอย่างคือคนที่ชอบเปลี่ยนคนอื่น มักปฏิเสธงานใช้แรงเยอะทั้งที่มีข้อมูลดี ๆ แฝงอยู่ รวมถึงไม่ค่อยทุ่มเทกับการพัฒนาตนเอง
ผมอายุ 39 เป็น manager มีลูกน้อง เป็น new glad หลายคนผมมองว่า ทำไมไม่มองว่า ปัญหาตอนนี้ คือ 1 การเข้ามาประชุมตรงเวลา 2 การติดต่อได้ระหว่างวัน ถ้า address ปัญหาที่ถูกต้องไป ก็ค่อยหาทาง workout
1. ช่วยรบกวน มาประชุมให้ตรงเวลา ได้ไหม เพราะคนอื่นรอ
2. ถ้าไม่อ่านไลน์ จะทำยังไงดี พี่โทรหาแทนได้ไหม หนูรับสายตลอดได้ไหม
3. หนูทำงานดึก พี่ไม่เห็นด้วย อยากให้ทำงานตรงเวลา แต่ productive ใน office hour ได้ไหม ดีต่อคุณภาพชีวิตหนูด้วย
ผมว่า content bias กับคน ยุคใหม่ไปหน่อย ไม่แปลกใจที่เด็กๆ ไม่ชอบทำงานกับคนแบบนี้
ผมเห็นด้วยครับ โดยเฉพาะข้อ 3 คุณเลือกของคุณเอง อย่ามาลำเลิกบุญคุณ แล้ว เหตุผลการเดินทาง ถ้าพูดด้วยดีๆ มีกำหนดการกลับมาอยู่หอ อาจจะพอแก้ปัญหาใน่ส่วนนี้ได้
ผมว่าเคสนี้เจ้าของทำถูกแล้วแหละที่เอาน้องออกเพราะน้องไม่สามารถทำงานเป็นทีมได้ เก่งแค่ไหนแต่ทำงานเป็นทีมไม่ได้ก็เท่านั้นครับ ส่วนเด็กก็อีโก้สูงเกิน ตัวผม เองเจน z เข้างานไม่ตรงเวลาสายทุกวัน แต่มีทติ้งไม่เคยหลุดนายติดต่อมาพร้อมโทรกลับหรือข้อความกลับภายในสามสิบนาที งานออก ไม่ถ่วงทีม หัวหน้าแฮปปี้ จะทำงานตอนไหนเรื่องของเอ็งเลย
แล้วผมก็เคยเป็นลูกจ้าง ตอนใหม่ก็ดีบอกอยู่แบบครัวครัวแต่ทำไปทำไม มองเราเป็นทาสใช้ทุกอย่างเกินหน้าที่ ทั้งๆที่งานที่ทำแต่ละวันผมเป็นคนคิดเอง บังคับหลายอย่าง ที่ทนแค่เหตุผลเดียวเพราะใกล้บ้าน แต่หลังจากเรารูปต่อว่าเราไม่ชอบกับที่นี่ ระหว่างทำงานก็มองหางานที่อื่น ระหว่างนั้นก็ได้หลายที่แต่ไม่ไป จนถึงงานนึ่งที่ได้แล้วคิดว่าไปจากที่นี่แน่ๆ เราก็แกล้งหยุดงานแบบลา แล้วนายจ้างก็พูดว่าทำไม่ไหวก็ออก ทำอย่างอื่นไป ไปคุยกับเพื่อนร่วมงานว่าตัวผมจะไปทำอะไรได้ หลังจากนั้นผมก็ไปเขียนใบลาออกตามสั่ง ผ่านไปสองอาทิตย์โทรมาตามให้กลับไปทำ บอกว่าคุยกันได้ติดปัญหาตรงไหน แต่ผมไม่ไปเพราะที่ใหม่ได้แล้วดีกว่าที่เก่าเป็น10เท่า ทุกวันนี้ที่เก่าถดถอยเปลี่ยนไปมาก เพราะตอนผมอยู่ผมควบไว้ถึง4-5ตำแหน่ง และเพื่อนร่วมงานที่เคยร่วมงานตอนนี้ก็ออกหมดแล้ว มีคนนึ่งตอนนั้นเขาได้งานใหม่แต่ไม่ยอมไป ทั้งที่ดีกว่าเก่าแต่เหมือนรักบริษัท สรุปตอนโรวิดบริษัทปลดออก กล่ยเป็นว่างงานถ้าตอนนั้นเขาไปเอาที่ใหม่ปานี้ก้าวหน้าและ บริษัทไม่ได้รักคุณเขารักในผลงานกับผลกำไร
คิดว่าเป็นแนวคิดที่คิดอยู่คนเดียวจริงๆ ที่ว่า บริษัทไม่ได้รักคุณเขารักในผลงานกับผลกำไร เนี่ย 555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555
ทุกวันก็เจอแบบนี้เลย แต่ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ดีนะ เพียงแต่สู้คนเLียเก่งๆไม่เป็น กม.แรงงานตามหลักจริงๆใช้ไม่ได้ผลในเมื่อ HR ไม่เป็นกลาง
คนล่ะเรื่องกับเคสนี้ครับ คุณแค่เจอนายจ้างไม่ดี
เคสนี้อย่าเพิ่งประเมินองค์กร ว่าเค้าใช้งานแบบเหมาๆ
ฟังจากที่เล่ามา เค้าก็มี kpi ของงานมาวัดตรงตัวแล้วครับ
แค่แยกแยะ การทำงาน onsite กับ wfh ไม่ได้
โรงงานในอมตะ ชลบุรี กรณีมีการให้ WFH ก็จะมีการ Morning Meeting ตั้งแต่ เช้าผ่านโปรแกรม Zoom เป็นข้อตกลง ก่อน เริ่มทำการ WFH แต่ไม่เคยมีพนง ท่านใดกระด้างกระเดื่อง หรือ หาเหตุผลอะไรมาอ้างอิงในลักษณะนี้เลยครับ และเมื่อมีการประกาศยกเลิก WFH ทุกคนในโรงงานก็ร่วมมือกันทั้งหมด ไม่ว่า Gen X จนGen Z ( อายุต่ำสุดก็ 20 ปี) ก็กลับมา Work on site ด้วยดีทุกคน อยู่ที่กฎระเบียบที่อ้างอิงในเรื่อง WFH ครับ เพราะก่อนมีการเริ่ม WFH ฝ่ายบริหารจะมีการมีตติ้งในระดับ Asst. Mgr รับนโยบาย และ ถ่ายทอดลงไปครับ กรณีนี้ ถ้าเป็นโรงงานที่อมตะ ชลบุรี คิดว่า อย่างไร เขาน่าจะคุยกับลูกจ้าง ถ้าทำไม่ได้ ก็อาจจะตกลงกันแบบ Win Win คือ จ้างออกครับ แต่เจอที่โหดหน่อย มีฝ่ายกฎหมายแรงงานในบริษัท เขาหาทางเอาคุณออกแน่ครับ ผมชอบคลิป คอนเท้นท์ นี้มากครับ ผมอยากบอกว่า เพื่อนพี่ พูดมีเหตุผล มากๆนะครับ ผม ชอบมาก ส่วนน้องผู้หญิง ผมบอกเลย ถ้าผมเป็นนายจ้าง ผมจ้างคนอื่นดีกว่าครับ
แต่ในคลิป เค้าอยากให้คนมาที่ทำทางมากกว่า wfh นะครับ ผมมองว่า หัวหน้าควรทำงานให้เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้จะดีที่สุด
ไม่รู้นะ แต่สำหรับผม การที่เรายัง มีความคิดแบบ ว่าทำ ทุกอย่างให้เต็มที่ แล้วสุดท้าย ก็ไม่เคยได้อะไรเลย ขอบคุณครับ
ผมก็มองว่าน้องผู้หญิงควรโดนไล่ออกเพราะเขาจ้างมาเพื่อทำงาน 8 ชั่วโมง ไม่ได้ซื้อผลงานน้องผู้หญิง ใน 8 ชั่วโมงควรพร้อมทำงาน เกินนั้นค่อยว่ากัน และนายจ้างไม่ควรใช่งานลูกจ้างจนเกินเวลาตามที่ตกลง อันนี้เรียกเอารัดเอาเปรียบกัน ยกตนข่มท่าน คือแบบเอะอะก็จะใช่อำนาจ แทนที่จะพูดคุยด้วยเหตุและผล แล้วใช่สิ่งที่พูดออกมาแนวว่าลูกจ้างเป็นบุญคุณต่อลูกจ้างซึ้งทำให้เห็นว่าไม่ว่าลูกจ้างจะขยันจะดีหรือไม่ดีก็ไม่สามารถไปต่อได้เพราะนายจ้างเป็นคนดูแลจ่ายเงิน สำหรับผมคือเป็นการพึ่งพาอาศัยกันไม่ใช่เป็นหนี้บุญคุณกันและเคารพในกฎระเบียบของแต่ละที่ด้วยครับ และเคารพซึ่งกันและกัน
@@warsghostindy5016 ยุคสมัยมันเปลี่ยนแล้วจ้าคุณพี่
มีประเด็นที่เป็นประโยชน์อยู่เยอะเลย อย่างไรก็ตามเหมือนผมจะเป็น Gen เปลี่ยนผ่าน กลางๆ ก็มีประเด็นที่แตกต่างบ้าง
- เรื่องทำตามสัญญา อันนี้ปฎิเสธไม่ได้ แต่ในทางปฎิบัติจะมาไล่ดูกันก็ไม่น่าจะทำได้
- ลูกจ้างแต่ละคนมีผลต่อทีม ถ้าทำให้ Performance Team เสีย มันก็ชดเชยด้วยผลงานคนเดียวไม่ได้ เพราะมันคนละเรื่อง
- การจ้างงาน คือ การซื้อเวลา อันนี้มองว่าแล้วแต่กรณี บางกรณีใช่ เช่น รปภ. บางกรณีไม่ใช่ เช่น จ้างทำของ
อย่างไรก็ตาม ลูกจ้างก็จะปฎิเสธการประเมินจากนายจ้างเรื่อง Performance ไม่ได้เช่นกัน
- การสื่อสารในเวลางาน จังหวะ WFH ก็ต้องเร็ว อันนี้ น้องเขาทำไม่ถูก ถ้าจะพักติดต่อไม่ได้ ให้บอกกันเลยน่าจะดีกว่ามันเสียเวลาคนอื่น
- Work Life Balance มันมีเรื่องส่วนตัวอยู่ในนั้น มันจึงไม่ใช่ Professional แน่ๆ ยังคิดว่าควรมาทาง Work Life Harmony มากกว่า
แม้มันไม่สามารถทำได้กับงานทุกแบบ แต่ถ้าทำได้สุดท้ายมันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองในระยะยาว
- ไม่รู้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายได้คุยกันไหมว่า จริงๆแล้วปัญหาคืออะไร มีทางออกร่วมกันไหม ถ้าให้เดาๆ ปัญหาคือ ทำให้ทีมเสีย Performance.
