Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
สาธุพุทโธนะมามิหัง
นานามีสุข
อริยะสงฆ์ ที่มีโอกาสได้รับฟังท่านเทศน์ สาธุ..สาธุ..
ตามฝันไกลแสงไกล
บรรลุนิพพาน อ.อริยเจ้า
ขอนอบน้อมกราบพระองค์ท่านครับสาธุ
คาวมฝันไกลแสงไกล
กราบสาธุเจ้าค่ะธรรมะขั้นปรมัตหาฟังได้ยาก
นิพพานคือความดับแห่งทุกข์สุดยอดทางพุทธศาสนาจิตคือสุดยอดทางกายใจ...เมื่อมาพบกันก็คือวิมุตและปภัสสร...สาธุ
น้อมกราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ
สาธุธรรม น้อมกราบๆๆ นมัสการท่านสมเด็จพระญาณสั้งวรครับผม
สาธุ อนุโมทามิ
กราบบูชาสาธุครับ
🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนา สาธุ ด้วยความเคารพ ทั้งกาย วาจา และใจ ค่ะ
ขอบคุณครับฯฯฯ
อนุโมทามิ ขอให้ผลแห่งบุญกุศลของการแสดงธรรมนำไปสู่นิพพาน
สาธุสาธุเจ้าค่ะ
ขอบคุณครับ
สาธุต่ะ
ผมขอสาธุสาธุสาธุครับ...
กราบสาธุ...
สาธุ.อนุโมทนา.บุญ..สาธุในธรรม.สาธุ
🙏🙏🙏สาธุ
กราบสาธุคับ
อนุโมทนาบุญ สาธุๆ
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุ สาธุ สาธุขอจิตบริสุทธิบรรลุพระนิพพานค่ะ
สาธุคะ
กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
ดีคะๆ สาธุ ๆ. นินพาน. เป็นสุข
สาธุสาธุสาธุ_ค่ะ🙏🙏🙏
ญาณนิพพาน @ พุทธะนิพพาน
กราบนมัสการสาธุๆพระคุณเจ้าสาธุๆเจ้าค่ะ
สาธุ
สาธูสาธูค่ะ
เสียงท่านเหมือน ร.9เลย
สาธุครับ
สภาวะแห่งการสิ้นไปของกิเลส----ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ( พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว ) ..........................................ขอนอบน้อมแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส โดยนัยว่า เมื่อเห็นแก่ตัว ก็ไม่มีความเป็นปกติ(ศีล) ก็จะเพ่งสติระลึกถึงความไม่ใช่ตัวตนอยู่ทุกลมหายใจได้อย่างไร(สมาธิ) พึงปฏิบัติหน้าที่โดย การสลัดคืนลมหายใจหรือจิตใจนี้(อานาปานสติขั้นที่ ๑๖ ขั้นสุดท้าย) คืนให้เจ้าของเดิมคือธรรมชาติ ย่อมไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวตนได้เลย (ปัญญา) พร้อมเป็นปฏิเวธ ดังนี้.......................................................................................................................................................................................................................................................................................