Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
เมื่อคนเข้าใจธรรมนะการเกิดใหม่มีจริงหรือไม่จริงไม่สำคัญแค่ใจเราสงบสุขคือนิพพานแต่หากยังไม่เข้าใจธรรมนะการรู้เวียนว่ายมันสำคัญมันถึงจะทำให้คุณเข้าใจในเหตุในผลและความเข้าใจในธรรม
คนทำคลิปนี้ เป็นคนมุสลิม นับถือ อิสลาม ขบวนการต่างๆ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ศาสนาพุทธ ไม่ตั้งคำถามแบบไอ้คนนี้หรอก
เพื่ออะไรคุณก็ยังหาไม่เจอ เอาแบบคงเป็นคนดีย์
ใจสงบเป็น สิ่งดี การเข้าใจธรรมะ ถ้าคิดว่า เข้าใจ อย่างน้อยก็เป็น แนวทางที่ดี... แต่นิพพาน ไม่ง่ายแบบนั้น...
คนที่ไม่เชื่อใน วัฏสงสาร ในทางพุทธ เรียกว่า "อุจเฉททิฏฐิ (สูญ)" ซึ่งตรงข้ามกับ "สัตตทิฏฐิ((เที่ยง)" ซึ่งทั้ง 2 แบบคือ "มิจฉาทิฐิ(ความเห็นผิด)" ซึ่งในทางพุทธ เห็นว่าเป้นความเห็นผิดทั้งคู่ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น จริงปัจจุบันผมก็เชื่อในแนว "อุจเฉททิฏฐิ (สูญ)" อยู่ ลองไปหาข้อมูลมา เค้าบอกว่าความเชื่อแบบนี้ เป็นอันตราย และอาจทำให้คนห่างจากการทำดี และ ไม่กลัวความชั่ว เพราะคิดว่าไม่มีจริง เวลาพูดถึงเรื่องนี้ มักจะถูกถามกลับมาเสมอว่า ถ้าไม่เชื่อเรื่อง วัฏสงสาร การเกิดใหม่แล้ว จะทำความดีไปทำไม และกรรมจะไปชดใช้ที่ไหน ส่วนตัวผมก็ตอนนี้ไม่เชื่อเรื่องการเกิดใหม่ นรกสวรรค์ และการเวียนมาเกิดใหม่ เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ผมเชื่อในกรรม (การกระทำ) กรรมดี > ผลดี กรรมชั่ว > ผลชั่ว และรับผลจากการกระทำนั้น ทอดใข่ย่อมได้ไข่ทอด ต้มใข่ย่อมได้ไข่ต้ม ผิดถูกสัตว์โลกย่อมรู้ แม้แต่หมาแมว ทำผิดมันก็ยังรู้ ตอนนี้ผมเลยไม่รู้ตัวเลยว่า คำจำกัดความ จะยังอยู่ในกลุ่ม "อุจเฉททิฏฐิ" ด้วยรึเปล่า
@@rockaunrockneverdie7830ท่านผู้เจริญทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยตนของท่านผู้เจริญเองด้วยการเพียรภาวนาไปให้ถึงโสดาบัน แล้วจะเกิดการเห็นแจ้ง แต่สำหรับผู้ที่มีความจำมากเรียนมากโสดาบันจึงเป็นเรื่องยาก ทั้งที่ง่ายนิดเดียวเพื่อเป็นธรรมทาน อ่านแล้วห้ามจำโดยเด็ดขาด อนุโมทนาในการสร้างเหตุอันเป็น
ดีมากอย่างน้อย น่าจะทำให้หลายคนพอเห็นแสงรำไรได้บ้าง แต่ก็ยากมากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ ข้าพเจ้าเองไม่คิดที่จะอธิบายให้ผู้อื่นเลยเพราะมันยากมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์การปฏิบัติมันหาภาษามาใช้ให้ถูกต้องตรงกับสิ่งที่ประสบนั้นไม่มี แต่ท่านมีความสามารถมากที่ใช้คำพอทำให้ผู้อื่นน่าจะเข้าใจ แต่ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติด้วยตนเองเลยก็อาจจะไม่เข้าใจ ดีมากและขอบคุณในความพยายามแจกของส่องตะเกียง ได้ส่งต่อไปให้หลายคนแต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะเข้าใจไหม เพราะการอธิบายเรื่องนี้ยากมาก อนุโมทนาสาธุ
พระพุทธเจ้าถึงให้ใช้แต่คำพระพุทธเจ้าสอนกัน ไม่ให้ใช้คำสาวก ถ้าสาวกพูดคำพระพุทธเจ้านั่น ไม่ใช่คำสาวก แต่คือคำพระพุทธเจ้า
สุดท้ายแล้ว พระพุทธเจ้าคือผู้รู้เกี่ยวกับการทำงานของจิต สถานะของจิตที่แท้จริงคือนิพพาน แต่ถูกครอบงำด้วยกิเลส ตัณหา ทำให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในสถานะต่างๆ การที่จิตจะกลับไปสถานะเดิมได้ ต้องใช้เส้นทางการพัฒนาจิตตามพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีการ รูปแบบ หลักการ ที่เรียกว่ากรรมดี หากจิตสงบด้วยกระบวนการฝึกฝนด้วยระยะเวลา และเคยชิน จะเกิดปัญญา เข้าใจหลักธรรมชาติ จนจิตเกิดการปล่อยวาง ยึดติด รัก โลภ โกธร หลง จนหลุดสังโยชน์ 10 นี้คือที่สุดแล้วครับ ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วครับ ที่นี้จิตจะเป็นอิสระจากทุกอย่าง และจะรู้อะไรก็ได้ในโลกจักรวาลนี้ #แต่เส้นทางจะไป มันยากก็ว่ายาก ง่ายก็ว่าง่าย อยู่ที่ใครจะทำได้ เพราะจิตมันเคยชินกับกิเลสมาหลายภพ หลายชาติแล้วครับ #พระพุทธเจ้า มาชี้ทางที่ทำยังไงไม่ต้อง เกิด ตายอีก เหมือนพระพุทธองค์🎉🎉🎉
สาธุๆ😊😊
กิเลส ตัณหา ราคะ คือสิ่งที่บางศาสนายกให้เป็นของขวัญจากพระเจ้า