ไม่รู้นะ เชื่อว่าเด็กแบบนี้จะมีอีกเยอะ หรือจะเห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คงต้องเปิดอกใจเย็นๆ คุยกันทั้ง 2 ฝ่ายมั๊งครับ ก็นี่คือที่คิดออกจากข้อมูลที่เข้าใจครับ
ผมว่าไม่ใช่ Gen ต่างกันครับ สมัยเป็นลูกจ้างผมคิดแบบน้องผู้หญิง แต่เมื่อเป็นเจ้าของเอง หรือทำงานนานขึ้นจนเข้าใจโลกผมคิดแบบเพื่อนคุณ... ลูกจ้างยังไงก็ต้องการอะไรที่สบายที่สุดของเขา มุมมองของนายจ้างที่พูดมาถูกหมด เขาจ้างเพื่อต้องการแรง และเวลา เพื่อสร้างสรรผลงาน ไม่ได้ต้องการแค่ผลงาน คำตอบน้องผู้หญิงมันเป็นการงอแง และหาข้ออ้างให้ตัวเองถูกตามไสตร์ลูกจ้างแค่นั้นแหละ... ถ้าน้องผู้หญิงไม่ใช่คนที่คุณแนะนำเพื่อนไป เขาไล่ไปตั้งนานแล้วจริงๆ
ผมคิดว่าเพื่อนผมไม่อยากปล่อยน้องไป วันนั้นจึงลากผมไปโรงงานด้วยครับ
ผมเสียเวลานั่งฟังคุณ โต ติงต๊อง มาประมาณยี่สิบนาทีกว่าๆ. แต่เวลาที่เสียไปถือว่าคุ้มค่ามาก อยากจะให้เด็กๆ วัยรุ่นยุคนี้ได้ฟังเอาไว้เป็นประสบการณ์ชีวิต ในการทำงาน อย่าคิดว่าตัวเองมีดีโดยที่ยังไม่ได้แสดงออกมาให้คนอื่นยอมรับ. เยี่ยมมากครับคุณ โต ติงต๊อง
ผมเอาสิ่งที่เจอมาเล่าให้ฟังครับ ไม่ได้สั่งหรือสอนอะไรเลย
ลูกจ้างเข้าใจผิด WFH ไม่ได้แปลว่า จะไปไหน ไปทำอะไรก็ได้
ถ้าในเวลางานคุณต้องเตรียมพร้อมรับคำสั่งอยู่หน้าคอมตลอด
ต้องตรงเวลาในการเริ่มทำงาน หรือนัดประชุมออนไลน์
ถ้าคิดงานไม่ออกก็แว้บไปนิด ๆ หน่อยได้
ไปเข้าห้องน้ำได้ไม่ผิด
แต่สำคัญสุดคือต้องมีงานส่งตามกำหนด
และถ้าเขายังเป็นนายจ้างอยู่ ถ้าเขาบอกให้เข้าออฟฟิศคุณก็ต้องเข้าแค่นั้นเอง
จริง แม้แต่ที่ออสเตรเลีย พี่สาวเราทำงานอยู่บ้านก็ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมตลอด บางครั้ง หัวหน้า skype ก็ต้องพร้อม บางทีมีประชุมกระทันหันบอกล่วงหน้า 2 ชั่วโมง เลิกคิดที่จะออกไปไหนเลย
WFH = STANDBY
คิดแบบเด็กๆเลยนะคะ หนูรู้สึกว่าพี่ลูกจ้างผู้หญิงเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจไปนิดนึงค่ะ
ในเรื่องที่ผลงานและผลลัพธ์ของตัวเองดีก็พอ ไม่สนใจคนอื่น ต้องมารอคุณที่อยู่ที่บ้านคนเดียวน่ะค่ะ เห็นแก่ตัวนะคะ ไม่มีความรับผิดชอบ
มีเหตุผลครับ
ชอบการยกตัวอย่างครับ "สว่าน = ผลเกิดทำให้เกิดรู KPI" แต่คงลืมว่าสว่านไม่ได้มีตัวเดียวในโลกครับ การให้เกียรติกันก็สำคัญครับ เมื่อเจ้านายให้บวกแต่ไม่ต้องให้บวกกลับไม่ติดลบเป็นใช้ได้ครับขอบคุณครับ
เออ..แล้วนายจ้างจะบอกว่าให้เจาะตรงไหนมันสำคัญกว่ารูสวยแค่ไหนป่ะคะ
@@sugunyan.9054 ถึงเจาะรูสวยแต่ถ้าเจาะรูไปเรื่อยไม่ตามแบบแผน แผ่นไม้ก็ไม่สวยครับ คือนายจ้างเขาจ้างมาให้ทำงานให้เขาไม่ได้จ้างให้เรามาทำตามใจตัวเอง
@@sugunyan.9054 คนรุ่นใหม่เอาตัวเองมาก่อนตัวเองสบายก่อน เราต้องคิดเสมอว่าเราไม่ใช่หัวสว่านตัวเดียวในโลก เจาะรูสวยแล้วไง ถ้าไม่ให้เกียรติไม่นับถือคนอื่น นายจ้างเขาก็ไปซื้อหัวสว่านตัวอื่นที่นิสัยดีกว่าที่อ่อนน้อมกว่านะครับ
@@knightofbakingroom2606 ดูสายพานการผลิตเป็นตัวอย่าง
ถ้างานไหลมาตรงตัวเองเพื่อเจาะให้เสร็จแล้วส่งต่อจุดต่อไป ถ้าจะเล็งเอาสวย แต่ทำให้ทั้งทีมหยุดชะงัก องค์กรมันไปได้ไหมล่ะ
โชคดีที่เกษียณงานมาก่อน เจอเด็กรุ่นหลังๆช่วงท้ายๆ งงมาก ๆ
ทำงานมาหลายสิบปี มาเจอวิกฤติการสื่อสารสองสามปีมานี่เอง
@@sugunyan.9054 เห็นด้วยครับ
โคตรตรงเลย เพิ่งเลิกจ้าง gen Alpha ออกเมื่อเดือนก่อนเลย เพราะเล่น WFH แล้ว ไม่ส่งงาน ตามงานกว่าจะตอบ ผ่านไป 2-3 วัน ตามให้กลับมาเข้า office ก็ไม่เข้า ขนาดตามมาให้ลาออก ยังไม่มา บอกตรงๆน้องมันพลาดมาก เพราะ วงการทำงานแบบเดียวกันนี้มันแคบ
WFH มา 2 ปีละครับ อยากเข้า On-Site มาก แต่แผนกยังไม่ให้เข้า คนที่ WFH แล้วมีประสิทธิภาพสูง(หรือเท่ากับตอน On-Site) เป็นระยะเวลานานๆได้ Self-Discipline ต้องสูงมากจริงๆครับ
ต้องยินดีกับทั้ง 2 ฝ่าย ที่ต่างฝ่ายต่างหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ถูกจริต ฝั่งนายจ้าง ก็จะได้ให้ลูกจ้างคนใหม่ๆเก่งๆมานั่งทำงานในโรงงาน ส่วนฝ่ายลูกจ้างก็ได้มีโอกาศไปหางานใหม่ๆในองค์กรใหม่ๆที่น่าจะถูกจริตมากกว่าที่นี้
ติดตรงโดนฝั่งนายจ้างเขียนใบผ่านงานออกมาไม่สวยนี่สิ ถ้าฝั่งลูกจ้างไม่ติดอะไรตรงนี้ก็ดีไป
ไม่มีทางได้งานถ้าน้องมันจะเอาเกกณณืนี้ตลอดไป ถามง่ายถ้าคุณเป็นนายจ้าง คุณจะจ้างน้องคนนั้นไหม ถามใจตัวเองเลย
@@tongbaboo อะไรที่เราไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีครับผม
@@tongbaboo หาได้ครับมี ปัจจุบันมีการทำงานแบบที่ว่าครับ ที่เอาแต่ผลงาน เวลาเข้างานยืดหยุ่น ทำที่ออฟฟิสได้ทำที่บ้านได้หรือที่อื่นๆได้
เป็นเด็กที่อีโก้สูงเกินไป ไม่เหมาะจะเป็นลูกจ้าง
ขอขอบคุณ ข้อมูลที่นำมาเล่าให้ฟังนะคะ เราคิดว่ามีประโยชน์มาก อยากให้เด็กGEN ใหม่ๆได้ฟัง
ส่วนตัวเลย เคยทั้งที่โดนผู้ร่วมงานอาวุโสกดขี่ด้วยตรรกะโบราณ และเคยโดนเด็กGEN ใหม่ไม่รับฟังข้อเสนอแนะ
อยากให้ทุก GEN ปรับตัวเข้าหากันได้ ไม่อยากให้เอาเรื่อง GEN มาแบ่งแยกความคิดเห็นของแต่ละฝ่าย
เพราะคิดว่า "บางอย่าง"ของแต่ละยุค มันก็มีดีเหมือนกัน
จากที่ฟังคลิปจนจบต้องนับถือความใจเย็นของนายจ้างมากๆเลย จริงๆเรื่องจัดการแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้คุณโตไปคุยแทนด้วยซ้ำ บางคนถ้าพูดแล้วไม่ฟังเขาไม่เสียเวลามาพูดมาเตือนด้วยซ้ำเลิกจ้างวันนั้นเลยก็มี อันนี้ยังใจดีส่งจดหมายไปเตือน 3 ครั้งแต่ก็ยังเฉย น้องความคิดมันก็ดีแหละเข้าใจอยู่ว่าทำแบบนี้แล้วดีต่อตัวเอง แต่ก็อย่าลืมว่าเรารับเงินเดือนจากนายจ้าง นายจ้างสั่งยังไงก็ต้องทำตาม มันหลีกเลี่ยงข้อนี้ไม่ได้
ที่มันให้ผมไปนั่งอยู่ด้วยก็เพราะผมเป็นคนแนะนำน้องคนนีอะ
@@ttasac เพื่อนเกรงใจคุณโตมากๆ
@@ignorepeople9514 เปล่าเลย มันพาผมไปเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแค่นั้นแหละ ถถถ
น้อง ผญ น่าจะเป็นคนมีฐานะด้วย ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง เลยไม่ค่อยจะเกรงกลัว เกรงใจนายจ้างเลย เก่งแต่ไม่มีความนอบน้อม สังคมไทยไม่ใช่สังคมฝรั่งแนวคิดต่างกัน อายุเลย 30 น่าจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นว่า คอนเน็ตขั่นสำคัญกว่าความเก่ง..
@@fordniky5390 อยู่อเมริกา ถ้ามาเถียงกับนายจ้างแบบนี้ เขาก็ไม่เอาครับ สัญญามีอยู่เวลาทำงานคือทำ เวลาพักคือพัก ไม่อย่างงั้นเขาจะจ้างคุณเป็นชั่วโมงต่อชั่วโมงทำไมกัน
ฟังแล้วรู้สึกเห็นใจนายจ้างเลย
ประเด็นแรกการทำงานแม้จะเสร็จตรงตามระยะเวลาที่กำหนดแต่หากทำเสร็จก่อนและส่งต่อให้แผนกอื่นได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่งานก็จะสามารถปิดได้ไวเท่านั้น อันนี้เป็นสิ่งที่นายจ้างต้องการมากที่สุด เชื่อเถอะว่าถ้าคุณจะจ้างคนสร้างบ้านสักหลังคุณคงไม่ต้องการแค่ให้บ้านเสร็จทันตามกำหนด คุณจะพึงพอใจมากกว่าหากบ้านเสร็จเร็วกว่ากำหนดพร้อมทั้งมีฟังชั่นที่ทำให้คุณคุณรู้สึกว่ามันเกินคุ้มกับเงินทุกบาทที่ลงทุนไป
ประเด็นที่สองการที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้วทุกคนต้องง้อตนเองนั้นมันเป็นความคิดที่ไม่ควร การมีคนที่มีเห็นแก่ตัวไปอยู่ในสังคมคนหมู่มากแล้วแล้วแต่จะทำให้เกิดปัญหา ต้องลองถามคนรอบข้างดูว่าแท้ที่จริงแล้วมีสักคนไหมที่ชอบคนที่เก่งแต่ไม่เห็นหัวคนอื่น
ประเด็นที่สาม เมื่อไหร่ก็ตามองค์กรมีคนแบบนี้ ก็จะมีคนที่มีความสามารถในระดับเดียวอีกอีกลายคนตั้งคำถามว่าทีคนนั้นยังทำแบบนั้นได้เลยมันจะกลายเป็นเหตุผลให้คนอื่นเกิดความไม่พอใจเกิดความแตกแยกในองค์กรรวมถึงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แม้ตัวคุณเองก็คงไม่อยากเห็นคนที่มีสิทธิพิเศษมากกว่ากว่าคนอื่นจริงหรือเปล่า
ประเด็นที่สี่ สังคมทุกสังคมต้องการเพื่อนร่วมสังคมที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนจึงจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและสบายใจ
อยากให้คิดสักนิดว่าสุดท้ายแล้วตัวคุณเองอยากให้มีคนรอบข้างเป็นคนประเภทไหน องค์กรแต่ละองค์ล้วนแต่อยากให้คนในองค์กรมีความรักใคร่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ถึงแม้ส่วนมากจะไม่เป็นเช่นนั้นก็เถอะ) เพราะสิ่งเหล่านี้มันทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานและเมื่อทุกคนมีความสุขกับการทำงานมันจะส่งผลให้แต่ละฝ่ายผลิตผลงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น
น้องผู้หญิงมองภาพตัวเองเคลียร์
แต่มองภาพรวมองค์กรไม่เคลียร์
ส่วนเจ้าของนั้นอยู่ที่สไตส์บริหารคับ
เหมือนผู้จัดการทีมฟุตบอล
บางทีมก็เน้นมีตัวแบก
บางทีมก็เน้นteam work
บางทีมก็ผสม50:50,60:40
ครึ่งแรกครึ่งหลังก็แล้วแต่สถานการคับ
เป็นกำลังใจให้ทั้ง2ฝ่ายครับ
สัญญาจ้าง เราต้องเคารพ เพราะเราเซ็นยอมรับ อะไรที่ประนีประนอมก็หาคำพูดดีดี ผมเป็นเด็ก Gen Z ครับ แล้วผมก็เป็นเหมือนน้องผู้หญิงคนนี้เมื่อตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ
จนท้ายที่สุด ผมก็ตระหนักได้ว่า เราควรถอยหนึ่งก้าว เพื่อเรียนรู้สิ่งที่ผิดแล้วนับมาปรับปรุง เพราะยังไงมีคนรักมันดีกว่ามาก ที่จะมีคนเกลียด
ถ่าผมรู้สึกทีไ่หนไม่แฟร์ ผมก็ขอออกเองโดยให้เหตุผลแบบใส่หน้ากาก ไม่เห็นคิดอะไรมาก ให้ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการก็พอ
ใช่ ๆ ถ้าอยู่ไม่ได้จะอยู่ไปทำไม ผมเองก็อยู่กับงานประจำไม่ได้เช่นกัน
คุณเป็นคนฉลาด
จะทำแบบน้อง ผญ ต้องเป็นคนประเภทที่บริษัทอื่นมาซื้อตัวกันจริงๆ จะทำยังไง เล่นตัวยังไงก็ได้
เป็นเรื่องที่ เรียล และ จริง ที่ ความรับผิดชอบ ต่อหน้าที่ ที่ควรเป็นไปตามกฎ ...... กับ มุมมอง สุดท้ายก็ สำเร็จภาระกิจงานนั้นๆ แต่ ด้วยวิธีของตัวเองและมุมมอง ที่คิดว่าดีในแบบ ของตัวเอง ชอบคลิปนี้มากครับ
จากประสบการณ์ นอกจากเก่งแบบเด่นมากแล้ว ถ้าจะทำให้บ.ยอมปรับตัวตาม
ต้องทำหน้าที่หารายได้เข้า บ.แบบตรงๆด้วยเขาถึงจะยอมง้อ
ลองคิดภาพ บ. ไล่ sale ที่ทำยอดคนเดียวได้ครึ่งนึงของแผนกที่มีคน 20 คนออกดูสิ
ถ้าผมเปิดบ.แล้วเจอเจอเก่งแบบยอดมนุษย์ขนาดนี้จริงจะจ่ายเงินเดิอนเป็นหุ้น บ.