อันว่า ร่างกายนี้ก็เป็นดั่งบ้านหรือไม้ผุๆสุดท้ายก็เป็นเถ้าถ่าน สลายไปตามกฎของธรรมชาติ ส่วนจิตนั้นที่อาศัยลมที่มีอยู่ก่อนแล้วของโลก ทำให้เกิดเป็นมนุษย์แลตัวสัตว์ ย่อมกลับไปสู่สามัญ เมื่อพิจารณาจากการยืนเดินนั่งนอน(นะมะพะทะทะพะมะนะ) การอาศัยลม เป็นตัวขับเคลื่อน โดยจิตเป็นผู้สั่ง เมื่อลมเข้า ลมออกหมด ร่างกายก็แตกสลาย จิตก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตหรือวิญญาณที่รับรู้อารมณ์ต่างๆเช่น สุข(บุญ)(โลภ)บ้าง ทุกข์(บาป)(โกรธ)บ้าง ก็เป็นเพียงแต่ลม สุดท้ายก็ต้องคืนไว้ให้แก่โลกดังเดิม ซึ่งน้ำในร่างกายนี้ ที่มีอยู่ประมาณ ๗๐ เปอร์เซนต์ก็เสียหาย เพราะไม่มีลมไหลเวียนได้ ส่วนไฟ ที่เผาผลาญร่างกาย เมตาบอลิซึ่ม ไฟกระวนกระวาย ก็พร่องเพราะไม่มีลมให้เป็นปกติได้ ส่วนดินนั้นเมื่อ เผาแล้วก็เป็นเถ้าถ่านไปเสียอีก ซึ่งชีวิตนี้เป็นเพียงการเติมเต็มธาตุ๔ ให้สมดุลเท่านั้น รวมไว้โดยอนุโลม ปฏิโลมในอาการ ๓๒ บุคคลใดรู้สึกตนเองเหมือนดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ซึ่งถูก ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างทิ้งใส่ แต่ก็ไม่หน่าย ไม่รังเกียจ, เหมือนผ้าเช็ดธุลีที่เช็ดของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ก็ไม่หน่าย ไม่รังเกียจ, เหมือนเด็กจัณฑาล ซึ่งเจียมตัวอยู่เสมอ เวลาเข้าไปสู่ที่ต่าง ๆ, เหมือนโคที่ถูกตัดเขา ฝึกหัดดีแล้ว ไม่ทำร้ายใคร ๆ, เบื่อหน่ายต่อกายนี้ เหมือน ชายหนุ่มหญิงสาวที่คล้องซากงูไว้ที่คอ,บริหารกายนี้ เหมือนคนแบกหม้อน้ำมันรั่วทะลุ มีน้ำมันไหลออกอยู่ จิตของบุคคลนั้นย่อมเป็นเหมือนแผ่นดิน .......................................................................................................................................................................................................................................................................................ปฏิฆะที่มีอยู่ในธรรมชาติและคงอยู่ทั้งตัวบุคคล แลตัวสัตว์ คือ สี เสียง กลิ่น รส การถูกต้องกาย การนึกคิดต่างๆ ตากระทบสี เกิดรูป รูปสวยเจริญตาเป็นความสุข ไม่เจริญตาเป็นความทุกข์ หูกระทบเสียงเกิดการได้ยิน มีสรรเสริญเยินยอ เสียงอันไพเราะ เกิดเป็นความสุข มีนินทาว่าร้าย เสียงที่ไม่ไพเราะ เกิดความทุกข์ จมูกกระทบกลิ่น อันหอม เป็นสุข กลิ่นเหม็นเป็นทุกข์ ต้องรับรส โดยชิวหาวิญญาณ เป็นตัวรู้อารมณ์ โดยพื้นฐานจากธรรมชาติ คือ เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม เท่านั้น หวานจะอยู่ปลายลิ้น ขมอยู่โคนลิ้น อย่างนี้ รสชาติ และอาจจะมีความรู้สึกเจ็บปวดหรือความรู้สึกระคายเคืองจากความเย็นหรือความเผ็ด รสชาติดีเป็นสุข รสชาติไม่อร่อยเป็นทุกข์ ส่วนกายนี้ ได้สัมผัสสิ่งที่พอใจ ลูบคลำ ถูกต้องตัว อากาศที่ไม่ร้อนไม่หนาว และการบริโภคกามคุณ ก็เกิดสุขและเคยชิน เอร็ดอร่อย ส่วนความไม่พอใจ ไม่ว่าเกิดจากการกระทบ ร้อน หนาว