พี่ว่าพระพุทธเจ้า ตรัสรู้อะไร หลักธรรมชาติ และ จักรวาล หรือคับเปล่าเลย ท่านบอกเสมอผู้ที่ดำรงค์ตนในฐานะ สงฆ์ ของศาสนาพุทธ จะต้องไม่อวดอ้างคุณวิเศษที่เกินคนปรกติ หากกระทำย่อมให้ขาดจากการเป็นสงฆ์ ทันที แล้วพระพุทธเจ้าจะพูดอะไรที่เกินจะเชื่อได้อย่างไร การปรุงแต่งจนเราๆลืมหัวใจของพระธรรมไปหมด
@@tanapuntamoar458 ตามพระสูตร ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้ปูพื้นก่อน โดยแบ่งเป็น 3 ญาณ ญาณที่1.พระพุทธเจ้าระลึกย้อนชาติปรางก่อนหลายภพ ทำให้เห็นถึงอดีตของสรรพสัตว์ที่ผ่านมา ทำให้มีความเชื่อว่าภพชาติมีจริง แต่อย่าไปยุ่งมัน เพราะไม่มีประโยชน์ญาณที่ 2 การจุติ คือการเคลื่อนจากภพปัจจุบันไปในภพชาติต่อไป ด้วยแรงขับเคลื่อนของกรรม ทำให้เห็นว่า อนาคตยังไม่เกิด และทำให้เห็นว่าเป็นของมีจริง ญาณที่ 3 ความรู้ที่ทำให้กิเลสที่หมักหม่มในจิตใจหายไป วิธีการขจัดให้หายไป ทำให้เห็นว่า ปัจจุบันเท้านั้นที่เราจะสามารถพัฒนาจิตได้ จนนำไปสู่การหลุดพ้น จนเข้าสู่นิพพาน *พระพุทธเจ้าสามารถเห็น และจำแนก ด้วยปัญญา คือการยึดขัน 5 หากทั้ง 4 ขัน หมดไป จิตหรือวิญญาณ 1 ใน 5 ก็จะหลุดพ้น เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เสร็จ ท่านมองว่าเป็นสิ่งที่ยากมาก ที่คนธรรมดาจะเข้าใจ จนนำมาสู่การย่อให้เข้าใจง่ายสุด คือ อริยสัจ 4 *ที่คอมเม้นข้างต้น ไม่ได้หมายถึงสงฆ์ หมายถึงหลักการทำงานของจิตสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่าย ตายเกิด ความหมายถึง เมื่อไม่ว่าใครที่หลุดพ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นสงฆ์ แต่คำว่านิพพานใช้กับสงฆ์ คนธรรมดาก็ใช้คำว่า ไม่เกิดอีก หลุดพ้นย่อมได้ครับ มีอะไรถามได้ ผมตอบได้ตามหลักพระสูตร แบบย่อ กระชับและให้เข้าใจง่ายที่สุด
คำตอบสุดท้ายก็ คือ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดหมั่น(พุทธพจน์)
สัพเพธัมมา อนัตตา
ธรรมทั้งปวงที่ว่า คือ รูปธรรมและนามธรรม😊😊😊
ยึดมั่น ถือมั่น เมื่อใด อัตตา ตัวตน เกิดขึ้นเมื่อนั้น เมื่อมีอัตตา ตัวตนเกิดขึ้นเมื่อใด กรรม(กุศล/อกุศล)เกิดขึ้นเมื่อนั้น
ว้าว แต่ละเม้นท์ แตกฉานในธรรม ทุกคนเลย 👍☺️❤🙏
ดีใจที่ได้ฟังวีดีโอนี้ครับผมเชื่อว่าที่เค้าบอกว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้แค่ 5,000 ปีไม่ใช่เพราะพระพุทธศาสนาหมดไปเพราะโลกจะมีแต่สิ่งเลวร้ายหรอกแต่เพราะโลกเหลือแต่คนดี ที่มีแต่หลักธรรมอยู่ในเนื้อเดียวกับการดำรงชีวิตมนุษย์โลก จึงไม่จำเป็นต้องใช้ศาสนาเข้ายึดเหนี่ยวจิตใจอย่างเช่น นิพพานก็มีอยู่แล้วไม่ได้หายไปไหนอีก 2,500 ปีข้างหน้า ศาสนาก็มีอยู่แล้วไม่ได้หายไปไหนเช่นกัน
3 สิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในโลกที่พระตถาคตตรัสไว้คือ1 การเกิดของพระพุทธเจ้า2 การเกิดเป็นมนุษย์3 พระสัทธรรมจะแผ่ไปทั่วโลกธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นจะสวนทางกันทางโลก
รู้ได้ไงครับในเมื่อมันมายังไม่ถึง
เขานี่ใครครับ ? พระพุทธเจ้า หรือ ปุถุชน ?ฟังคลิปแล้วใคร่ครวญให้ดีๆนะครับ อย่า bias เลย”สิ่งใดเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา“นี่คือสิ่งที่พระศาสดาสอนไว้ คุณควรใคร่ครวญให้ดีๆกับสิ่งที่คุณพิมพ์คอมเม้นลงไป ด้วยความหวังดีนะครับ
ครบ5000 สัตว์นรกที่อยู่ในนรกเขาจะหมดกรรมที่ต้องชดไช้ในนรก เขาจะขึ้นมาเกิด คราวนี้ละมันจะวุ่นวาย และหลังจากพวกสัตว์นรกกลับไปสู่ที่ๆมันมาโลกก็เริ่มรู้จักรักษาศีล จนอายุมนุษย์เพิ่มไปถึง100000ปีและลดมา80000ปี พระศรีอาริย์จะมาเกิด
ไม่น่าใช่แบบนี้นะครับ พุทธวจน ศาสดาของเราไม่ได้ตรัสเอาไว้แบบนี้ ลองไปศึกษาดูครับ
ผมงงในศาสนาพุทธที่ว่านรกสวรรค์ ทำไมต้องไป แล้วทั้ง2สถานที่นั้นมันมาจากไหน มันมาจากสิ่งที่เราได้ทำแล้วตายไปก็ได้สิ่งนั้นหรอ สถานที่ทั้ง2เกิดจากการสร้าง สมมุติขึ้นในหัวของเราหรอหรือตามอารมณ์ของเราหรอหรือตามการกระทำของเราหรอ ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรน่ะ และอีกอย่าถ้าได้รับสิ่งสิ่งจากสิ่งที่ทำก็ต้องได้รับความผิดประเภทนั้นบนโลกแล้ว เช่น ลักขโมยต้องอะไร ผิดลูกผิดเมียต้องโดนอะไรใครเป็นคนกำหนดให้ปีนต้นงิ้วใครกำหนดให้โดรน้ำมันดูเฉพาะเจาะจงน่ะ ถ้าไม่เฉพาะเจาะจงมันไม่ควรไม่ได้ปีนต้นงิ้วหรอกควรไปโดนอย่างมากกว่าและไม่ตายตัวให้จำเป็นต้องปีนต้นงิ้วน่ะครับ