ถ้าให้เทียบก็เหมือนช่องทีวีที่ต้องง้อนักอ่านข่าวดังๆนั่นแหละไม่ต่างกันเลย
ผมเคยสอนลูก ถ้าอยากทำงานบริษัท ถ้าอยากมีรายได้ดี ต้องให้บริษัทง้อเรา คือฝ่ายการตลาด หาลูกค้าใหม่ๆเข้าบริษัทให้ได้มากๆ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรียนเก่ง แต่มนุษยสัมพันธ์ต้องดีเริด จูงใจคนเก่ง มีเพื่อนที่ต่อยอดธุรกิจได้ คบคนเยอะในวงการณ์ที่เราจะเข้าไป
ขอบคุณครับ ฟังแล้วได้ไอเดีย มุมมองช่วงเวลาของวัย เป็นเรื่องที่ควรแก่การศึกษาจริงๆ
ไม่เกี่ยวกับ gen มันเกี่ยวกับทัศนคติ
แชร์ให้ฟังว่า ที่ผมทำ บางองค์กรระดับโลก เริ่มวางแผนที่จะทำ work from anywhere แบบจริงจังแล้วครับ เพราะเค้ามองว่า efficiency ดีกว่าในบางฟังก์ชั่น
คหสต คือ มันต้องหาจุดกลางระหว่างกัน
ในแง่ของผู้ประกอบการ ระวังเรื่องการปรับตัวดีๆนะครับ เพราะคู่แข่งคุณอาจปรับตัวก่อน และมี competitive advantage มากกว่าคุณโดยไม่รู้ตัว
ในแง่ของลูกจ้าง ยังไงคุณรับเงินเค้า คุณต้องบริหารตัวเอง ปรับตัวตามองค์กรให้ได้ ซึ่งถ้าคุณรับไม่ได้ ก็ต้องออก แล้วหาที่ที่คุณสบายใจในแนวทางทำงานของคุณ
หรือ ถ้าอยากทำไรก็ได้ คุณต้องไปเป็นเจ้าของกิจการ
ผมมองว่าอยู่ที่ประเภทธุรกิจด้วย อย่างโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องหมุนเวียนกะอย่างต่อเนื่อง ลูกจ้างทุกคนมีเป้าผลผลิตที่ชัดเจน รวมถึงธุรกิจอื่นเช่นการท่องเที่ยว, วันเธอ, โรงแรม, ร้านอาหาร, สวนสนุกและอื่นๆ การทำงาน On-Site ยังเป็นระบบที่จำเป็นและใช้งานได้เสมอ แต่หากประเภทธุรกิจเป็นวัธจักรต้นน้ำหรือนวัตกรรมและต้องอาศัยการทำงานข้ามโลกข้ามประเทศ จะ Flexible ได้ก็ไม่แปลกอะไร
ผมต้องการสื่อว่าอย่าได้มองนายจ้างว่าไม่ยอมปรับตัว คนเป็นนายจ้างส่วนใหญ่พร้อมปรับตัวถ้าได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจริง แต่ถูกจำกัดด้วยบริบทต่างๆซึ่งมากกว่าที่ผมเขียนมากมายนัก
เจ้านายไม่ใด้ผิดถูกต้องครับ มื่อเข้าจ่างคุนมามันก็คือเวลาของเขา เขาจะ อินไซท์ หรือ ทำอยู่ที่บ้านก็อยู่ในดูลพินิจการตัดสินใจ ถูกต้องครับ ส่วนผลงาน ถ้าเข้าจางคุณก็ต้องมีให้เป็นเรี่องปรกติ ครับ ถ้าคุณรับไม่ใด้ก็ลาออกแค่นั่น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ วิสัยทัศน์ ของผู้บริหารครับ เข้าใจน้องนะว่า ส่งงานตรงเวลก็ถูกนะ แต่ เจ้านายก็คือคนกำหนดการทำงานนะครับ ต้องเข้าใจ ด้วย
ผู้บริหารที่สูง ตั้งแต่ผู้จัดการโรงงานขึ้นไป มักมีกิจกรรมร่วมกับเด็กๆน้อยลง ยิ่งบางแห่งมีเป็นพันๆคนก็ยิ่งจะเป็นเหตุทำให้ห่างเหิน การจัดตารางเวลาทำงานผู้บริหาร จะทำให้มีช่วงเวลาหาข่าวกับเด็กๆ การได้พบประนอกเวลางานบ้าง โดยที่เด็กๆได้ของแถมเป็นความรู้กลับบ้าน จะทำให้เรารู้จักเด็กๆ ได้ขัดเกลาหรือแม้กระทั่งคัดสรรเด็กได้ งานสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการสร้างsuccessor เรื่องสมัยใหม่บางครั้งผู้ใหญ่ต้องเรียนจากเด็กก็จริง แต่ผู้ใหญ่ที่ไม่ปิดกั้นทุกคนมีความรู้ในตัวเอง ให้เด็กๆได้ตื่นเต้นอยากรู้ทั้งนั้นแหละ
ถ้ามีลูกจ้างเยอะแบบนั้นมันต้องมีแผนก หรือ หัวหน้ากลุ่ม คอยดูและหรือเปล่าครับ
.
บริษัทผมได้เจอผู้จัดการ เดือนนึง 2-3 ครั้งเอง แต่กิจกรรมการอบรม มันก็มีตลอด กำกับโดยหัวหน้าแผนก
แต่ก็มีบางบริษัทนะคะ ที่พอถึงเดือนเกิด ทางบริษัทก็จะนัดพนักงานกินข้าวเที่ยงกับผู้บริหาร ทำให้ได้พูดคุยกัน
..... งานที่เหมาะกับน้องมากที่สุดคือ งาน Feelancer ครับ...ตอบโจทย์ทุกความต้องการของน้อง..ด้วยทฤษฎีดอกสว่านนั้นชัดเจน...
.....พนักงานประจำจ้างเป็นเงินเดือน ..Feelancerจ้างเป็นชิ้นผลงาน
....เลือกงานให้เหมาะกับตัวเอง...จะมีความสุขกับการทำงาน.....ขอให้โชคดีครับ....
ขอบคุณที่มาทำคลิปนะคะ ได้มุมมองใหม่ๆ เยอะขึ้นเลยค่ะ ตอนนี้เพิ่งเรียนจบมา กำลังจะเริ่มหางานทำ ก็ค่อนข้างกลัวสังคมทำงาน ส่วนตัวมองว่านายจ้างตามคลิปค่อนข้างมี Empathy สูงมากแล้วค่ะ ได้ข้อคิดที่ดีหลายอย่างเลยค่าา
work from home หลายๆคนมักหลงประเด็นคิดว่าหยุดอยู่บ้านจะทำอะไรก็ได้ , จากที่ฟังมานี้น้องคนนี้ ผิดกฏข้อบังคับบริษัท ชัดเจนครับ กระด้างกระเดือต่อผู้บังคับบัญชา ใบเตือน 3 ใบ ตามลำดับขั้นตอน(เตือนด้วยวาจา เตือนด้วยหนังสือ พักงาน และเลิกจ้าง)แล้วได้พักงานน้องไมครับ เจ้าตัวได้ใบลาออกและใบเตือนหรือไม่ เรื่องนี้สุมเสี่่ยงต่อศาลแรงงาน (ต่อการที่น้องจะไปแจ้งที่แรงงานโดยอ้างว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม)
ใบเตือนสองใบส่งไปรษณีย์ถึงบ้านแล้ว ส่วนใบที่สามยังไม่ส่งเพราะนายจ้างยังไม่อยากให้ออก ถึงลากผมเข้าไปเป็นพยานก่อนส่งใบสุดท้ายทางไปรษณีย์อย่างเป็นทางการครับ
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาดูคลิปคุณ คุณพูดได้ดี มีเหตุมีผล วิเคราะห์ได้ดี การให้คำแนะนำ อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เป็นการพูดจากคนที่มีประสบการณ์จริงๆ เป็นกลาง เหมาะสม และ ถูกต้องที่สุด ดูจบกดไลค์ กดติดตาม เรียบร้อยครับ.
ผมเคยคุม ทั้งเทคนิเชียนและ เลเบอร์ เป็นหลักร้อย // อายุ 71 --- ผมเห็นว่าเพื่อนคุณมีส่วนคับแคบหลายอย่าง //
จริง
ตรงไหนบ้างคนอื่นก็อยากรู้ความคิดหลายๆแง่มุม จะได้นำไปใช้ในการทำงานต่อไป
ขอบคุณการแชร์เรื่องนี้มากๆครับ ฟังและคิดตามคำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำ นึกถึงสถานการณ์ตอนนั้น มุมมองต่างๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น ผลสรุป ข้อคิดต่างๆ ได้ประโยชน์สุดๆครับ
ขอบคุณครับ ทำให้คิดอะไรได้เยอะเลย
ตัดสินและพยายามยัดความคิดให้คนดูมากไปนะครับ สิงที่พูดมาหลายๆอย่าง จริงครับ แต่มันเก่าไปหน่อยครับ
ไม่แปลกที่จะไม่มีคนเห็นด้วย แต่ก็ช่วยทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วอย่างที่เคลมไว้ด้วยนะครับ หมายถึงคุณเพื่อนนะครับ
มันแสดงให้เห็นว่าบริษัทนี้ไม่สามารถเก็บคนเก่งไว้ได้ คุณจะได้แต่คนที่ยอมจำนนในระบบมาทำงานให้เท่านั้นครับ
แล้วไม่ต้องสาปส่งเรื่องใบผ่านงานหรอกครับ เขาจะได้ที่ที่เหมาะกับเขาเองและดีกว่าที่นี่แน่นอนครับ
แน่นอนครับที่ผมตัดสินและยัดความคิด เพราะนี่คือ Case-Study ไม่ใช่การอภิปรายหรือทิ้งคำถามปลายเปิดให้ตีความกันต่อ
สิ่งที่ผมยกมาเล่าในวีดีโอนี้เป็นสิ่งที่วิญญูชนผู้รู้ผิดชอบชั่วดีเขาทำกัน นั่นคือการปฏิบัติตามที่ตกลงไว้ในสัญญาจ้าง ถ้าปฏิบัติไม่ไหวต้องแสดงให้เห็นว่าพยายามแล้ว เมื่อนั้นค่อยยื่นเรื่องพิจารณาเปลี่ยนแปลงก็ไม่สายอะไร ซึ่งลูกจ้างคนนี้ไม่ได้ทำตามขั้นตอนอย่างที่ควรเป็นจะให้นายจ้างยอมเปลี่ยนแม้ผิดวัตถุประสงค์ของการจ้างและไม่มีการแสดงถึงความพยายามปฏิบัติให้เห็น ผมยอมเป็นเต่าล้านปีและให้ออกดีกว่า
ส่วนระบบการทำงานไม่มีคำว่าเก่าหรือใหม่ อยู่ที่ประเภทธุรกิจเป็นหลัก ถ้าประเภทธุรกิจมันอำนวยเช่นสายนวัตกรรมหรือธุรกิจต้นน้ำ จะมีบางตำแหน่งทำงานได้อย่างยืดหยุ่นก็ไม่แปลกอะไร แต่การเหมารวมว่านายจ้างที่ไม่คิดอย่างที่คุณคิดเป็นน้ำเต็มแก้วน่าจะเกิดจากการมองไม่เห็นถึงความจำเป็นของการ On-Site ที่เกิดจากประเภทธุรกิจและตำแหน่งที่จำเป็นหรือเปล่า?
และคุณรู้ได้อย่างไรว่าระบบที่เพื่อนผมใช้อยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเครื่องกระป๋องนี้ไม่สามารถเก็บคนเก่งไว้ได้? ขนาดผมยังไม่รู้เลย แต่สิ่งที่น่าคิดคือความจำเป็นของตำแหน่งน้องคนนีมากกว่า และผมเชื่อว่านายจ้างเองได้พิจารณาดีแล้วจึงได้ตัดสินออกไป
ส่วนเรื่องใบผ่านงานเป็นเรื่องปกติ เมื่อไหร่จ้างออกให้มันก็มีมารยาทในการเขียนอยู่ และคุณรู้ได้อย่างไรว่านายจ้างรายนี้จะเขียนใบผ่านงานอย่างสาบส่ง?