บาดแผลต่างร่างกายต่างๆ เป็นทุกข์ อีก ซึ่งเวทนานั้นเป็นของหลอกลวงอย่างนี้ อันเป็นของสักว่า ส่วนใจนั้นเป็นประธาน เป็นผู้สั่ง และเป็นผู้รับรสความเอร็ดอร่อยจากกามคุณทั้ง ๕ รู้ทุกข์ รู้สุข ยิ่งถ้าอยากหนีทุกข์ เพื่อจะไปหาความสุข ก็ย่อมเกิดทุกข์เพิ่มขึ้นทุกที พระพุทธองค์ ได้ตรัสเกี่ยวกับ พระนิพพาน ว่า ใครจะมีความสามารถ พรากสุข ออกจากทุกข์ได้ ถ้าหากเราพระตถาคต พรากสุขและทุกข์ ออกจากกันได้ เราจะปรารถนา เข้านิพพานทำไม เราจะถือเอาแต่สุขโดยส่วนเดียว และเสวยแต่ความสุขอยู่ในโลกนี้เท่านั้น ก็คงมีอันสุขสบายอยู่แล้ว นี้เพราะ หาเป็นเช่นนั้นไม่ เราจึงวางสุขเสีย ครั้นวางสุขแล้ว( ปล่อยวางสุขในโลกธรรม๘ ) ทุกข์ไม่ต้องวาง ก็หายไปเอง อยู่กับเราไม่ได้ เราจึงสำเร็จ "พระนิพพาน" ว่างเปล่าจากความหมายว่าตัวตน พ้นจากกองทุกข์ด้วยประการดังนี้ พระองค์ย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯua-cam.com/video/O0rF0RDxZfI/v-deo.html
ตามที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นคำสอนเปรียบเหมือนการเตรียมดินปลูกต้นจนต้นไม้โตแต่ยังไม่ได้ผลมาทานคือนิพพาน แต่ในคำสอนนี้เป็นคำสอนตีความทึ่สุดแห่งโลก โลกคือมีกายสังขารมีรูปเวทนาสังขารวิญญาณ ส่วนที่สุดของโลกคือนิพพาน เป็นคำสอนที่ละเอียดจากการปฎิบัติที่รู้ขึ้นเองอย่างละเอียดมาก จนได้นิพพาน ส่วนที่ท่านกล่าวมาสอนให้ปฎิบัติเพื่อบรรลุนิพพานเท่านั้น
ขอเติมเติมขอข้อตามที่ท่านกล่าวมาขอเพิ่มเติมคือได้ผลแล้วคือนิพพานพาน ส่วนคำสอนนี้ก็เป็นคำสอนให้ได้นิพพานเหมือนกันไม่ต่างกันคือได้นิพพานเหมือนกันแต่สอนแบบเข้าใจง่ายมากขึ้น
สาธุธรรม จิตบรรลุนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก: ua-cam.com/video/4IzBGwHclK8/v-deo.html
สาธุ สาธุ สาธุ...
สาธุค่ะ🙏
ผมว่าตอนท้ายๆท่านกล่าวคลุมเคลือไปนะเป็นเทศน์สมัยสิบกว่าปีก่อนหรือเปล่าผมรู้จักท่านสมัยสามสิบปีก่อนท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในกฏเกณฑ์ระเบียบต่างๆยิ่งนักถูกก็ดีผิดก็ชั่วกันไปเลยคนดีท่านก็เมตตาส่งเสริมแต่คนชั่วท่านก็เหมือนสาปส่งกันไปเลยท่านว่าการช่วยเหลือนักโทษให้พ้นโทษก็คือการช่วยเหลือคนผิดท่านถือว่าเป็นความผิด ผมว่าท่านยังมีปัญหาอยู่นะคำว่าอภัยทานหรือเมตตาธรรมในความหมายของพุทธแต่สมัยท้ายๆก่อนท่านจะสิ้นไม่รู้ว่าท่านผ่านจุดนี้หรือยังเพราะถ้ายังท่านจะปฏิบัติก้าวหน้าไม่ได้เลยแต่ถ้าท่านสำนึกเห็นตนอย่างแท้จริงก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยมันมีคนดีจำนวนมิใช่น้อยที่ท่านมีหน้าที่สามารถช่วยเหลือได้แต่ท่านได้เสือกไสความหวังและโอกาสของท่านเหล่านั้นไปเพียงเข้าใจว่าเขามีความผิดเป็นคนชั่ว.