การตรัสรู้ต้องตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเองเท่านั้น พอจิตมันเกิดหลายภพหลายชาติ ผ่านดีผ่านเลวเกิดเป็นคนบ้างเป็นสัตว์บ้าง วิวัฒนาการจิตมันจะซึมซับเรียนรู้ในการแก้ไข พอถึงจุดอิ่มตัวมันจะระเบิดเรียกว่าซุปเปอร์โนว่า หลุดจากวงโคจรของมิตินี้ กลายสภาพเป็นอย่างอื่นเช่นนิพพาน แต่นิพพานของแต่ละดวงจิตอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ นิพพานอาจจะมีลักษณะเป็นเซิฟเวอร์ที่ควบคุมมิติของจักรวาลก็ได้ จิตที่เป็นนิพพานอาจจะแทรกซึมไปทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลของตัวเอง จักรวาลอาจจะมีหลายจักรวาล และมิติเชิงซ้อนเช่นภพภูมินรกสวรรค์อาจจะเป็นการไปเกิดใหม่ของจิตก็ได้
เวียนว่ายตายเกิด คือ ธรรมชาติ ไม่ได้หมายความว่าเราจะมาเกิดใหม่ แต่คือ ความสุขความทุกข์ที่เกิดดับตลอดเวลา สุดท้ายก็คือ นิพพาน
ผมขอชื่นชมและอนุโมทนาบุญด้วยครับ คนที่จะบรรยายเรื่องนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งหรือชัดเจนไม่สามารถอธิบายได้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นนักย่อความจริงก็ไม่สามารถพูดได้อย่างง่ายดายฟังแล้วรู้เลยว่าคนที่เล่ามีความศรัทธาและเข้าใจในคำของพระพุทธเจ้าพอแระมาณ มันต่างกับหมอลำที่ท่องบทที่แสดงเรื่องของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง
ลองศึกษา พุทธวจน เพิ่มดูครับ ในคริปยังมีบางอย่างที่เป็นคำแต่งใหม่อยู่ หากมีคำแต่งใหม่ จะทำให้คำสอนไม่สอดคล้องกัน แต่เป็นคลิปที่ดีมากๆครับ
(1)แสง (2)เงา (3)ความโน้มถ่วงมาร์คขอนำวิทยาศาสตร์เข้ามาเพื่อให้เข้าใจวัฏจักร:เนื่องด้วยมีความสอดคล้อง
โมทนา ขอให้ทำต่อๆไป มันวนอยู่ รอบๆตัวเราทั้งหมด เลย เมื่อได้ สดับ แต่ละคนจะเห็นไม่เหมือน กัน มันเป็นปัจจัตตัง ที่สำคัญอินทรีย์แก่ อ่อน แต่นี่คือ ธรรมทาน ที่สามรถดึงจิตผู้ฟัง ให้หันมา ฟังคำพูดและ เสียง ของโลกธรรม เพราะมันอยู่ในตัวของเราทุกคนทุกท่าน อนุโมทนา
ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ศีลห้าระลึกไว้
ศีล + สมาธิ + ปัญญา + ภาวนา
ศีล 20 ไม่มีหรอครับ😂
แม้แต่พุทธสาวกที่ไปถึงก็มีน้อย
ศีลมีหลายระดับตามความพร้อมครับศีลห้าสำหรับชาวบ้านแบบเราส่วนศีลแปดศีลศีลสิบศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดก็สำหรับเณรแม่ชีและพระครับแค่ศีลห้าก็นำคนขึ้นสวรรค์แล้วถ้าเราปฏิบัติจริงครอบครัวตัวเรามีความสุขครับ@@สายฟ้า-thunder
@@Mมนตรีขออนุญาตถามพวกมด ยุง แมลง พวกนี้ฆ่าแล้วต้องบาปหรอ สมมุติเป็นไข้เลือดออกตายคือต้องไปเอาเรื่องกับใคร
ธรรมชาติไม่เคยสนใจในมนุษย์ แต่มนุษย์นั้นมักจะโทษธรรมชาติ*ความทุกข์นั้นเกิดจากความไม่รู้ และหากรู้แล้วว่าทุกข์เกิดจากอะไร? แต่ก็ยังดื้อที่จะทำเช่นเดิมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เยี่ยม
ภพชาติมีจริงครับ
ใช่ครับ
ท่านผู้นี้อธิบายดีแท้สาธุสาธุสาธุหากตั้งใจฟังแบบไม่มีทิถิจะได้เห็นธรรมะเลยดีจริงการเกิดก็เหมือนเรายากกินข้าวแม้วันนี้เราจะอิ่มวันหลังมันก็เกิดความหิวอีกความเข้าใจในธรรมะก็เหมือนการขับรถเป็นไม่ได้มีไครเอาความขับรถเป็นมาให้เราตัวเราที่หัดขับนั้นละขับเป็นเอง การขับรถเป็นมันก็มีอยู่ของมันอย่างนั้นไม่มีไครสร้างแต่ความเข้าใจของเรานั้นละทำให้เราขับเป็นแบบหมดจดอีกมากมายที่ผมไม่อาจจะพูดได้แค่เม้นเดียวนี้
ยินดี ที่ได้เจอคุณ คุณคือ" ผู้ส่งข้อความ"