@@ttasac เรื่องเก็บคนเก่งไม่ได้ อันนี้ขออธิบายว่า ด้วยระบบการทำงานแบบนี้ไม่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้มาทำงานได้ครับ
อันนี้ของเปรียบเป็นระบบอุสาหกรรมในอดีตครับ
เมื่อก่อนเราทำงานกัน ตั้งโต๊ะตามกริด ทำงานที่โตะ ลักษณะคล้ายๆ ห้องเรียน
แล้วค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบมา ถึง ออฟฟิสที่ ตกแต่งสวยขึ้น ทำspaceให้พนักงงานได้มีมุมสวยๆได้ใช้พักผ่อน
จนปัจจุบันเรามีออฟฟิสแบบกูเกิลที่ไม่มีโต๊ะ ประจำ มีมุมให้เล่นเพื่อผ่อนคลาย ซื่งมันเป็นส่วนช่วงที่ดีในงานสายครีเอทีฟครับ
ทั้งหมดนี้ที่พูดมามันคือการออกแบบออฟฟิส ให้ดึงดูดคความ "อยากทำงาน" เพื่อดึงดูดสมองใหม่ๆ สมองสดๆ จากมหาลัยเข้ามาในองการณ์ครับ
โรงงานผลิตสินค้า แบบ P2P ย่อมไม่ตอบโจทย์ตรงนี้้แน่นอน
ขอถามนะครับ ว่าอีก 10-15 ปีข้างหน้า บริษัทที่ไม่มีพนักงงานเข้าใหม่เลยจะเป็นยังไง คือแรงงั้นชั้นล่างเงินเดือนน้อยๆก็ยังเข้ามาเรื่อยๆแหละครับ เพราะเขาไม่มีทางเลือก
แล้วเราจะจับแรงงานชั้นดีที่เขาอยากทำงานที่ตอบโจทย์เขายังไง มันเป็นเหตุผลนะครับว่าทำไมบริษัทอย่างกูเกิล ทำไมสมองใหม่ๆ อย่าเข้าทำงานกว่า โรงงานผลิตสินค้า
เข้าใจว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเขาจริงๆ แต่ประโยคสุดท้ายในคลิปคุณก็ไม่ต่องอะไรกับที่น้องเขา ออกจากห้องประชุมไปดื้อเลยนะครับ
แล้วมันจะเป็นCase-Studyหรือไม่ก็ให้คนดูตัดสินเถอะครับ
@@sandkung06 อยู่ที่ประเภทธุรกิจครับ แล้วประโยคสุดท้ายนั่นคืออะไรครับ
ส่วนเรื่องดึงดูดได้เฉพาะแรงงานชั้นล่างเพราะเขาไม่มีทางเลือก นี่คือไม่จริงครับทุกคนมีทางเลือกเสมอ อย่างคอนโดที่ผมอยู่มีตลาดนัดอยู่ใกล้ ๆ ยังมี "แรงงานชั้นล่าง" แบบที่คุณเอ่ยถึงมาขายไก่ทอดทุกวันตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว สลับกันขายระหว่างผัวกับเมียจนปัจจุบันนี้ออกจากโรงงานมาขายไก่ทอดเต็มตัว (แถมอร่อยด้วย) หรือมี "แรงงานชั้นล่าง" บางคนกลับเซ้งแผงขายข้าวหน้าประตูโรงงานขายชุดต้มยำพร้อมข้าวสวยจนออกรถกระบะได้ ผมเชื่อว่าทางเลือกประกอบอาชีพในปัจจุบันมีเยอะครับ "แรงงานชั้นล่าง" (อย่างที่คุณเรียก) อาจะเลือกทำงานโรงงานสักพักเพื่อเก็บทุนแล้วขยับขึ้นไปเป็นเจ้าของธุรกิจก็ได้ และเมื่อนั้นเขาอาจเป็น "แรงงานชั้นดี" ในสิ่งที่เขาทำก็ได้
และธุรกิจแต่ละประเภท การสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีไม่ได้หมายถึง "การออกแบบออฟฟิศ" เพียงอย่างเดียว มันมีเรื่อง "ค่าตอบแทน", "วัฒนธรรมองค์กร", "สวัสดิการ", "ขอบเขตความรับผิดชอบและปฏิบัติงาน", "ความสะดวกสบายต่าง ๆ" ด้วย แม้ออฟฟิศจะดำทะมึนไม่น่าทำงานขนาดไหน หากตัวแปรอื่นพอนำมาชดเชยได้ ก็ยังมีโอกาสดึงดูดคนเก่งได้อยู่ดีครับ
บางคนมองว่านี่คือการเล่าเรื่องด้านเดียวไม่ใช่ Case-Study ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ผมก็คิดว่าเป็นแค่เล่าเรื่องอยู่บ้างเหมือนกัน
น้องเขาผิดสัญญา แต่เห็นด้วยกับน้องเขามากกว่า ส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับคำว่าขอบคุณเพราะเขาให้โอกาส
ผมก็เป็นนายจ้าง จ้างเขามาเพื่อมาทำงานให้กับเรา เราคัดคนไม่ได้รับมั่วๆ ผมได้กำไรลูกจ้างได้เงินเดือนวินๆ ความคิดคุณก็ยังไม่เข้ากับคนรุ่นใหม่อยู่ดี แต่ให้ผมเป็นลูกจ้างเจอเหมือนน้อง ผมก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ
เด็กรุ่นใหม่หลังๆ ทัศนคติหนักไปทางเอาแต่ใจ ขาดซึ่งความรับผิดชอบในหน้าที่ ไม่มีความเป็นมืออาชีพ รับความกดดันในการทำงานได้น้อย...ซึ่งเป็นทัศนคติที่สร้างกันผิดๆ
มี อีโก้ สูงด้วย./มิติแคบ.
มองจากคนที่อยู่ข้างนอก เรื่องนี้เป็นการใช้สติการพิจารณา การควบคุมอารมณ์ เป็นเรื่องของกฎระเบียบในสังคมหรือองค์กรที่อยู่ เข้าใจไม่ยากถ้าใช้สติไม่ใช้อารมณ์นำ....ทุกครั้งที่คุณใช้อารมณ์นำ จากคนฉลาดจะกลายเป็นคนขาดปัญญาไปเลย แล้วก็อาจจะไม่รู้ด้วยว่ากำลังสร้างปัญหาให้กับตนเอง และส่วนรวม สติหยุดคิดค่อยค่อยคิดค่อยๆพิจารณา และการรู้จักกาละเทศะที่เหมาะสม
Gen z บลาๆ มีความสามารถนะ แต่เห็นแก่ตัวไปหน่อยความรับผิดชอบค่อนข้างน้อยเพราะยังไม่มีประสบการณ์ ถ้าวันนึงต้องไปเป็นนายจ้าง ก็คงไม่ต่างอะไรกับ gen y เพราะตอนนี้น้องๆเขาคงไม่รู้ว่า ถ้าทำงานสายงานนี้ จะต้องมี contact ตลอด ถึงในสัญญาจ้างจะไม่มีให้ต้องทำที่ทำงานตลอด แต่ Active ตัวเองกับงานไม่ได้ก็เท่ากับล้มเหลวแล้ว ถ้าวันนึงรับงานเอง Active ลูกค้าตลอดไม่ได้ก็จบ ไม่มีคนจ้างแน่ๆ ถึงจะส่งทันวันนัดก็จริงอยู่ แต่การที่ไม่ค่อยตอบหรือ active กับงานกับลูกค้าหรือนายจ้าง เหมือนฆ่าตัวตายชัดๆ เพราะถึงจะมีโอกาสครั้งนึงหรือครั้งต่อไป ก็จะเป็นโอกาสสั้นๆเท่านั้น.
ความรับผิดชอบมันคนละเรื่องกันกับประสบการณ์นะครับ
คนที่มีประสบการณ์สูง ไม่ได้แปลว่ามีความรับผิดชอบดี
คนรับผิดชอบดี อาจไม่มีประสบการณ์เลยก็ได้
มีนิสัยอย่างหนึ่งที่คนรุ่น baby boomers , gen X, and gen Y มักจะเป็นเหมือนกันคือ ชอบเป็นกังวลแทนคนอื่นทั้งที่เรื่องนั้นๆไม่มีผลกับตัวเอง เช่น เห็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายไว้ผมยาวไม่ค่อยได้ จะต้องทักจะต้องเตือนว่ามันดูไม่งาม อากาศก็ร้อนไม่รำคาญบ้างเหรอ... ประมาณนี้ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่คุณกำลังกังวลว่าเด็กรุ่นใหม่จะมีความพร้อมในการเป็นเจ้าของกิจการได้ไงถ้าใช้นิสัยอย่างนี้ ซึ่งถ้าคิดให้ดีมันก็เรื่องของเขาไม่ใช่เหรอ
ลดเจ้ากี้เจ้าการในเรื่องส่วนตัวหรือหน้าตาของคนอื่นซะบ้าง ถ้ามันกระทบกับคุณหรืองานของคุณแล้วค่อยว่ากันอีกที
@@jjayindahra แน่นอนว่าจะต้องมีผลกระทบในอนาคตแน่นอนไม่จำเป็นต้องเป็นคนนี้ ตอนนั้นเราอาจจะลืมไปแล้วว่า ใครคือใคร แต่โลกไม่ได้แบนนะคะ มันก็เหมือนกับเสี่ยงดวงว่าจะเจอคนแบบไหน ความรับผิดชอบไม่ได้เป็นคนละเรื่องกับประสบการณ์นะ ลองสังเกตดูสิว่า ในโลกมนุษย์ของเรา จะมีใครที่มีความรับผิดชอบมากทั้งๆที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์? ประสบการณ์ในที่นี้ไม่ใช่แค่ตัวเนื้องาน ทุกๆอย่างจะสอนเราว่าควรจะรับผิดชอบไหม ถ้าหากรู้ว่าจะมีผลกระทบตามมา แน่นอนว่าต่างคนต่างมีประสบการณ์ชีวิตเป็นของตัวเอง แล้วประสบการณ์หรืออะไรที่ทำให้คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง? แล้วก็ คุณเป็นใคร? ดิฉัน สามารถรับความคิดที่ตื้นเขินของคุณมาพิจรณาได้ แต่ควรใช้มารยาททางสังคมในการตอบกลับด้วยค่ะ ขอบใจ
@@jjayindahra อีกอย่างคือ ประชากรรุ่นใหม่นี่แหละค่ะ ที่จะสามารถคงอยู่ซึ่งความเชื่อใจของนาๆประเทศในการติดต่อซื้อขาย กำไรขาดทุนของประเทศได้ ไม่ได้มีแค่ประเทศเดียวในโลกนะคะ ที่กังวลเพราะ ถ้ามีบุคคลากรแบบนี้มากขึ้น ผลกระทบต่อแรงงานคนส่งออกเงินเข้าน้อยลงก็ได้นะ และจะเป็นปัญหาต่อลูกหลานที่ทำงานสายเดียวกันกับบุคคลประเภทนี้ต่อไปได้ พูดในนามที่ตัวเอง รับงานสายนี้ ทำงานทั้งในและต่างประเทศนะคะ คุณไม่รู้หรอกว่าสายงานนี้ลูกค้าเค้าชื่นชอบที่จะร่วมงานกับใคร เขานินทาว่าร้ายเราแบบไหน ถ้าคุณไม่ได้มาอยู่จุดนี้กรุณาแค่แสดงความคิดเห็นที่พอเหมาะ พอนะคะ
@@jessicaromanoff9760 ผมขอยกตัวอย่างแบบชัดๆที่ไม่มีที่ไหนจะชัดเท่านี้อีกแล้ว คือ ตัวอย่างการประพฤติตัวของไอ้ลุงตู่
ไอ้ลุงตู่เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อคนทั้งประเทศ ไม่ว่าไอ้ลุงตู่จะพูดหรือทำอะไรจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อคนในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไอ้ลุงตู่มีประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนาน แต่หาความรับผิดชอบจากไอ้ลุงตู่คนนี้ไม่ได้เลย ..เอ๊ะ..ไม่สิ ที่จริงผิดน่ะไม่รับเลย ถ้าชอบคือรับหมด
ไอ้ลุงตู่ถือบุคคลสาธารณะที่มีความอาวุโสพร้อมทั้งมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญที่ควรจะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆรุ่นที่กำลังเรียนรู้
แต่ทุกครั้งที่ไอ้ลุงตู่ทำหรือพูดอะไรผิดพลาด มันจะมีลูกน้องออกมาแก้ตัวแทนทุกครั้ง
ไหนคุณช่วยบอกหน่อยสิว่าทำไมประสบการณ์ของไอ้ลุงตู่ถึงไม่ช่วยให้ไอ้ลุงตู่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด??
ถ้าทฤษฎีของคุณมันเป็นเหตุเป็นผลกัน ทำไมถึงไม่มีในตัวคนแก่ที่เป็นนายกของประเทศนี้?
มีตัวอย่างเลวๆแบบนี้มา 8 ปี คุณยังกล้าคาดหวังความรับผิดชอบจากเด็กๆรุ่นใหม่อีกเหรอ ที่เด็กมันกร่าง มันไม่ให้ความเคารพ ไม่ให้เกีรยติ คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าไอ้ลุงตู่กับลูกน้องมันไม่มีส่วนปั้นเด็กให้เป็นแบบนี้!?