ช่วยขยายเมตตาธรรมกับอภัยทาน ตามความเข้าใจของท่านครับ
กาคช่วยเหลือนักโทษให้พ้นผิดคือการช่วยเหลือคนผิด การอภัยทานเป็นการให้อภัยไม่จองเวรคนละประเด็นกัน ฟังคำสอนท่่านแล้วท่านบรรลุนิพพานแล้ว ตอนนี้กระดูกท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว
..................
ในน้อมกราบสาธุบริสุทธิ์ในน้อมกราบสาธุบริสุทธิ์ในน้อมกราบสาธุบริสุทธิ์ในน้อมอนุโมทนาสาธุบริสุทธิ์ด้วยเทอญก็ดีในคุณพระศรีพระรัตนตรัยบริสุทธิ์นี้ในสาธุในคุณแก้วสามประการบริสุทธิ์นี้ในสาธุในคุ้มครองบริสุทธิ์ทั้งปวงในปัจจุบันทั้งปวงในด้วยเทอญก็ดีในสาธุบริสุทธิ์ในสาธุบริสุทธิ์ในสาธุบริสุทธิ์
สาธุ...สาธุ....สาธุ
สาธุ สาธุ
weesit lodthong อ้นนำชีวิตมนุษหลุดพน้วัตตะสงสาร
กราบนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัยเปฺ็นที่พึ่งที่ระลึกถึงเป็นสรณอันเกษม
กราบนมัสการพระองค์ด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างสูงยิ่ง🙏🙏🙏
สาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุ
สาธุๆๆๆครับ
สาธุพุทโธนะมามิหัง
นานามีสุข
อริยะสงฆ์ ที่มีโอกาสได้รับฟังท่านเทศน์ สาธุ..สาธุ..
ตามฝันไกลแสงไกล
บรรลุนิพพาน อ.อริยเจ้า
ขอนอบน้อมกราบพระองค์ท่านครับสาธุ
คาวมฝันไกลแสงไกล
กราบสาธุเจ้าค่ะ
ธรรมะขั้นปรมัต
หาฟังได้ยาก
นิพพานคือความดับแห่งทุกข์สุดยอดทางพุทธศาสนา
จิตคือสุดยอดทางกายใจ...เมื่อมาพบกันก็คือวิมุตและปภัสสร...สาธุ
น้อมกราบสาธุในธรรมเจ้าค่ะ
สาธุธรรม น้อมกราบๆๆ นมัสการท่านสมเด็จพระญาณสั้งวรครับผม
สาธุ อนุโมทามิ
กราบบูชาสาธุครับ
🙏🙏🙏
กราบอนุโมทนา สาธุ ด้วยความเคารพ ทั้งกาย วาจา และใจ ค่ะ
ขอบคุณครับฯฯฯ
อนุโมทามิ ขอให้ผลแห่งบุญกุศลของการแสดงธรรมนำไปสู่นิพพาน
สาธุสาธุเจ้าค่ะ
ขอบคุณครับ
สาธุต่ะ
ผมขอสาธุสาธุสาธุครับ...
กราบสาธุ...