สำหรับผม*กรรม คือการคิด พูด ทำ*ชาติ คือ เหตุการ ณ ช่วงๆนึง*การเกิด คือ การที่มีองประกอบขัน 5 ถ้าเห็นแค่ภาพ แต่ไม่เชื่อมโยง ก้ไม่ถือว่าเกิด และการเกิดมีความสั้นยาวไม่เท่ากัน 1 วันอาจจะเกิดและดับได้หลายรอบ*กลับชาติมาเกิด คือ การเกิดที่มีการเชื่อมโยงกับชาติใดชาตินึง เช่นเคยเลิกกับแฟนคนนี้เพราะแฟนมีชู้ ผ่านมา 1 หมื่นชาติ มาเจอแฟน ก็จะเกิดภาพ จำได้ อารมจะตามมา ทำให้องประกอบมีครบของการเกิด ทุกๆอย่างจะมูฟมาที่ชาตินี้ ถ้ากรรมมีความชัดเจนก็จะยิ่งส่งผลให้เราทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบสนองกรรมเก่า *การระลึกชาติ จะมีองประกอบของขัน 5 อย่างน้อย มีภาพ ความเชื่อมโยงภาพ และอารม ให้สังเกตุว่า ในฝันก็สามารถมีองประกอบเหล่านี้ เพียงแต่มันขาด การรับรู้จริง คือขาดแค่วิญญาณ ถ้าตามหลักแล้ว ฝันจึงยังไม่ใช่การเกิด*การเกิดบนสวรรค์ จากข้อการระลึกชาติ เป็นไปได้ที่การไปเกิดบนสวรรค์หรือนรก คือความฝัน ที่ไม่ต้องมีกายหยาบ และมันคือการชำระ ปัจจุบันนักวิทย์มองว่าฝันคือการกรองข้อมูล เพราะงั้นบางชาติในวันนั้น อาจจะมีการกรองทิ้ง และ เก็บถาวร ในการเรียบเรียงใหม่นี้ ถ้าเราทำเรื่องเลวร้ายไว้ และได้เดิฝันร้าย นั่นหมายความว่ากรรมนั้น อาจจะตามเราไปตลอดจะตาย ชั้นนี้เป็นชั้นที่น่ากลัวมากเพราะเหมือนการพิพากษาว่าชาติต่อไปเราจะเป็นยังไง มันจะส่งผลอยู่เรื่อยๆ เรื่องในหัวเราที่ระลึกได้ อาจจะไม่ได้จริงตลอด มันคือการเติมแต่งจนฝังเข้าไปในจิตสำนึก และไม่มีใครที่จะเอามันออกไปได้ *กรรมบางอย่างเมื่อถึง จุดๆนึง มันจะหายไป เหมือนคำที่ว่าก้มหน้ายอมรับ เหมือนเราจำได้ว่าเราเจ็บปวดเหตุการณ์นี้มาก เมื่อเกิดขึ้นเราก็จะเจ็บปวด แต่เมื่อเรายอมรับอย่างสุดซึ้งวันนึงเราจะรู้ว่าตอนนั้นเจ็บปวด แต่เจ็บปวดยังไงมันกลับไม่ส่งผลต่อเราแล้ว มันเหมือนเป็นแค่คำๆนึงที่เขียนว่าเจ็บปวดแต่ไม่สามารถไปรับรู้ได้ วันนึงมันจะหายไป *เมื่อเรารู้ว่าทุกครั้งที่เกิดมันจะมีความทุกข์เสมอ เราก็แค่หาทางไม่เกิด แต่ถ้าไม่มีการฝึก ยังไงมันก็จะต้องเกิด ถ้าคนฝึกหนักการเกิดนั้นจะสั้นลง แทนที่จะเกิด 20 นาที เป็นเกิดแค่ 1 นาที เพราะเราไปเห็นการเกิด สำหรับผมการไม่เกิดนั้น ยากขั้นเป็นไปไม่ได้ แต่การเกิด ดับ สั้นลงยังคงทำได้อยู่ แต่ไม่ได้ฝึกแบบเคร่งครัด สติจึงไม่ได้มีอยู่ตลอด คนที่ฝึกรู้ สติ คงเข้าใจ คนรู้มาก ฉลาด ไม่มีสติควบคุมก็เหมือนกับ Auto pilot*คำถามทุกครั้งในหัวผม ถ้าไม่เกิด แล้วจะเอาอะไรกิน คำถามนี้เป็นตัวบงชี้ว่า ผมยังยึดติดมากๆ ง่ายๆที่เป็นแบบนี้เพราะ เราไม่สามารถรู้แจ้งได้ เราถึงออกจากคำถามพวกนี้ไม่ได้ ปล. เราแค่ตั้งสมมุติฐานนะ ทุกอย่างเพื่อเชื่อมโยงคำสอนที่เป็นไปได้ อยากจะได้รู้จริงเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้คำภีมันก็โดนแก้ไปเยอะจนไม่รู้จะเชื่ออะไรดี พยายามฟังเยอะๆ เข้าไปโหลดพระไตปิฎกมาก็อ่านไม่ออก ถึงอ่านออกก็ไม่รู้เชื่อได้แค่ไหน ตามที่พระพุธองค์สอนไว้อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลอง แต่พอลองแล้วก็ดันเจอเรื่องประหลาดอีก เห็นแสงตอนนั่งสมาธิ (ไม่ใช่ภาพขาวๆนะ แต่มันเป็นแสงเหมือนสป็อตไลสาดเข้าหน้าอ่ะ จ้ามาเป็นริ้วแสงเลย ไม่ใช่จ้าอยู่แล้วนะ แต่มันเหมือนช่วงเปิดสาดใส่หน้าเรา) ร่างกายยืดหดเป็นเยลลี่ บางคนก็บอกว่านั่นเป็นพฤติกรรมของสมองตอนเริ่มจะเข้าเป็นฝัน แต่ผมก็ไม่ทิ้งทั้ง 2 แนวทางนะ เพราะเชื่อว่า ที่มันไม่ธรรมดาเพราะเราไม่รู้
ขออนุญาติแชร์... เป็นการเรียบเรียงมานำเสนอที่ดีมาก ชอบๆๆ ฟังเข้าใจง่ายที่ชอบที่สุดคือ การวางตัวไม่ได้เป็นผู้รู้มาก มาอวดตัว ยังกะ พระสาลีบุตรมาบรรลือสีหนาท อยู่ตรงนี้เลย
ขอบคุณครับ เป็นการตีความที่เข้าใจง่ายดี
อันที่ แกว่า ดับตัวอวิชชา นั่นน่ะ ถูกต้อง แต่ ที่แกว่า เจาะจิตไปจัดการอวิชชาให้น่ะ มันทำไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทำแบบนั้นให้ใคร ท่านสอนให้แต่ละคนทำเอง และ ไม่ใช่แค่ชาติสองชาติ อย่างพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญมา ยี่สิบอโสงไขแสนกัป อันนี้อะไร ครึ่งชั่วโมงจากคนธรรมดาโดดไปอรหันต์😅
ขอถามครับ 20 อโสงไข คือเวลากี่ปี และหากมันนานขนาดนั้น ตอนที่โลกยังไม่กำเนิด หรือแม้แต่จักรวาลนี้ยังไม่กำเนิด พระพุทธเจ้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนครับ หรือว่าไปอยู่อีกจักรวาลหนึ่ง หรืออีกมัลติเวิสหนึ่ง