ก่อนจะโทษเด็ก ผมว่าผู้ใหญ่ต้องพิจารณาตัวเอง หรือช่วยเตือนกันเองให้ได้ก่อน ถ้าทำไม่ได้ มันไม่แฟร์เลยที่พวกคุณจะคาดหวัง(สิ่งที่คุณทำไม่ได้)จากตัวเด็ก
@@jessicaromanoff9760 ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัวนะคุณ
คุณจะฝากความหวังไว้ที่เด็กรุ่นหลานรุ่นเหลนได้ยังไง ในเมื่อคนรุ่นทวดยังไม่แบ่งปันมรดกให้ลูกหลานได้ลงมือทำสักอย่าง
เด็กเรียกร้องอะไรไป คุณทวดปัดตกทุกอย่าง คุณทวดไม่เคยเห็นหัวเด็ก แต่คุณทวดอยากเห็นความสำเร็จจากเด็ก คุณทวดทั้งหลายไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ
คุณอ้างว่าต่างชาติจะหมดความเชื่อถือเพราะเด็กรุ่นใหม่ ....คุณยังไม่รู้ตัวอีกรึไงว่าต่างชาติเขาไม่หวังที่จะเชื่อถือคนไทยอีกแล้ว มันเป็นแบบนี้มานานแล้วมันเกิดขึ้นในรุ่นคุณเนี่ยแหละ!! ไม่งั้นโรงงานต่างชาติจะเผ่นหนีกันหมดเรอะ
แม้แต่นักลงทุนในตลาดหุ้นยังโกยแน่บ!!
ทั้งที่เขารู้ดีว่าลงทุนกับหุ้นตัวไหนแล้วได้กำไร 100% เขายังไม่เอาเลย!! เพราะเขารู้เบื้องหลังว่ามีแต่เรื่องชั่วๆ ชั่วเพราะใคร? เพราะรุ่นเด็กๆเหรอ!? อีธ่อ!!!!!!
ขนาดว่าการันตีว่ามีกำไร 100% เขายังขายทิ้งรวมแล้วเป็นแสนล้าน นี่ยังคิดว่าเขายังมีความเชื่อถือเหลืออยู่อีกเหรอ!?
ตื่นโว้ย!!!!!!ตื่น!!!!!!!!
ชอบฟังแบบนี้มากเลยค่ะ ขอคอนเท้นแบบนี้อีกค่ะ
คนเก่งซะอย่าง ไปไหนก็รอด อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ ถ้าเกิดเป็นคนเก่งแล้วรู้ตัวอยู่แล้ว ไปทำที่ไหนเค้าก็รับยิ่งเป็นงานออกแบบคนเก่งๆยิ่งจำเป็น
ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ จริงๆ พูดแค่ที่นี่ไม่ได้สนแค่ผลลัพธ์ของการทำงาน แต่กระบวนการก็สำคัญแค่นี้ตัดคลิปจบได้เลย ไม่รู้จะเอาน้องผู้หญิงเค้ามาถล่มทำไม ยิ่งพูดยิ่งให้ร้าย
ยะแม่คนเก่งขอให้เก่งได้ตลอด
ผมก็เป็นลูกจ้างคนนึงอายุ25 เดินทางไปกลับทำงาน2ชม. แต่ผมไม่มองแบบลูกจ้างคนนั้น เห็นได้ชัดว่าน้องคนนั้นไม่มีความคิดที่จะพัฒนาบริษัทที่ตัวเองทำงาน ทำงานเพียงแค่หาเงินไปวันๆ ผมก็มีอีโก้พอตัวนะ ผมเป็นช่างอาวุโสด้วยอายุเพียง2ปีอายุ25 และวุฒิการศึกษาที่ต่ำกว่าเกณฑ์ แต่เนื่องจากผมทำงานเก่งกว่าหลายคนในหน่วยงานทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ เก่งงานเอกสาร ผมตื่นตี5ทุกวัน เตรียมตัวเองและลูกให้พร้อม และออกจากบ้าน7โมง เพื่อมาถึงที่ทำงาน8โมง และเนื่องจากผมเป็นคนที่ทำงานได้ดีที่สุด ถ้าขาดผมไป งานแทบจะไม่เดินหน้าเลย ผมจะปรึกษาหัวหน้าก่อนทุกครั้งก่อนจะลาเพื่อป้องกันความปัญหาที่จะเกิดขึ้นช่วงที่ไม่มีผม เพราะต่อให้มีปัญหาวันที่ผมลา วันต่อมาผมก็ต้องมาแก้อยู่ดี ผมยอมทำงานหนักได้ เหนื่อยได้ ในขณะที่ผมยังมีแรงทำ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ อาจจะมีเวลาให้ครอบครัวน้อยหน่อย แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่า ในวันนึงที่ผมมีวัยวุฒิมากพอ ผมจะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนอื่นได้อย่างไม่มีข้อกังขา ไม่มีปัญหาไหนที่ผมแก้ไม่ได้ การที่ผมทำแบบนี้ บ. ได้ผลประโยชน์ ตัวผมได้ผลประโยชน์ มันอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่มันจะไม่เสียเปล่า ภายในระยะเวลา2ปีที่ผมทำงาน เงินเดือนผมขึ้นมา5000 ไม่ใช่ด้วยแค่ความสามารถ แต่เป็นความใสใจในหน้าที่การงาน บ. จึงยอมจ่าย เพื่อให้ได้ผมมาทำงาน(อันนี้อีโก้ล้วนๆ แต่ผมก็เชื่อว่าผมทำประโยชน์ให้ บ. ได้ไม่น้อยกว่าที่เขาจ้างแน่นอน)
นายจ้างบอกให้มาทำงาน แล้วไม่มาผมว่าไม่ต้องมานั่งคุยให้เหนื่อยหรอกที่ไหนก็ไล่ออกครับ ถ้าน้องไม่อยากมาทำงานน้องลาออกเองเลยครับจบด้วยดี
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่มีสาระครับ
ถ้าส่งแต่ผลงานแล้วจบ...เขาคงไม่จ้างทำงานประจำ..คงไปจ้างฟรีแลนซ์รับงานเป็นจ๊อบๆ ซิครับ เขาให้ออฟชั่นต่างๆมากกว่าค่าแรงก็เพราะเขาเช่าเวลาชีวิตของคุณไปด้วย และที่สำคัญ สัญญาระบุไว้อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น สิ่งที่พนักงานคนนี้ทำคือ ละเมิดสัญญาโดยตรง ถ้าคิดว่าเรื่องส่วนตัวสำคัญกว่างานก็ต้องไปทำงานที่เป็นของตัวเอง อย่ามาเป็นลูกจ้างเขาครับ
ขอบคุณที่เปิดโลกให้ค่ะ มันสมเหตุสมผลมาก ถึงจะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้แต่จะเก็บเอาไปปรับใช้แน่นอนค่ะ คิดว่าถ้าไม่ได้เจอคลิปนี้คงทำเหมือนกับพนักงานนั้นแน่เพราะเราก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์ค่ะ
ผมสงสัยอย่างนึงแหะ
ผู้จ้างซื้อเวลา แต่ทำไมตอนทำงานเกินเวลา
หลายตำแหน่งเหมือนเป็นที่เข้าใจกันว่าไม่ได้เงินเพิ่ม
งานผมโปรแกรมเมอร์ แต่คงมีรูปแบบการทำงานหลายอย่างคล้ายๆในคลิป
นั่นสินะ เศร้า
@@ttasac งานที่ไม่ได้เงินแต่ตอนเลื่อนตำแหน่งจะมีค่าครับแต่ถ้ามันไม่มีค่าก็ 555 +
@@chaymorya6092 บางบริษัทเลื่อนตำแหน่งได้ค่าตำแหน่งไม่ถึง 5% ของฐานเงินเดือน แถมตอนก่อนเลื่อนทำแต่โอฟรี แบบนี้ก็ไม่ไหวครับ
อ้างถึงโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
ก็ตามสัญญาจ้าง คุณเซ็นต์รับค่าจ้างแบบไหน ก็ได้แบบนั้น ถ้าจะงง จะสงสัย ควรสงสัยก่อนเซ็นต์ ไม่ใช่มาสงสัยหลังเซ็นต์ไปแล้ว
งานสายออกแบบ ออกไอเดียสร้างสรรค์ต้องปิดจ๊อปตามเวลา ดึกแค่ไหนจบงานได้มาฟุบหลับที่ทำงานไม่มีคนว่าเลย แต่วันปรกติจะฟุบไม่ได้ วันไหนคิดงานไม่ออกต้องเดินหาไอเดียเหมือนอู้ สงสัยเรื่องทำไมงานทำเสร็จเอาไปใช้ได้เลยมากกว่า ส่วนตัวที่เห็นมาแทบไม่เจอเลยประเภทครีเอจแล้วทำครั้งเดียวใช้ได้เลย เห็นคนที่รู้จัก รวมฉันเองงานเล็กๆอย่างตัวหนังสือบรรทัดเดียวอาจจะหลายสีเปลี่ยนไปหลายfont ใหญ่เล็กวางตำแหน่งไหนจะมีลูกเล่นอะไร งานตัดต่อวีดีโอดูไปสามรอบก็มีให้แก้สามรอบเสียงได้ไหม ช่วงไหนสั้นยาว ทำสามมิติ render เป็นสิบภาพใช้สองภาพ อีกวัน อยากดูมุมใหม่ ทำshopdrawing ว่าละเอียดสุดฝีมือ ส่งไปหน้างาน ทำไม่ได้ขอเพิ่ม ออกแบบบ้านวันนี้สวยแล้ว เรียกญาติมาดูได้วงแก้แดงเถือกหน้ากระดาษ ภูมิสถาตย์มาดูหน้างาน หมุนต้นไม้ขยับเข้าออกอยู่นั่นแหละ วัสดุก่อสร้างบางอย่างสีนี้ รุ่นนี้ ลายนี้ แพงไป เลิกผลิต มีเทคโนโลยีใหม่มา ได้แก้แบบอีก
พี่ซื้อเครื่องล้างจานไหมครับ จะได้ไม่ same day แล้ว
มีตั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคลิปนี้นะครับ
น้องคนนั้นเค้าผิดในหลายๆจุด หลักๆก็ตรงเรื่องสัญญาจ้างนี่แหละที่จำเป็นต้องมาเข้างาน
แต่ที่ไม่เห็นด้วยที่สุดคือเรื่องใบผ่านงาน ในคลิปเหมือนเอาใบผ่านงานมาเป็นตัวประกันเป็น มาเป็นคำขู่เอามากๆจนถึงกระทั่งตอนปิดคลิปก็ตาม
ผมทำงานมาก็ไม่เคยจำเป็นจะต้องใช้ใบผ่านงานใดๆในการสมัครงานต่อ และไม่เคยมีที่ไหนถามหาด้วย ดังนั้นผมว่ามันไม่ใช่ประเด็นที่นายจ้างจะเอามาเป็นข้อได้เปรียบในประเด็นนี้เลย
ผมไม่ได้สื่อสักหน่อยว่าใบผ่านงานเป็นข้อได้เปรียบของนายจ้าง เพราะตามกฏหมายนายจ้างต้องออกใบผ่านงานให้ลูกจ้างเสมอ ส่วนต้องใช้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลูกจ้างและ HR ของแต่ละบริษัทเอง ถึงไม่ต้องใช้ HR มักติดต่อย้อนกลับไปที่นายจ้างก่อนหน้าเพื่อสอบถามข้อมูลต่าง ๆ อยู่ดี
ดังนั้นใบผ่านงานไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งหลายคนมองว่านายจ้างเอามาเป็นตัวประกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรและการไม่ลงรายละเอียดที่เสียหายต่อลูกจ้างเป็นเพียงมรรยาทเท่านั้น
ส่วนเนื้อหาในใบผ่านงานที่ออกให้กับลูกจ้างในกรณีนี้ ผมได้ขอดู (เสือก) มาแล้วแม้ผิดมรรยาทก็ตาม มีแต่ข้อมูลตามสภาพจริงที่นายจ้างประสบ ไม่ได้ใส่สาเหตุการให้ออกหรือข้อความเสียหายด้วยซ้ำ
@@ttasac ผมอาจจะทำงานบริษัทต่างชาติใรไทนมาตลอดทำให้ไม่เคยเจอการขอเอกสารผ่านงาน รวมถึงการโทรไปหาบริษัทเก่าด้วย เลยทำให้ไม่เคยสนใจในส่วนนี้เลย พอมาเห็นทางคุณโตให้ความสำคัญในการยกมาเป็นประเด็น
ส่วนตัวเชื่อว่าบริษัท gen ใหม่ๆ น่าจะเลิกให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ที่จะมาพิจารณารับคนเข้าทำงานหรือส่งผลต่อเงินเดือน เทียบเท่ากับความสามารถ ผลงาน และบุคลิกภาพ ของผู้ถูกจ้าง
ผมเชื่อว่าน้องการตลาดคนนั้นมีความสามารถระดับที่เก่งเลย วัดจาก kpi ต่างๆที่ที่ฟังจากคลิป แต่น้องไม่สามารถทำตามสัญญาและแข็งข้อต่อวัฒนธรรมองกรณ์ของเพื่อนคุณโต
เรื่องนี้มันไปกันไม่ได้เพราะ mindset ที่ต่างกัน การจ้างงานของเพื่อนคุณโตคือการซื้อเวลาชีวิตให้เข้ามาทำงานตามกำหนด แต่หลายๆที่คือซื้อผลงานและความรับผิดชอบ ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนน้องเองถ้่ปรับปรุงเรื่องการเข้าประชุมและพร้อม on call มากกว่านี้จะดีขึ้น การไปช่วยแม่หรืออะไรต่างๆไม่ใช่เหตุผลที่ดีในการยกมาอ้างเลยเพราะเวลางานยังไงควรพร้อม on call เสมอ
@@Pikapor113 สิ่งที่ละเลยไม่ได้อีกอย่างคือประเภทธุรกิจครับ ถ้าเป็นธุรกิจสายนวัตกรรมหรือต้นน้ำ ผมเชื่อว่าการพิจารณารับเข้าทำงานโดยอาศัยผลงานมีอยู่จริงครับ รวมถึงการทำงานแบบ Flexible ด้วย แต่ถ้าเป็นธุรกิจกลางหรือปลายน้ำที่ตัวลูกจ้างไม่ถูกให้ความสำคัญด้านองค์ความรู้ก็อีกเรื่อง
แต่ยังไง HR ต้องสำรวจประวัติอาชญากรรมของลูกจ้างก่อนรับเข้าทำงานทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในวิธีสำรวจพื้นฐานที่ง่ายที่สุดก็คือไปถามเอาจากนายจ้างคนก่อนนั่นแหละ เพราะกว่าจะได้ผลมาจากหน่วยงานราชการ (สำหรับบริษัทที่พลังเยอะ) มันรอนาน
ปล. ผมไม่อยากให้เชื่อสิ่งที่ HR พูด 100% ครับ เพราะนี่คือฝ่ายที่ทำงานอย่างลึกลับที่สุดฝ่ายหนึ่งของทุกบริษัท HR บางแห่งถึงกับใช้ Software AI ประเมิน Aptitude Test ขณะสัมภาษณ์แบบ โดยที่ผู้สมัครไม่รู้ด้วยซ้ำ
ใบผ่านงานผมไม่เคยใช้เลย จะได้งานหรือไม่ ส่วนใหญ่อยู่ที่หน้าที่งานเก่าและตอนสัมภาษณ์นี่แหละ
อยู่ในเจน Z ครับอีก 2 ปีจะเข้าตลาดแรงงาน คลิปนี้มีประโยชน์สำหรับผมมาก หลังจากฟังคลิปนี้ ทำให้ได้เข้าใจเหตุผลและข้อผิดพลาดของทางฝั่งลูกจ้าง กฎระเบียบและสิ่งที่นายจ้างต้องการ การทำงานนั้นไม่ควรนำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ความรับผิดชอบและข้อตกลงในสัญญานั้นสำคัญที่สุด ขอบคุณมากครับ 🥰
ถ้ารู้จักคำว่าสัญญา มันย่อมตามมาด้วยกฎระเบียบที่ตกลงกันไว้ ซึ่งก่อนเข้าทำงานทุกคนรู้เรื่องนี้ดี
เพราะฉนั้น ถ้ารับไม่ได้หรือไม่โอเครกับสัญญา อย่าสมัครเข้าทำงานตั้งแต่เเรกจะดีกว่าครับ...