สาธุ.อนุโมทนา.บุญ..สาธุในธรรม.สาธุ
🙏🙏🙏สาธุ
กราบสาธุคับ
อนุโมทนาบุญ สาธุๆ
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุ สาธุ สาธุขอจิตบริสุทธิบรรลุพระนิพพานค่ะ
สาธุคะ
กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
ดีคะๆ สาธุ ๆ. นินพาน. เป็นสุข
สาธุสาธุสาธุ_ค่ะ🙏🙏🙏
ญาณนิพพาน @ พุทธะนิพพาน
กราบนมัสการสาธุๆพระคุณเจ้าสาธุๆเจ้าค่ะ
สาธุ
สาธูสาธูค่ะ
เสียงท่านเหมือน ร.9เลย
สาธุครับ
สภาวะแห่งการสิ้นไปของกิเลส----ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ( พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว )
..........................................ขอนอบน้อมแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส โดยนัยว่า เมื่อเห็นแก่ตัว ก็ไม่มีความเป็นปกติ(ศีล) ก็จะเพ่งสติระลึกถึงความไม่ใช่ตัวตนอยู่ทุกลมหายใจได้อย่างไร(สมาธิ) พึงปฏิบัติหน้าที่โดย การสลัดคืนลมหายใจหรือจิตใจนี้(อานาปานสติขั้นที่ ๑๖ ขั้นสุดท้าย) คืนให้เจ้าของเดิมคือธรรมชาติ ย่อมไม่ยึดมั่นว่าเป็นตัวตนได้เลย (ปัญญา) พร้อมเป็นปฏิเวธ ดังนี้
.......................................................................................................................................................................................................................................................................................อันว่า ร่างกายนี้ก็เป็นดั่งบ้านหรือไม้ผุๆสุดท้ายก็เป็นเถ้าถ่าน สลายไปตามกฎของธรรมชาติ ส่วนจิตนั้นที่อาศัยลมที่มีอยู่ก่อนแล้วของโลก ทำให้เกิดเป็นมนุษย์แลตัวสัตว์ ย่อมกลับไปสู่สามัญ เมื่อพิจารณาจากการยืนเดินนั่งนอน(นะมะพะทะทะพะมะนะ) การอาศัยลม เป็นตัวขับเคลื่อน โดยจิตเป็นผู้สั่ง เมื่อลมเข้า ลมออกหมด ร่างกายก็แตกสลาย จิตก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตหรือวิญญาณที่รับรู้อารมณ์ต่างๆเช่น สุข(บุญ)(โลภ)บ้าง ทุกข์(บาป)(โกรธ)บ้าง ก็เป็นเพียงแต่ลม สุดท้ายก็ต้องคืนไว้ให้แก่โลกดังเดิม ซึ่งน้ำในร่างกายนี้ ที่มีอยู่ประมาณ ๗๐ เปอร์เซนต์ก็เสียหาย เพราะไม่มีลมไหลเวียนได้ ส่วนไฟ ที่เผาผลาญร่างกาย เมตาบอลิซึ่ม ไฟกระวนกระวาย ก็พร่องเพราะไม่มีลมให้เป็นปกติได้ ส่วนดินนั้นเมื่อ เผาแล้วก็เป็นเถ้าถ่านไปเสียอีก ซึ่งชีวิตนี้เป็นเพียงการเติมเต็มธาตุ๔ ให้สมดุลเท่านั้น รวมไว้โดยอนุโลม ปฏิโลมในอาการ ๓๒ บุคคลใดรู้สึกตนเองเหมือนดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ซึ่งถูก ของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างทิ้งใส่ แต่ก็ไม่หน่าย ไม่รังเกียจ, เหมือนผ้าเช็ดธุลีที่เช็ดของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ก็ไม่หน่าย ไม่รังเกียจ, เหมือนเด็กจัณฑาล ซึ่งเจียมตัวอยู่เสมอ เวลาเข้าไปสู่ที่ต่าง ๆ, เหมือนโคที่ถูกตัดเขา ฝึกหัดดีแล้ว ไม่ทำร้ายใคร ๆ, เบื่อหน่ายต่อกายนี้ เหมือน ชายหนุ่มหญิงสาวที่คล้องซากงูไว้ที่คอ,บริหารกายนี้ เหมือนคนแบกหม้อน้ำมันรั่วทะลุ มีน้ำมันไหลออกอยู่ จิตของบุคคลนั้นย่อมเป็นเหมือนแผ่นดิน .......................................................................................................................................................................................................................................................................................