@@moos81 4 อโสงไขย โลกแตกดับหนึ่งรอบ ระยะก่อตัว ระยะตั้งอยู่ ระยะกำลังแตก ระยะแตกอยู่ วนไป ระยะกำลังก่อตัว … ลองไปอ่านเพิ่มในพระไตรปิฏก ถามแบบนี้แสดงว่ายังไม่ได้ศึกษา พิมพ์ “ 84000 อสงไขย ” ศึกษาซะก่อน คำตอบมีในนั้น อยู่แล้ว
ผมว่าจักรวาลกว้างใหญ่ และล้ำลึกเกินกว่าที่เราจะจินตนาการ
คำว่าอสงไขย ถ้าเทียบกับคณิตศาสตร์ก็คือ เทคลิมิตเข้าสู้อินฟินิตี้ ความหมายของมันก็คือมากมายประมาณมิได้ผมคิดว่าอย่าไปสนในตัวเลขที่เขายกมาอ้างอิง เพราะแต่ละตำราก็ไม่ตรงกันเท่าไหร่ ไอที่ลูบภูเขาบ้าง นับเมล็ดผักกาดบ้าง นับหยดน้ำบ้าง คิดซะว่ามันคือการยกตัวอย่างให้ดูมากประมาณมิได้สิ่งที่คุณต้องการรู้คือเวลามากกว่า1อสงไขยปี ในคำอธิยายอรรถกถา ก็คือจำนวนปีอายุชีวิตของมนุษย์เริ่ม1แสนปีทุกร้อยปีอายุชีวิตจะสั้นลง1ปีจนถึงเหลือ10ปีแล้วก็จะเพิ่มเป็น1แสนปี รอบวงจรนี้เรียกว่า อสงไขยปี ก็เปรียบดังชั่วงเวลาของของสายพันธุ์ทรงภูมิปัญญาสายพันธุ์หนึ่งที่ดำรงอยู่จนไปถึงระดับอารยธรรมประเภท3หรือ4(Kardashev Scale)อายุเป็นแสนปีต้องมีวิทยาการสูงมากเพื่อยืดชีวิตได้ระดับนั้น ผมคิดว่านีคือ1อสงไขยปี1อสงไขยปี = อันตรกัปล์อันตรกัปล์ก็คือ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดของมหากระจุกกาแล็คซี่(ต้องมีกาแล็คซี่ระดับแสนแห่งในกระจุก)256 อันตรกัปล์ = 1มหากัปล์ หรือที่เรียกว่า กัปล์เฉยๆ ตามเขาเรียกกันก็เทียบง่ายๆเลยคือ1รอบของจักรวาล ตั้งแต่ บิ๊กแบงจนจบ บิ๊กคลั๊นช์อีกข้อ มนุษย์ในทางพุทธ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะ โฮโมซาเปี้ยน สปีชีส์เดียวนะ ต้องนับเผ่าพันธุ์สรงภูมิปัญญาทั้งหมดสามารถเรียกว่ามนุษย์ได้พระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมี 20อสงไขย 1แสนกัปล์ 1แสนกัปล์ก็จักรวาลเกิดดับ1แสนรอบความเห็นส่วนตัว อาจจะไม่ถูก เพราะบางแหล่งข้อมูลเอาตัวเลขมาคำนวน ถ้าใช้ตัวเลขคำนวนมันมากเวอร์เลย อสงไขยเท่ากับ 10 ยกกำลัง 140 นู้น ถ้าคิดเป็นปี มันมากกว่าอายุจักรวาลเกิดดับ1รอบอีกมั๊ง
เรื่อง อสงไขย เราไปคำนวณไม่ได้หรอก หากจะตอบก็ตอบตามที่มีในพระไตรปิฏก คุณสามารถเข้าไปศึกษาได้ โดยพิมพ์ “ 84000 อสงไขย ” ส่วนผมตอบคร่าวๆว่า 4 อสงไขย เท่ากับ โลกแตกหนึ่งรอบ ระยะก่อตัว ระยะตั้งอยู่ ระยะกำลังแตก ระยะแตกอยู่ วนไป ระยะก่อตัว … มันจะนับปี เท่าไหร่ ก็ลองศึกษาดูนะ มันมีคำตอบอยู่ ส่วนที่ว่าพระพุทธเจ้าไปอยู่ไหน ตอบว่า ก่อนหน้านั้นแกก็เป็นคนธรรมดาแบบเรา เป็นสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดแบบเรา แต่ท่านบำเพ็ญตน ไปเรื่อยๆ จนครบ 20 อสงไขย อย่างน้อยแสนกัป แล้วเกิดที่ไหนบ้าง ก็ตามภพภูมิต่างๆ นั้นแหละ ส่วนในระยะที่โลกยังไม่ตั้งอยู่ สัตว์โลกไปอยู่ชั้นพรหม กันหมด ส่วนสัตว์นรก หรือ พวกที่ไม่มีบุญพออยู่พรหม ก็ไปนรกของจักรวาลอื่นๆ และ โลกมนุษย์ของจักรวาลอื่นๆ พระพุทธเจ้าว่าไว้ว่า จักรวาลหนึ่งมีโลกมนุษย์อยู่ 4 (โลกมนุษย์1 โลกมนุษย์ทิพ3) คำตอบนี้อิงจากในพุทธศาสตร์ นะ ไม่ได้อิงจากวิทยาศาสตร์…
ถ้า25000ทำให้ถึงได้ก็ยินดีด้วย(ถ้าทำได้อะนะ) ส่วนเขาจะรู้ได้ยังไงว่าใครบรรลุอรหันต์ทั้งที่ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นสัมมาสัมพุทธถึงจะรู้ได้100%(ไม่ได้เกิดจากการคาดเดา) แถมการจะบรรลุธรรมมันขึ้นกับอินทรีย์ของคนๆนั้น ไม่งั้นทุกคนที่สัมมาสัมพุทธสอนก็คงบรรลุอรหันต์หมดแล้วแต่ก็ยังมีบุรุษ4คู่ครบ แต่จะทำไงได้ในเมื่อสัมมาสัมพุทธก็ให้พึ่งตัวเองและธรรมที่ถูกต้องของพระองค์ เพราะนั้นคือที่พึ่งที่ดีที่สุดแล้ว
สาธุครับ❤❤❤❤
เคยเห็นหน้าใคร ครั้งแรกแล้วอยากเอาไม้ฟาดหน้ามันไหมครับ นั้นละคือโชคชะตา ที่เกิดจากรรมในกาลก่อน แต่ เราเลือกที่จะทุบมันหรือจะปล่อยผ่าน นั้นละคือเจตจำนงค์เสรี มันคือกรรมที่จะกำหนดโชคชะตาในอนาคต😅
ขอบคุณสำหรับสาระธรรมดีๆครับ มีประโยชน์มากๆเลย