น้องตึงไป ส่วนเพื่อนคุณโตก็ตึงไปเช่นกัน ผมมองอย่างนั้น
อาการหมั่นไส้มันเลยเกิด
ผมก็น่าจะรุ่นใกล้กันกับคุณโตนะครับแต่ผมก็เห็นว่ามีหลายเรื่องที่วิธีคิดแบบคนยุคเราไม่โอเคเลย และพวกเด็กยุคใหม่ก็มีอะไรที่ไม่โอเคเยอะอยู่เหมือนกัน
เจรจาต่อรองไม่เป็น ต่างฝ่ายต่างยอมหักเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
นายจ้างก็ยื่นกรานแต่จะให้เข้าทำงาน อ้างระเบียบ อ้างสัญญา อ้างคนอื่นจะเลียนแบบ
ไล่ต้อนเด็กจนจนมุม ส่วนเด็กก็อารมณ์แบบเด็กๆ ฉันพอใจของฉันแบบนี้ บลาๆ เอาจริงๆ
สัญญาฯ มันร่างได้ก็เปลี่ยนได้ ทำข้อตกลงกันใหม่ถอยคนละก้าวคุย Profit กันใหม่เอาที่
พอใจทั้งสองฝ่าย ส่วนเรื่องระเบียบในออฟฟิส แน่นอนกฏระเบียบก็ต้องเป็นกฏระเบียบ
แต่จะสามารถปรับอ่ะไรได้ไหม ดูอย่างบริษัทใหญ่ๆ กูเกิล เฟสบุค นั่น เรื่องนี้นายจ้าง
ก็ต้องเปิดหูเปิดตาว่าโลกเค้าไปถึงไหนแล้ว ส่วนเด็กก็ต้องควบคุมอารมณ์ แล้วให้
เปลี่ยนจากยื่นคำขาดเป็นคำขอ ขอให้เค้าเมตตา ก็จะดูซอฟลงกว่านี้ ..
+1
แค่อ้างสัญญาก็จบแล้วครับ ไม่ต้องเจรจาอะไรเลยด้วยซ้ำ (ถ้าสัญญาเปลี่ยนได้ จะมีสัญญาไปเพื่ออะไร)
@@wichateartsawang8652 5555+
ถ้าฟังดี จุดแตกหัก มันอยู่ที่น้องเค้าอ้าง บอกว่าเสียเวลาชีวิตไปในการเดินทางนู้นนี้ (ซึ่งนายจ้างจ่าย %ชดเชยแล้ว)
ติดต่ออยาก เข้าประชุมช้า ซึ่งกระทบกับคนอื่นในบริษัท เพราะมัวแต่เอาเวลาที่ต้องทำงานไป ถูบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าว (น้องกล่าวให้นายจ้างฟังเอง)
ก่อนจะเข้าไปทำงานตอนแรกก็ควรศึกษากฎระเบียบต่างๆขององค์กรนั้นๆให้ดีก่อน แล้วค่อยเซ็นสัญญาเข้าไป ไม่ใช่เซ็นๆไปก่อนพอได้เข้าไปทำงานแล้วจะเรียกร้องให้เปลี่ยนนู่นนี่ ตามที่ใจตัวเองต้องการ ถ้าบริษัทต้องมาเปลี่ยนกฎต่างๆเพราะความต้องการของน้องคนนี้คนเดียว อีกหน่อยใครต้องการอะไรก็ต้องเปลี่ยนแปลงในทุกๆเรื่องเลยซิ่ แล้วความมั่นคงและความน่าเชื่อถือขององค์กรจะอยู่ที่ไหน
มาฟังคุณครั้งแรก เป็นคอนเท้นส์ที่มีประโยชน์จริงๆค่ะ ตัวเราเองมีน้องชายวัยนี้ เค้ามีความคิดลักษณะนี้จริงๆค่ะ ไม่ได้หมายความว่า เค้าก้าวร้าวหรืออะไรนะคะ เพียงแต่เค้ามีมุมความคิดของเค้าแตกต่างจากวัยเรา ซึ่งบางเรื่องมีประโยชน์มากแต่ก็สุดโต่งไป โชคดีที่น้องของเราอายุห่างจากพี่ๆมาก พี่ๆก็จะคอยบอกคอยสอน ตบๆกันไปก่อนจะจบไปทำงาน เพราะจะได้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขอ่ะนะ
5:40 ช่วงWFH ถูกลดเงินเดือนหรือไม่ ถ้าไม่ลด ก็ไม่ควรยกเลิกสัญญาหอพัก
9:12 เจ้านายแบบนี้ใช้ไม่ได้ ทำตัวเป็นเจ้าชีวิต เค้าขายแรงนะ ไม่ได้ขายชีวิต ทำงานดียังไม่พอต้องถวายชีวิตด้วยเหรอ แบบนี้เป็นความคิดสำหรับใช้ปกครองคนโรงงาน
11:40 อันนี้เห็นด้วยกับนายจ้าง
9.12 นายจ้างพูดถูกแล้ว ส่งที่บริหารยากสุดจริงๆ คือคน เขาต้องการบริหารคนอย่างไร จึงออกมาเป็นความต้องการตามสัญญา ถ้าคุณเคยเรียนบริหาร M (man) คือ ทรัพยากรที่จะต้องบริหาร
เรื่องเงินชดเชย WFH ผมสงสัยจนต้องโทรไปถาม ได้ความดังนี้
1. ลูกจ้างที่โดน WFH มีเงินชดเชยค่าไฟ 20% จากค่าไฟเดือนก่อนโดน WFH แต่ไม่เกิน 300 บาท ค่าอินเตอร์เน็ต 500 บาท และค่าสาธารณูปโภคอื่นๆ อีก 1,000 บาท
2. กรณีน้องผู้หญิง นายจ้างได้ชดเชยค่าหอพักให้ 30% เป็นเงินประมาณ 1,900 บาทให้ทุกเดือน โดยโอนเข้าบัญชีพร้อมเงินเดือนอย่างต่อเนื่อง นายจ้างไม่ทราบมาก่อนว่าน้องยกเลิกสัญญาเช่าหอพักและบริษัทยังจ่ายเงินชดเชยค่าหอพักจนถึงวันทำงานวันสุดท้าย และเป็นอีกสาเหตุที่แม้นายจ้างจะไม่ยกมาพูด (เพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศแย่ลงกว่านี้) แต่นำมาพิจารณาให้ออกในตอนท้าย
3. ใบผ่านงานที่เพื่อนผมได้เซ็นต์ออกไป ซึ่งผมได้เห็น (เพราะอยากรู้เลยขอเสือก) ระบุคร่าว ๆ ดังนี้
"ความคิดสร้างสรรค์ดี ตรงต่อเวลา ตรวจทานงานรอบคอบ เลือกสภาพแวดล้อมการทำงาน นายจ้างควรสอบถามเรื่องสภาพแวดล้อมการทำงานอย่างละเอียด"
ส่วนเรื่องเจ้าชีวิต ถ้าตีความว่าเขาซื้อเวลาตามสัญญาว่าจ้าง จ-ศ 8-17 พักกลางวัน 1 ชั่วโมงคือการเป็นเจ้าชีวิตผมว่ามันเกินไป กรณีนี้นายจ้างซื้อเวลาให้ลูกจ้างเข้ามาทำงานโดยอาศัยความรู้, ความถนัด และประสบการณ์สร้างผลงาน ตามที่กำหนดในสัญญาจ้าง มันแสดงให้เห็นว่านายจ้างเป็นเจ้าชีวิตตรงไหน?
และอย่าใช้คำว่า "แนวคิดสำหรับปกครองคนโรงงาน" เพราะมัน Discriminate มาก คนโรงงานทำงานสัปดาห์ละกี่กะ กะละกี่ชั่วโมง มันต่างอะไรกับพนักงานธนาคาร, วิศวกรโยธา และผู้ช่วยวางแผนการเงินตามสถาบันการเงินบ้าง?
9:12 สว่านแพง ใส่กล่องทาน้ำมัน เก็บบนหิ้ง ไม่ได้มีผลกระทบกับสว่านถูก ที่เก็บกองๆ ใว้ในกล่อง
แต่คนที่ได้สิทธิ์พิเศษกว่าคนอื่น ต่อให้ทำงานดีขนาดไหน มันมีผลต่อความรู้สึกของคนอื่น ๆ ในทีม มันจะสร้างคำถามให้คนอื่น ๆ และทำให้ Performance ของทีมค่อย ๆ แย่ลง
น้องตอบได้ดี นายจ้างตอบได้ดีเหมือนกัน แค่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่ความต้องการไม่เหมือนกัน
@@ttasac
โดยรวมผมเห็นด้วยกับนายจ้าง
และถ้าเป็นผมคงจัดการพนักงานหญิงคนนี้ได้โหดมากกว่า เพียงแต่ผมขัดใจกับบางประโยคเท่านั้น
.
การปกครองคนโรงงานแตกต่างมาก กับสายงานอาชีพอื่นครับ เพราะการบริหารโรงงานจะคำนวนว่า 1 ชั่วโมงได้ผลผลิตเท่าไร 1 วันได้ผลผลิตเท่าไร พนักงานมาสายวันละ 10 นาที ปีละกี่ครั้ง ผลผลิตหายไปเท่าไร แต่อาชีพอื่นทำแบบนี้ไม่ได้ การทำงานจึงยืดหยุ่นกว่ามาก ต่อให้มาสายวันละครึ่งชั่วโมงตลอดปี ก็ยังทำกำไรได้ปีนึงเป็นหมื่นล้าน เป็นสิ่งที่แตกต่างกับอาชีพใช้แรงงานอย่างมาก
@@guboat3908
แต่ถ้าคุณเรียนจบหลักสูตรบริหาร มากกว่าการจำครึ่งๆกลางๆ คุณจะรู้ว่าการบริหารคนในธุรกิจแต่ละประเภทแตกต่างกัน
.