ปฏิฆะที่มีอยู่ในธรรมชาติและคงอยู่ทั้งตัวบุคคล แลตัวสัตว์ คือ สี เสียง กลิ่น รส การถูกต้องกาย การนึกคิดต่างๆ ตากระทบสี เกิดรูป รูปสวยเจริญตาเป็นความสุข ไม่เจริญตาเป็นความทุกข์ หูกระทบเสียงเกิดการได้ยิน มีสรรเสริญเยินยอ เสียงอันไพเราะ เกิดเป็นความสุข มีนินทาว่าร้าย เสียงที่ไม่ไพเราะ เกิดความทุกข์ จมูกกระทบกลิ่น อันหอม เป็นสุข กลิ่นเหม็นเป็นทุกข์ ต้องรับรส โดยชิวหาวิญญาณ เป็นตัวรู้อารมณ์ โดยพื้นฐานจากธรรมชาติ คือ เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม เท่านั้น หวานจะอยู่ปลายลิ้น ขมอยู่โคนลิ้น อย่างนี้ รสชาติ และอาจจะมีความรู้สึกเจ็บปวดหรือความรู้สึกระคายเคืองจากความเย็นหรือความเผ็ด รสชาติดีเป็นสุข รสชาติไม่อร่อยเป็นทุกข์ ส่วนกายนี้ ได้สัมผัสสิ่งที่พอใจ ลูบคลำ ถูกต้องตัว อากาศที่ไม่ร้อนไม่หนาว และการบริโภคกามคุณ ก็เกิดสุขและเคยชิน เอร็ดอร่อย ส่วนความไม่พอใจ ไม่ว่าเกิดจากการกระทบ ร้อน หนาว บาดแผลต่างร่างกายต่างๆ เป็นทุกข์ อีก ซึ่งเวทนานั้นเป็นของหลอกลวงอย่างนี้ อันเป็นของสักว่า ส่วนใจนั้นเป็นประธาน เป็นผู้สั่ง และเป็นผู้รับรสความเอร็ดอร่อยจากกามคุณทั้ง ๕ รู้ทุกข์ รู้สุข ยิ่งถ้าอยากหนีทุกข์ เพื่อจะไปหาความสุข ก็ย่อมเกิดทุกข์เพิ่มขึ้นทุกที พระพุทธองค์ ได้ตรัสเกี่ยวกับ พระนิพพาน ว่า ใครจะมีความสามารถ พรากสุข ออกจากทุกข์ได้ ถ้าหากเราพระตถาคต พรากสุขและทุกข์ ออกจากกันได้ เราจะปรารถนา เข้านิพพานทำไม เราจะถือเอาแต่สุขโดยส่วนเดียว และเสวยแต่ความสุขอยู่ในโลกนี้เท่านั้น ก็คงมีอันสุขสบายอยู่แล้ว นี้เพราะ หาเป็นเช่นนั้นไม่ เราจึงวางสุขเสีย ครั้นวางสุขแล้ว( ปล่อยวางสุขในโลกธรรม๘ ) ทุกข์ไม่ต้องวาง ก็หายไปเอง อยู่กับเราไม่ได้ เราจึงสำเร็จ "พระนิพพาน" ว่างเปล่าจากความหมายว่าตัวตน พ้นจากกองทุกข์ด้วยประการดังนี้ พระองค์ย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ua-cam.com/video/O0rF0RDxZfI/v-deo.html
ตามที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นคำสอนเปรียบเหมือนการเตรียมดินปลูกต้นจนต้นไม้โตแต่ยังไม่ได้ผลมาทานคือนิพพาน แต่ในคำสอนนี้เป็นคำสอนตีความทึ่สุดแห่งโลก โลกคือมีกายสังขารมีรูปเวทนาสังขารวิญญาณ ส่วนที่สุดของโลกคือนิพพาน เป็นคำสอนที่ละเอียดจากการปฎิบัติที่รู้ขึ้นเองอย่างละเอียดมาก จนได้นิพพาน ส่วนที่ท่านกล่าวมาสอนให้ปฎิบัติเพื่อบรรลุนิพพานเท่านั้น
ขอเติมเติมขอข้อตามที่ท่านกล่าวมาขอเพิ่มเติมคือได้ผลแล้วคือนิพพานพาน ส่วนคำสอนนี้ก็เป็นคำสอนให้ได้นิพพานเหมือนกันไม่ต่างกันคือได้นิพพานเหมือนกันแต่สอนแบบเข้าใจง่ายมากขึ้น
สาธุธรรม จิตบรรลุนิพพาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก: ua-cam.com/video/4IzBGwHclK8/v-deo.html
สาธุ สาธุ สาธุ...