พระพุทธองค์ตรัสว่า อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ ไม่มีผู้ใดช่วยใครได้ แม้แต่พระพุทธองค์เอง มนุษย์เราทุกคนล้วนมีกรรมเป็นแดนเกิด พระพุทธองค์ทรงทำได้เพียงชี้แผนที่ว่าขุมทรัพย์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน เหล่าสาวกทั้งหลายพึ่งปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์เทอญฯ..ผมเองก็กำลังปฏิบัติอยู่ครับ ฝึกอยู่ อดทนอยู่ ฝึกเจริญสติอยู่กับลมหายใจ..อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะครับ 😊🙏🏻
สาธุครับ.😊
สุดยอดแล้วครับบรรยายได้ดีครับ ขอบคุณมากนะครับ
ผู้บรรยายเข้าใจลึกซึ้งมากนะครับ
ขอขอบคุณ
ขอบคุณครับ
อนุโมทนาบุญค่ะ
คุนอธิบาย❤😊ใด้สุดยอด❤😊นับถือๆ
"ธรรมอธรรมมิอาจแยกแยะ"พอฟังคลิปนี้ประโยคนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเลยครับ
ในความว่างเปล่านั้น พลังงาน-แรงโน้มถ่วง-สสารมืด ไม่ได้เกิดขึ้นใหม่แต่มีอยู่แล้วในจักรวาล เมื่อมีปัจจัยให้พลังงานรวมตัว สสารทุกอย่างจึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ นับอสงไขย แล้วดับไปตามกาลเวลา ดวงจิตคือพลังงานที่รวมตัวด้วยเหตุปัจจัย มีจุดศูนย์กลางของทรงกลม พลังงานต้องการที่อยู่คือร่างกายของสิ่งมีชีวิต จิตจะมีแสงสว่างน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับการพัฒนาด้วยพฤติกรรมแห่งการกระทำ ทำไมทุกสิ่งต้องแตกดับ เพราะเดิมทุกสิ่งไม่เคยมีอยู่จริง เพียงแต่มีปัจจัยให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วจึงต้องดับไปเท่านั้น ยกเว้นดวงจิตคือพลังงานของโลกซึ่งไม่ได้ดับไปด้วยเพราะมีอยู่แล้วในจักรวาล เพียงแต่เปลี่ยนรูปไปเพื่อรอร่างใหม่ในภพต่อไป เสมือนไฟฟ้า เรามองไม่เห็นจนกว่าจะมีแหล่งกำเนิดที่เป็นหลอดไฟใหม่นั่นเอง ดวงจิตทุกดวงจึงวนเวียนอยู่บนโลกใบนี้จนกว่าจะบรรลุนิพพานเป็นพลังงานที่ไม่มีปัจจัยให้ก่อกำเนิดอีกต่อไป
พิสูจน์ ง่ายๆว่าจริงไหม ท่านบอกทุกอย่างไม่ว่าไรคือความทุกข์อะจริงไหม?คิดตาม มันก็จริงของท่าน ไม่ว่าความรัก รึอะไร สิ่งของที่รักที่ชอบ สุดท้ายก็จาก ก็มีเบื่อ รึไม่จริงว่ามาเลยใครจะเถียงสิ่งนี้ได้??? ถ้าละสิ่งพวกนี้ไม่ได้ก็วนตายตายเกิดไปเรื่อยๆอย่างงี้ เพราะลืมทุกอย่าง???😅
ลึกซึ้งทุกคลิปเลยครับ ทุกคำที่เรียบเรียงมาเข้าใจง่ายกว่าสิ่งที่เคยได้ยินมาตลอดชีวิตแต่กลับไม่เข้าใจ ขอบคุณครับสำหรับคลิปดีๆ
ดีครับ เป็นคลิปคำสอนที่ถูกหลักศาสนาพุทธ
ขอบคุณมากๆเลยครับแอด
ต่างคนต่างนับถือศาสนา แต่พอเมื่อพูดถึงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง...กลับเลือกขึ้นหน้าชะงั้น
ตัวเราไม่ไช่ของเราก็จริง ในโลกนี้มีแต่ของปอม เราหลงไปเอง ว่าตัวเราเป็นเราความจริงมันไม่ไช่ เราแค่มาอาศัยเท่านั้น เราก็เหมือนหอยสังข์ร่างกายก็เหมือนเปลือกหอย แตกสลายเราก็เข้าไปอยู่ไม่ได้ เพื่อนๆทั้งหลายเรายังจะเกิดใหม่ แต่ระวังห้ามมาเกิดชั้นที่เป็นธรมชาติ #พระพุธทเจ้าสละโลก# รู้ด้วยตนเอง
ชอบการอุปมา ของแอดมิน ชัดเจนต่อการเข้าใจ ❤
2:11 ไม่ใช่สิไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตน เพราะตนนั้นมีอยู่ ตัวตนนั้นมีอยู่ แต่การที่ว่าไปยึดถือเป็นตัวตนนั้นไม่ควร สำนวนคุณอาจจะใช้ผิดในคลิปนะครับขอบคุณครับ ...ในทำนองว่า เราไม่มีตัวละครเข้าไปเล่นด้วย อย่างนั้นควรเป็นสำนวนที่ถูกต้อง ...การพูดที่ไม่มีตัวตนนั้นไม่ถูกต้อง
เขาพูดถูกแล้วครับท่าน คำว่า"เรา"คำว่า"คุณ"มันคือสมมุติเพื่อให้เข้าใจว่า ผู้นั้น ผู้นี้ เพราะจริงๆแล้วเราไม่มีตัวตนมาตั้งแต่ต้น แต่เราเองยึดตัวเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเราจึงติดอยู่ในภพในชาติแบบนี้