และย้ำอีกครั้ง โดยรวมผมเห็นด้วยกับนายจ้าง เพียงแต่ขัดใจในบางประโยค
case นี้น่าสนใจครับ
อยากทราบว่าเมื่อ ทางนายจ้าง รับคนใหม่มาทำงานแทนน้องคนนี้แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ความรู้สึกของนายจ้างเป็นอย่างไร ยังคงเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปรึเปล่า อย่างไร
ถ้าเป็นไปได้ในอนาคต อยากให้update. ความรู้สึกของนายจ้างให้ฟัง ว่าเป็นอย่างไรในอนาคตครับ.
แต่พี่ขอแย้งเรื่องนึงนะครับ เรื่องนายจ้างให้โอกาส เพราะนายจ้างเลือกลูกจ้าง ก็เพราะคิดว่าคุณสมบัติ หรือคิดว่าทำงานให้ได้ แต่อย่าลืมว่าลูกจ้างก็มีสิทธิ์เลือกนายจ้างด้วยเหมือนกัน นายจ้างและลูกจ้าง เราต่างเลือกกันและกันครับ
คลิบนี้ดี คนรุ่นเกาจะได้รู้ความคิดของคนรุ่นใหม่ ค่อยๆเปลี่ยนกันไปหาจุดทีลงตัว สุดท้ายก็อยู่ที่ผลของงานอยู่ดี
ชอบที่คุณมาเล่าเรื่องเรียบเรียงได้เห็นภาพเข้าใจง่ายมากเลย แต่ขอแนะนำเรื่องการใช้คำสรรพนามนิดนึง อยากให้ลองเปลี่ยนคำว่า"มัน" เป็นเขา น้องเขา ที่ใช้เรียกเพื่อนหรือน้องผู้หญิงคนนั้นดู น่าจะทำให้คลิปคุณน่าฟังขึ้นอีกเยอะเลย เป็นกำลังใจให้ ฟังคลิปคุณแล้วได้มุมมองเยอะเลย ขอบคุณครับ
ทำงานที่ไหนก็ต้องทำตามกฎระเบียบของบริษัทนั้นๆ โดยหากมันไม่ได้ขัดต่อกฎหมายก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตาม การเอาเรื่องส่วนตัวมาโยงเพื่อใช้ดเป็นข้ออ้างในการไม่ทำตามกฎระเบียบแบบนี้ผมหากผมเป็นนายจ้างก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน อนาคตคงมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกมา
ไม่แปลกใจที่ทำไมนายจ้างหลายๆแห่งมีการตรวจสอบโซเชียลมิเดีย ของผู้สมัครงานก่อนรับเข้าทำงาน เพราะมันเป็นการกลั้นกรองไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตนั่นเอง
ขอบคุณมากเลย เชื่อว่าทำให้ทุกคนที่ต่าง gen กันพอจะเข้าใจ และเป็นมืออาชีพมากขึ้น
อ๋อ เรื่องของคนรวยเขาคุยกัน
ต้นทุนชีวิต ของทุกคนไม่ได้เท่ากันครับ
เเต่ชื่นชมครับ คำพูดสวยหรูดี 👍
จริง ๆ เรื่องนี้ เหมือนนายจ้างจะปราณีปรานอมแล้วนะ ไม่เอาเรื่อง WFH มาตั้งประเด็น แต่เปลี่ยนเป็นเข้าสายแทน พอเข้าเรื่องนี้ น้องมันก็ช๊อตเลย เพราะสิ่งที่ทำคือ เข้าใจว่าตัวงานได้ แต่ productivity ของคนรอบข้างมันดรอปลงเพราะต้องรอน้องเขามาตอบ จริง ๆ ถ้าเกิดว่า น้องมันตรงเวลามากกว่านี้ เข้ามิตติ้งตรงเวลา ทักไปตอบตลอด คือจะนอน จะอะไร จะเล่นเกม จะพักผ่อนก็เปิดเสียงให้สามารถรับรู้ได้ว่ามีคนทักมา ไม่ใช่ทิ้งไปเลยเวลาเขาถามอะไรจะได้ตอบทันทีไม่ดีเลย์คนอื่น แบบนี้นายจ้างน่าจะพอโอเคได้บ้าง เพราะเข้าใจเรื่อง covid เรื่องที่พัก ประเด็นหลัก ๆของน้องคนนี้ คือเรื่อง ติดต่อไม่ได้ล้วน ๆ เลย ก็อย่างที่บอกพักได้ ไม่อยู่หน้าคอมได้ แต่มันต้องติดต่อได้ ทำยังไงก็ได้ให้มันติดต่อได้ทันทีอ่ะ คืออยู่ในเวลางาน เขาซื้อเวลาเรา เพราะงั้นเราก็ต้องทำให้ติดต่อได้ตลอดเวลา กินข้าว จะเล่นเกม จะนอนก็ต้องติดต่อได้ ถึงเวลาเลิกงานแล้วจะปิดการสื่อสารจะปิดอะไรก็ค่อยว่ากัน
จากประสบการณ์นะครับ ผมเคยเป็นคนแบบที่พี่เล่าเอาใว้ เก่ง ทุกคนยอมรับ เหลง ทะนงตัว เป็นหัวหน้า ทุกคนยอมรับเรื่องงาน มาเช้ากว่าเช้าบ้าน กลับ คนสุดท้าย ทุกวัน เรื่องงานไม่เคยมีปัญหา ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว ตอน ภรรยาผมไกล้คลอด ผมขอหยุดงาน 1เดือน เพื่อดูแลลูกเมีย ปรากฎว่า โดนไล่ออก เวลางานเกือบ 3 ปี เป็นหัวหลักหัวตอ ผมเคยคิดว่า ถ้าบริษัทขาดผมไป คงลำบาก แต่ เขาก็แค่หาคนใหม่ ผ่านมา 4 ปี ผมมีร้านเป็นของตัวเอง ล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะมาถึงวันนี้ ทุกคนมีสิทธิ์ คิด มีสิทธิ์ทำ แต่กฎ ก็คือ กฎ
มันเป็นเรื่องเล่าที่ดี เลยครับ หวังว่า น้อง คนนั้น จะได้ประสบการณ์ที่ดี เป็นกำลังใจให้ทั้ง2ฝ่ายครับ
ขอบคุณกับความรู้ HR ดีๆที่สะท้อนความเป็นจริงในปัจจุบันในการทำงานร่วมกับความหลากหลาย generation และมุมมองของแต่ละ gen ทำให้เกิดการสะท้อนความคิด และการปรับตัวในการทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
ได้รับแนวคิดอีกมุมเลยครับ ขอบคุณครับ
ยิ่งเก่งยิ่งแน่ก็ต้องยิ่งอ่อนน้อม และต้องรู้จักให้เกียรติซิ่งกันและกัน ไม่รู้สินะคนแก่ๆคิดได้แค่นี้เอง
ผมก็มีเพื่อนที่ทำแบบน้องคนที่พูดถึง ก็ต้องกลับบ้านเตะฝุ่น คือคุณเก่งแค่ไหนคุณก็ต้องดูส่วนรวม นี่เพื่อนมันเป็นเพื่อนกับผู้บริหารเลยนะ ก่อนเกิดโควิทด้วย ต้องออกไปโดยปริยาย
ถ้าน้องคนนั้นโตขึ้นมาเป็นหัวหน้าคน เป็นผู้บริหารก็คงจะเข้าใจเอง ต้องแบกรับภาระอะไรบ้าง
เห็นด้วยเลย คนมักจะบอกว่าต่างกันเพราะ gen แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นเพราะบทบาท ภาระ และความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ทำให้คนคิดและปฏิบัติแตกต่างกัน ส่วนแสดงออกมากน้อยขึ้นกับนิสัยคน
ผมฟังจนจบเลยครับ ขอบคุณที่มาแชร์ให้ฟังครับ
เข้าใจเลยครับ ต้องเข้าใจก่อนว่า Gen Z ไม่ใช่เด็กที่เกิดตามยุคปี พ.ศ. แต่เป็นรุ่นที่เกิดในรุ่นของครอบครัว สำหรับตัวผม ผมเป็น Gen X พ่อผมเป็น Baby Boomer มีพี่น้องเยอะหลายคน
ลักษณะการเลี้ยงดูก็จะมาอีกอย่าง สมัยเรียนมหาลัย ก็มีเพื่อนในชั้น ที่บางคน เขาเป็น Gen Z แล้ว (อายุเท่ากัน เกิด 252X) พอมาถึงตอนนี้ ผมสามารถเปรียบเทียบว่า ทำไม เหล่า Gen Z ถึงเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเกิด 252X หรือ 254X ห่างกัน 20 ปี พวกนี้จะเหมือนกัน เนื่องจากหลานคนหนึ่ง จากหลายๆคน ก็มีพฤติกรรม Gen Z ออกมาเต็มที่พอๆกัน
เพราะ ระบบการเลี้ยงดู วิธีการป้อนข้อมูลชุดความคิด ผลลัพท์ความคิด แทบไม่แตกต่างกัน
-ถูกเลี้ยงดูโดยไม่ต้องรับผิดชอบมากมาย พ่อแม่มีเงินเดือน สวัสดิการ มีของเล่น มีของใช้ ให้สิ้นเปลือง ดังนั้น เมื่อโตมา
-เรียนโรงเรียนเอกชน เนื่องจากครอบครัวสามารถจ่ายได้ ครูอาจารย์ จะมีลักษณะต่างจากครูอาจารย์โรงเรียนรัฐ คือ อยู่ใต้อำนาจการปกครองเด็ก หรือเท่าเทียม ดังนั้น เด็กกลุ่มนี้ส่วนหนึ่ง มองว่า "ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกัน เนื่องจากอยู่ด้วยผลประโยชน์ทั้งคู่" ตอนเรียนมหาลัย อาจารย์ไม่ตามใจ ดุด่าว่ากล่าว ก็พยายามล่ารายชื่อเอาผิดอาจารย์(มหาลัย) เพื่อเปลี่ยนผู้สอน
-ขาด ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น งานกลุ่มไม่รับผิดชอบ ต้องให้ตาม และหากตามยาก และทิ้ง มักจะฟ้องครอบครัวให้ออกหน้า แก้ตัวเก่งเหมือนตัวเองถูก และไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองผิด
-เที่ยวเก่ง ใช้เงินเปลือง เพราะตั้งแต่เด็ก ไม่เคยต้องขาดเงิน หากใครขัดใจจะหาเรื่องก่อน
-ทนงว่าตัวเองเก่ง เพราะเรียนเยอะ เรียนคะแนนดี แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่ต้องทำงานยากๆ จะไปไม่ไหว
-ชอบฟังในสิ่งที่ตัวเองชอบ เท่านั้น ดังนั้น กลุ่มนี้ จะถูกหลอกง่ายเป็นพิเศษ และล้มเหลวในชีวิตง่ายเป็นพิเศษ เพราะอวดฉลาด ชอบยกตัวอย่างสิ่งใหม่ เกลียดสิ่งเก่า ชอบพูดเรื่องที่ดูหรูหรา หรือทันสมัย คริบโต รถไฟฟ้า สเก็ตบอร์ด มือถือ กระเป๋าแบรนด์เนม กาแฟ ท่องเที่ยว
ถามว่า กลุ่มพวกนี้ อนคตเป็นยังไง ตอบเลยว่า เพื่อ 3 คนที่เรียนด้วยกันมา ที่อยู่ในกลุ่ม Gen Z (ไม่รู้ทำไม พวกนี้ชอบอยู่กลุ่มเพื่อน 3 คน ) ไม่สวยซักคน ทั้งๆที่เป็นกลุ่มที่เก่ง เด่น พื้นฐานความรู้ดีมาก
-คนแรก ตอนนี้อยู่บ้าน แฟนทิ้ง ไม่มีงาน ขับแกรป จบมาทำงานได้ 3 ปี เปิดร้านกาแฟ เจ๊ง เปิดร้านเหล้า เจ๊ง
-คนที่สอง จบมา ตอนนั้น Forex มาใหม่ๆ ลงทุนหมดไป2-3 ล้าน ไม่พอ หาเงินลงทุนเพิ่ม ขายที่ไปลงทุน ใช้ชีวิตหรูหรา เที่ยวรอบโลกหาประสบการณ์ จบที่ติดคุกเมืองนอก เพราะขนยาไปขายใช้หนี้
-คนที่สาม สถานะ อยู่บ้านเหมือนกัน กินอยู่กับสมบัติปู่ย่า นี่ก็ทำงานที่แรกที่เดียวกัน ผ่านโปรได้ 6 -7เดือน ก่อเรื่อง ทำโปรเจ็กบริษัทล่ม 2 โปรเจ็กถ้วน เพราะติดพนันบอล ตอนหลัง ไปร่วมลงทุนกับไอ้คนแรก กอดคอพากันเจ๊ง สาเหตุ เมากระทืบลูกค้า