สาธุค่ะ🙏
ผมว่าตอนท้ายๆท่านกล่าวคลุมเคลือไปนะเป็นเทศน์สมัยสิบกว่าปีก่อนหรือเปล่าผมรู้จักท่านสมัยสามสิบปีก่อนท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในกฏเกณฑ์ระเบียบต่างๆยิ่งนักถูกก็ดีผิดก็ชั่วกันไปเลยคนดีท่านก็เมตตาส่งเสริมแต่คนชั่วท่านก็เหมือนสาปส่งกันไปเลยท่านว่าการช่วยเหลือนักโทษให้พ้นโทษก็คือการช่วยเหลือคนผิดท่านถือว่าเป็นความผิด ผมว่าท่านยังมีปัญหาอยู่นะคำว่าอภัยทานหรือเมตตาธรรมในความหมายของพุทธแต่สมัยท้ายๆก่อนท่านจะสิ้นไม่รู้ว่าท่านผ่านจุดนี้หรือยังเพราะถ้ายังท่านจะปฏิบัติก้าวหน้าไม่ได้เลยแต่ถ้าท่านสำนึกเห็นตนอย่างแท้จริงก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยมันมีคนดีจำนวนมิใช่น้อยที่ท่านมีหน้าที่สามารถช่วยเหลือได้แต่ท่านได้เสือกไสความหวังและโอกาสของท่านเหล่านั้นไปเพียงเข้าใจว่าเขามีความผิดเป็นคนชั่ว.
ช่วยขยายเมตตาธรรมกับอภัยทาน ตามความเข้าใจของท่านครับ
กาคช่วยเหลือนักโทษให้พ้นผิดคือการช่วยเหลือคนผิด การอภัยทานเป็นการให้อภัยไม่จองเวรคนละประเด็นกัน ฟังคำสอนท่่านแล้วท่านบรรลุนิพพานแล้ว ตอนนี้กระดูกท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว
..................
ในน้อมกราบสาธุบริสุทธิ์ในน้อมกราบสาธุบริสุทธิ์ในน้อมกราบสาธุบริสุทธิ์ในน้อมอนุโมทนาสาธุบริสุทธิ์ด้วยเทอญก็ดีในคุณพระศรีพระรัตนตรัยบริสุทธิ์นี้ในสาธุในคุณแก้วสามประการบริสุทธิ์นี้ในสาธุในคุ้มครองบริสุทธิ์ทั้งปวงในปัจจุบันทั้งปวงในด้วยเทอญก็ดีในสาธุบริสุทธิ์ในสาธุบริสุทธิ์ในสาธุบริสุทธิ์
สาธุ...สาธุ....สาธุ
สาธุ
สาธุคะ
สาธุ สาธุ
weesit lodthong อ้นนำชีวิตมนุษหลุดพน้วัตตะสงสาร
กราบนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัยเปฺ็นที่พึ่งที่ระลึกถึงเป็นสรณอันเกษม
สาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุ
สาธุ
กราบนมัสการพระองค์ด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างสูงยิ่ง🙏🙏🙏
สาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุ
สาธุๆๆๆครับ