ไม่มีตัวตนนั้นถูกแล้ว หากจะแยกและแจกแจงอย่างละเอียดในความเป็นตัวตน เอาอย่างผมเป็นตัวอย่าง ผมคือคนๆนึง นี่คือภาษาเรียกแบบอิงภาพรวม แต่ผมแยกออก มี2แขน มี2ตา มี2ขา มี1หัว มี1ลำตัว มี10นิ้ว ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท่า มี1จมูก มี1ลิ้น ตอนแรกเริ่มมีผมบางๆ ต่อมาผมดกดำ ต่อไปก็คือผมขาว หรืออาจจะอยู่ไม่ถึงจุดนั้น ผมกิน ผมนอน ผมลุก ผมเดิน ผมขับถ่าย ผมหิว ผมหากิน และอื่นๆอีกมากมาย อะไรล่ะ ที่มันคือตัวผม ถ้าผมหยุดเดิน บางคนก็จะบิกว่านั่นคือผม แต่แค่หยุดเดิน ถ้าผมเดิน บางคนก็จะบอกว่านั่นคือผมที่ขยับหรือเคลื่อนที่ ผมจึงไม่ทำอะไรเลย เพราะคนเหล่านั้นบอกว่าผมก็คือผม (ลึกๆ เขาสรุปภาพรวมความเป็นตัวผมคือแค่ส่วนกายและใจเท่านั้น) ทั้งๆที่ กายนี้ ผมไม่สามารถควบคุมอะไรมันได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง ที่ขยับ ก็คือประสาทสั่งการผ่านการนึกคิดของสมองและสิ่งที่เรียกว่าจิต กายนี้ ลอกออกในทุกๆวัน หลบเงาก็ขาว ออกแดดก็ดำ ตากฝนก็เปียก ลมพัดก็เย็น ห้ามความเย็นไม่ได้ กายนี้อายุสิ่งที่คนสมมติขึ้นมันทวีขึ้นไปเรื่อยๆ แม้แต่ความนึกคิดนี้ ก็แปรเปลี่ยนไปตามการเวลา วันก่อนเราอาจจะคิดอีกแบบ แต่พอมาวันนี้ เรากลับคิดต่างออกไป และในอนาคต เราก็อาจจะคิดต่างจากเดิมในตอนนี้ แล้วอะไรที่คือตัวเราจริงๆ ในเมื่อกาย ก็ไม่ใช่ของเรา มันก็คือการรวมตัวกันของสสารหรือธาตุทั้งสี่ แม้แต่ใจ ก็ควบคุมให้คงที่แน่นอนไม่ได้ จิตใจนี้วิ่งตามแทบจะทุกสิ่งที่คิดว่าสิ่งนั้นหอมหวาน เย็นสบาย เกิดประโยชน์ แต่เมื่อเผชิญความทุกข์ก็รู้สึกทุกข์ ไม่ชอบ แต่พอเวลาผ่านไป ก็สามารถดับทุกข์ในส่วนนั้นๆลงได้ เพราะรู้ ดับความสุขบางส่วนได้ เพราะรู้ แต่ก็จะมีความทุกข์ ความสุข ในรูปแบบอื่นๆ ที่ใจมันอยากหยิบจับอีกผุดขึ้นมาในเวลาต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตเราไร้แก่นสาร ไร้จุดหมาย มันไม่มีทางออกที่มองเห็นฟรือแน่นอนตั้งแต่แรก แม้แต่ความตายก็ไม่ใช่ทางออก และเห็นเป็นแค่ลางๆเท่านั้น จริงๆแล้ว เรา คือ เรา จริงๆหรือ?
แม้แต่จิตก็แตกดับ จิตที่ถอดอาพรไปอาพรใหม่หลังจากตาย คือ การเปลี่ยนภพชาติใหม่ จากชีวิตเดิม ตัวตนจิตเดิม ไปอยู่ร่างใหม่ หลังจากตาย นั่นเป็นความเชื่อของพราหมณ์ ซึ่งนั่นไม่ใช่ที่สุดของชีวิตหรือที่สุดแห่งทุกข์ เพราะยังมีคำว่าตัวตนอยู่ ยังมีตัวตนในระหว่างโลกทั้งสอง ยังมีตัวตนในระหว่างธรรม หรือความจริง ระดับนั้น เรียกว่า พรหม ไม่มีตัวตน แต่ยังมีความรู้สึก นึกคิดอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอมตะอย่างที่คนสมัยก่อนเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านแย้งในหลักการนี้กับเหล่าพราหมณ์ดั้งเดิม มันมีขั้นที่ไม่ได้สูงกว่า และไม่ได้ต่ำกว่า หรือไม่มีขั้นให้เทียบได้เลยอยู่ นั่นคือ นิพพาน สิ่งนี้ คือสิ่งที่เหมาะกับคำว่าอมตะที่แท้จริง เพราะคุณต้องใข้ธรรมะเพื่อให้หลุดออกจากธรรมมะ ใช้ความจริง เพื่อให้ไม่ต้องมาเกิดในกฎของความจริงในสิ่งทีาเป็นอยู่นี้อีก ความจริงในแบบที่ว่านั้นคืออะไร ต้องศึกษาเอง ปฏิบัติเอง พิสูจน์เอง
ช่องนี้งานไวจัด ขอบพระคุณมากครับ❤
แอดอาจจะเป็นปีศาจ🤣
ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ เสียงน่าฟังมากเลยค่ะ
แก่นแท้ล้วนๆเลยนะครับ.....อธิบายได้สุดยอดเลยครับ (ต่อไปขอแนวทางปฏิบัตินะครับ)
จบ ป.6 แต่เก่งขนาดนี้ ขอชื่นชมเลยครับ ผมก็ป.6เหมือนกัน
ลึกซึ้งมากอันนี้ฟังตอนจะจบ
ถ้าแอดจบ ป6 แล้วเข้าใจธรรมะขนาดนี้ ผมว่าเก่งกว่าผมที่จบ ป ตรีนะครับ สาธุ
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คืออย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมาอย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมาอย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลืออย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรกอย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานอย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผลอย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้วอย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
ไวมากเลยครับ
คิดว่านี่คือ โอกาส ที่คนส่วนใหญ่จะได้มาแสดงความ ฉลาดจากการแสดงความคิดเห็น กัน ครับ 😆 รู้อยู่ละจะถามทำไม จริงมะครับ ถ้าผมตอบว่าเห็นด้วย คนส่วนใหญ่ คงชอบ ที่ได้พูดเหน็บคนโง่ ๆ จริงมั้ยครับ ละจะถามไปเพื่ออะไร