ส่วนหลาน ไม่ต่างกัน อาชีพเดียวที่มำตอนนี้คือ เป็นไรเดอร์ พ่อแม่ออกมอเตอร์ไซด์ ราคาเกินแสนให้ เอาไปขับส่งของเทห์ๆ มาจะ 2 ปีแล้ว ทำ 3 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม อายุ จะ 25 ละ ปริญญาไม่มีเพราะไม่จบเทอม 1 ครูไม่ตามใจ ไม่ให้ส่งงานย้อนหลัง พอจะให้กลับไปเรียน อ้างโควิด เลยไม่ได้เรียน
ดังนั้น คนเกิดยุคนี้ ไม่ใช่คน Gen Z หรือ Alpha ไปทั้งหมด แต่ก็จะมี Gen อื่นๆ ปนอยู่ด้วย ยิ่งสภาวะบ้านเมือง คืออยู่ในเมืองมากๆ คน Gen Z ก็จะมากตาม ดังนั้น จะสังเกตุได้ว่า เมืองใหญ่ๆ บริษัทใหญ่ๆ มักมีพนักกงาน ที่มาจาก "ต่างจังหวัด" เยอะกว่า คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล แท้ๆ ส่วนใหญ่ เป็นคนที่เติบโตหรือเรียนมาจากสถาบันต่างจังหวัด ถึงจะมีโอกาสก้าวหน้าสูงกว่า เด็กที่อยู่ในเมืองมากกว่า และในมุมกลับ เด็กที่อยู่ในเมืองกรุง ก็จะยิ่งด้อยคุณภาพลงเรื่อยๆ ไม่มีงาน ไม่มีครอบครัว เป็นภาระสังคม เด็กที่เกิดมาจาก Gen z หลายคนเลยกลายเป็น Gen 0 (Zero) ซึ่งไม่มีทั้งอนาคตและปัจจุบัน อยู่ในชุมชนสลัมยุคใหม่หมู่บ้านชุมชนเสื่อมโทรม แทนที่จะกลายเป็น Gen Alpha
น่าสนใจดีครับ
เพราะเทคโนโลยีครับ
สมัยนี้ มีความสะดวกสบายเต็มไปหมด คนยุคหลังจึงขาดทักษะพื้นฐานที่จะอยู่และใช้ชีวิตโดยปราศจากเทคโนโลยีได้ เช่น ไม่สามารถก่อไฟได้ , ไม่สามารถหาข้อมูลได้ถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ต รวมทั้งไม่เข้าใจชีวิตที่ต้องอยู่ให้ได้ในโลกของอนาลอก ดังนั้นจึงทำให้เจนหลังๆ ดูจะขาดความใส่ใจในทักษะพื้นฐาน อย่างเช่น มารยาทในการอยู่ในสังคม ไป
แต่สุดท้ายแล้วเดี๋ยวธรรมชาติมันก็คัดสรรค์เองล่ะครับ ผู้อ่อนแอ ย่อมถูกผู้เข้มแข็ง บดขยี้ เดี๋ยวน้องๆก็คงได้บทเรียนตามสมควรล่ะครับ เราแค่ดำเนินชีวิตไปตามวิถีของเราเป็นพอ
อ่านจนจบ กลุ่มใจลูกชายในอนาคตจริงๆ 555 เลี้ยงได้แต่ตัวจริงๆ แม่มันตามใจ ให้เงินมากเกินความจำเป็น
ผมเป็นแบบที่คุณว่าเลย แต่ดีหน่อยที่มาอเมริกาแล้วมาอยู่แถบต่างจังหวัด ได้เรียนรู้ชีวิตเริ่มทำงานจายภาษีตั้งแต่อายุ16 ผมเกิดมาสบายตอนอยู่ไทย แม่รับหน้าทุกอย่าง ทุกวันนี้ยังพอมีบ้างนิสัยชอบของใหม่ๆ เห่อของทันสมัย แต่ไม่ทุ้มเงินจริงๆ เพราะว่าเราทำเงินมาเองเลยไม่กล้าเสี่ยง ปัจจุบันทำงานกิจการเป็นของตัวเองมาได้เกือบ5ปีแล้ว เพิ่งได้มีลูกจ้างอยู่มาเดือนนึงได้แล้ว เป็นคนไทยที่มาอยู่อเมริกา อายุ40กว่าๆ แก่กว่าผม12ปี เขามีลักษณะรักความสบายนิสัยเหมือนฝรั่ง เวลาทำงานจะเล่นมือถือ บางทีใช้เราด้วย และบอกว่าอยากร่วมหุ้นแต่จะไม่ลงทุน เขาขอแค่ออกแรงนิดๆหน่อยๆ แล้วให้ผมเป็นแกนสมองคอยคิด ลงทุน และทำสินค้า ส่วนเขาจะเป็นคนนำสินค้าไป โดยจะให้ผมเป็นคนขายด้วย ผมเลยคิดว่า เขารักตัวเองมากเกินไป เวลาเราบอกให้ทำอะไรมักจะไม่ทำ ค่าจ้างเขาตกชั่วโมงละ $20 ตีเป็นเงินไทยคือ 600บาท ต่อชั่วโมง ทุกวันนี้ผมทำเองเกือบทุกอย่าง จะว่าไปไม่ต้องมีเขาก็ได้นะ ก็แปลกดีคนที่มีหัคิดแนวใหม่มักจะกลัวคนอื่นเขาเอาเปรียบจนเอาเปรียบคนอื่นก่อน
น่าสนใจ ต้องไปลองสังเกตุ คนรอบตัวบ้าง
พูดได้ดี เลยครับ เลื่อนๆมาดูคลิปจนจบ ชอบครับ การพูดคุยแบบนี้ +++++++
ช่องว่าง ที่คุณโตว่า ถ้าไม่ใส่ใบผ่านงานปล่อยว่าง5ปี HRผมว่ายังไงก็หาข้อมูลได้ครับ การพูดขอบคุณไม่ใช่เพื่อขอโอกาสทำงานต่อ แต่อาจเป็นการสร้างโอกาสในงานหน้าก็ได้ครับ ส่วนนาทีที่13 นี้เหมือนฆ่าตัวตายชัดๆ ที่บอกเอาเวลางานไปทำงานบ้าน ช่วงพ่อแม่เนี่ย
ผมว่าน่าจะขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมหรือวงการด้วยนะ ถ้ายิ่งแคบยิ่งเล็กเดี๋ยวก็ตามเจอ
ผมคิดว่า ถ้าคนนั้นไม่ได้เป็นที่ต้องการจริง ๆ HR ไม่น่าเสียเวลาหาหรอกครับ เอาออกเเล้วเอาคนอื่นเข้ามาแทนง่ายกว่า อีกอย่างถ้าข้ามวงอุตสาหกรรม ยิ่งน่าจะหาข้อมูลยาก
ผมเคยทำงานบ.ใหญ่ ๆที่เลือกคนเข้าทำงานได้ (ตอนนั้นเป็น Junior) เวลารับคน ในทีมจะเอา resume มาเลือกกันเอง ถ้าใครที่ประสบการณ์แหว่งหายไปสัก 1-2 ปี ทีมก็จะจัดเป็นกลุ่มตัวเลือกรองแล้ว เพราะมีคำถามว่าหายไปไหน นี่ละ
เป็นเจนzค่ะ ยอมรับว่าในช่วงแรกก็คิดเหมือนผญคนนั้น แต่พอมาฟังที่คุณพูด ก็เข้าใจในอีกมุมค่ะ แค่เรื่องสัญญาก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว
ได้มุมมองมากเลนคนับ ขอบคุณที่นำประสบการณ์แบบนี้มาแชร์ ทำให้เข้าใจความคิดของฝั่งผู้จ้างงานด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
เราชอบในความขบถของน้องนะ มีจุดยืน กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เราชอบลูกจ้างแบบนี้ด้วย คือไม่เสียงาน แค่อย่าพยายามไปปกครองเค้า คน gen นี้และคนแบบนี้ เขาเติบโตมากับสภาพแวดล้อมและสังคมแบบนี้ คน gen x หรือ baby boomers รับไม่ได้และไม่เข้าใจแน่นอน เว้นแต่จะปรับจูนสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับเค้า เราเห็นลูกเราผ่านตัวเด็กคนนี้ เรื่องงานไม่เคยเสีย ส่งงานครบตามกำหนด ไม่เรื่องเยอะ ไม่มีคำถามอะไรมาก เห็นงานเข้าใจ ทำได้เลย ถ้าคนส่งงานบรีฟงานชัดเจน ก็อย่างที่น้องพูด ซื้อสว่านก็แค่ต้องการรู ...ถ้าในลักษณะงานที่น้องทำก็น่าจะสำคัญทีเดียว น้องไม่ใช่ฟันเฟืองธรรมดา ๆ ที่จะหยิบเข้าหรือออกเมื่อไหร่ก็ได้ คนเป็นนายจ้างหาลูกจ้างแบบนี้ก็ไม่ได้ง่าย ส่วนใหญ่มีแต่ราคาคุย
สมัยผมยังทำงานอยู่ในเมือง ( เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันกลับบ้านมาทำนาแล้ว )
เป้าหมายของการทำงานไม่ได้มีแค่ชิ้นงานที่เราได้รับมอบหมายมาแค่นั้นก็จบนะคับ มันมีงานอื่นที่เราต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นด้วย การจะบอกว่า ซื้อสว่านแล้วเป้าหมายคือรูสว่านเท่านั้น ผิดแล้วคับ บางทีเขาก็เอาสว่านไปใช้งานอย่างอื่นได้ด้วย เพราะเขาซื้อสว่านมาใช้งาน ไม่ได้ซื้อรูสว่าน ไม่ใช่คิดแค่ว่า รูสว่านของตนดีกว่าสว่านดอกอื่นแค่นั้นก็จบแล้วมีผลงานแล้ว
ผมมองว่าไม่เชิงผิดครับ
ในคลิ๊ปอาจจะเป็นการยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เข้าใจง่ายๆ เฉยๆ ครับ ไม่งั้นก็ไหลไปเรื่อยครับ เช่น ไม้จิ้มฟัน ถามจริงมันแค่จิ้มฟันอย่างเดียวหรอ ก็ไม่ใช่ ปุ่ม reset ใน router, ดึงแจ๊คหูฟังที่หักคาโทรศัพท์ ก็ใช้ไม้จิ้มฟันทำได้ แต่ๆ จุดประสงค์ของมันจริงๆ ก็คือจิ้มฟัน เอาเศษอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมออกครับ
ก็เหมือนกับสว่านนั่นแหละ ที่เป้าหมายหลักที่เราซื้อมาคือ เจาะรู ส่วนจะเอาไปขัดสีรถ ขัดพื้น เป็นตัวปั่นเครื่องยนต์ บลาๆๆ อันนี้ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักที่เราซื้อมันมา
ส่วนน้องคนนั้น จะคิดแบบที่เค้าคิดก็ไม่ผิดเลย เค้าสามารถทำงานที่เค้าได้ถูกจ้างมา ทำได้ดี สำเร็จทุกสิ่งอย่าง มันก็ดีแล้ว แต่เรื่องสัญญา ในส่วนนั้น ผิดก็คือผิด เจ้านายให้ออกก็ไม่แปลก ผมก็เห็นด้วยส่วนนึง
แต่ลองมาคิดดูอีกแง่นึง ถ้าน้องคนนี้ เก่งมากๆ เก่งจนทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นมา1000% หากให้ออก บริษัทรายได้จะลดลงทันที 1000% สมมติเป็นแบบนี้ ต่อให้น้องเค้านอนตื่นสาย เลี้ยงหมา ปลูกต้นไม้ ทำงานวันละ 3 ชั่วโมง เจ้านายก็ไม่ไล่ออกแน่นอนครับ
ส่วนกรณีในคลิ๊ป เจ้านาย ทำถูกต้องแล้วครับ ผมเห็นด้วย เชิญให้ออก เพราะ ผิดสัญญาชัดเจน ไม่ว่าจะทำงานดียังไง แค่ไหน ถ้าไม่มีผลต่อรายได้ของบริษัทโดยตรง ก็ให้น้องเค้าไปหางานที่เหมาะกับเค้าเองนั่นแหละดีที่สุด
@Dilve Tam เอากระดาษทรายติดกับสว่านเพื่อขัดชิ้นงานก็ได้ครับ หรือ เอามาใส่กับดอกไขควงเพื่อไขสกรูเข้าออกได้อีก ถ้าเปรียบเทียบพนักงานกับสว่าน ตัวสว่านไม่ได้แค่เจาะรูเพียงอย่างเดียวนะครับ
@@LomtalaySeacycle ปัญหาที่ บ. นี้เจอก็คือ พนักงานคนอื่นต้องมานั่งรอให น้อง ออนไลน์เสียก่อนคนอื่นเขาจึงจะทำงานได้ ซึ่งทำให้งานในส่วนของคนอื่นไม่เดินหน้า
มีพนักงาน 10 คน ทำงานได้กลางๆ 9 คน เก่ง 1 คน
ถ้า 9 คนทำงานเต็มประสิทธิภาพได้งานคนละ 70ส่วนน้องคนเดียวได้งาน 120 แต่ปัญหา คือ 9 คนนั้นไม่สามารถทำงานได้ 70 เพราะต้องมารอน้องแค่คนเดียว
@@LomtalaySeacycle เคยเห็นอยู่คนหนึ่ง ไม่ต้องมาทำงาน แต่เจ้าของบริษัทแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ ทำงานไม่กี่ครั้งอยู่ได้หลายปีเลย
@@fordniky5390 แบบนี้แปลได้ว่าคน ๆ นี้เป็นลูกจ้างที่หาคนมาทำงานแทนได้ยาก