ตามความคิดของผม มันจะมีระบบอย่างนึงที่จะคอยรับข้อมูลต่างๆแล้วประมวลผลออกมาตามข้อมูลที่ได้รับ แล้วส่งต่อผลลัพธ์นั้นกลับไปหาแหล่งที่ได้รับมา ส่วนกรรมที่เราได้กระทำนั้นเมื่อมันเกิดขึ้น มันจะถูกเข้ารหัสแล้วจัดเก็บไว้ในขันธ์ทั้งห้าของเราตามหมวดหมู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงหนีมันไม่พ้น และเมื่อเราตายลงในขณะที่ขันธ์ทั้งห้ากำลังเริ่มแยกตัว ข้อมูลเหล่านี้จะถูกคลายออกมาแล้วมารวมตัวกันเป็นข้อมูลแล้วถูกส่งไปหาระบบเพื่อประมวลผล และถูกส่งกลับมาในรูปของแรงกรรม แล้ววิ่งไปพร้อมกับจิตเพื่อไปสู่ชาติภพใหม่ นั่นทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงกล่าวถึง กายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม เพราะเมื่อเราคิด เราพูด เรากระทำมันจะถูกบันทึกไว้ในตัวเราทันทีและเริ่มส่งผลมีทั้งแบบส่งผลทันทีและส่งผลช้า
น่าจะใช่ครับ😊
พระพุทธเจ้าจึง ละโลภ โกรธ หลง หยุดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีลูกเมีย เพราะการมีเมียและมีลูก ทำให้เกิดทุกข์ เมื่อสร้างให้ลูกเกิดมาก็ต้องมาเจอความทุกข์บนโลกนี้ เมื่อเกิดมาก็สร้างทุกข์กันต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดมาแล้วก็จะเอางั้นงี้ บางคนเกิดมาก็เจ็บป่วยใข้ ไม่สมหวังในชีวิตก็เป็นทุกข์ อย่างเช่นที่เห็นในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าจึงตัด วงจรนี้ ให้หยุดแค่ตัวท่าน แต่หลายๆคนบนโลกนี้ก็ละโลภ โกรธ หลง ไม่ได้จึงสร้าง วงจร การเกิดแก่เจ็บตายกันอยู่เรื่อย จึงมีแต่ทุกข์ไม่จบสิ้น
การสร้างการกำเหนิด คือการมีทุกข์
ชอบมาก ฟังไปพิจารณาไป
ขอให้ได้เกิดมาในพุทธศาสนาทุกภพทุกชาติด้วยเถิด....ถึงชีวิตนี้จะมีโชคร้ายบ้างแต่สิ่งที่โชคดีที่สุดคือเกิดมาเจอพุทธศาสนา
กรรม = เหตุ+ผล //และที่สำคัญ การยอมรับในตัวตนของท่านเอง หรือโชคชะตานั้นยากซะเหลือเกินที่จะเข้าใจและยอมรับได้ ละได้ก็เลิกได้ง่ายนิดเดียวแต่ทำยากสุดๆเลย😂
เป็นคลิปที่ดี สาธุ
ขอบคุณครับ
❤😊นามรูปเจ้าของเสียง...คุนคงมีความรู้ระดัดพระอรหัน❤😊สุดยอด
ไม่มีเราเขาในกายทำสมมุติให้เป็นสมมุติคือดับขัน5 นั้นละดับที่เหตุ สาธุ ้อยู่เหนือกรรม ไม่กลับมาเกิดอืกเหนือกรรมอีก รู้สมุทัย
พระองค์สอนฟรี❤😊
บางครั้งทั้งๆที่รู้..และพอเข้าใจ..แต่คำว่า แต่ มักแทรกมาในกระบวนการคิดของฉันเสมอ..และในหลายครั้ง ..ฉันก็ไม่อยากที่จะแต่เลย😂
ทันเหตุการ์ณมากแอด😊😊
กําคือ อนุสัย ของสัตว์ หมายถึงคความเคยชิน เรื่องของกรรมมันเกินปัญญาของมนุษย์ คือมนุษย์คิดเองเรื่องของกรรมไม่ได้ต้องอาสัย ปัญญาของ สัพพัญญู ผู้รู้ทุกอย่าง ต้องถามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
ขอบคุณที่นำ Seeker to Seeker มาเผยแพร่เป็นเวอชั่น ภาษาไทย ครับ
ผมมองว่ากรรมไม่ได้ทำงานแบบตรงไปตรงมาครับ แต่จะทำงานแบบเป็นถนนลู่เข้าไปเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เราก็ยังสามารถเดินหลบหลีกเป็นเส้นทางต่างๆได้หากมีสติและปัญญา หลักการทำงานที่ผมเข้าใจอยู่ต่อจากนี้ครับ >>>จุดเริ่มต้นคือการกระทำต่างๆของเราทั้ง กาย-วาจา-ใจ ทุกกระทำที่มีเจตนาเป็นองค์ประกอบ จะถูกบันทึกลงในจิตส่วนที่ลึกอย่าง "จิตไร้สำนึก" ของเราเองโดยที่เราควบคุมหรือเข้าถึงโดยตรงไม่ได้ โดยการบันทึกจะอยู่ในรูปแบบการบีบอัดเหมือนเวลาเทรน AI สภาพจิตนั้นก็จะลู่ไปในทิศทางต่างๆตามการปรุงแต่ง(บันทึก)คราวนี้ระดับความเข้มของการปรุงแต่งจะขึ้นอยู่กับก. ปรุงแต่งนานไหม ถ้านานก็ย่อมซีดลง ถ้าใหม่ๆก็ย่อมเข้ม (นั่นเป็นเหตุว่าทำไมจิตสุดท้ายก่อนตายย่อมส่งผลมาก) ยิ่งถ้าวนเวียนปรุงแต่ก็ยิ่งเข้มขึ้นๆข. สิ่งที่ปรุงแต่งนั้นหนักหนาไหม ถ้าหนักหนาก็ย่อมเข้ม เช่น ทำกรรมหนัก หรือ ทำบุญใหญ่แล้วใจรู้สึกในใจว่าเป็นกุศลอย่างมาก*** แต่การปรุงแต่งนั้นเหมือนทาสีทับๆไปเรื่อยๆ การที่เราเห็นสีสุดท้ายเป็นสีขาวไม่ได้หมายความว่าข้างใต้จะไม่มีสีดำที่นี้การส่งผลนั้นจะส่งผล 2 อย่างคือ 1. ส่งผลในชาติปัจจุบัน ผ่านพฤติกรรม แนวคิด ความเชื่อ การตัดสินใจ อารมณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อตัวเราที่จะพาไปสู่สถานการณ์ต่างๆโดยตรง2. ส่งผลในชาติถัดๆไป เพราะจิตสืบเนื่องและส่งต่อคุณสมบัติที่ถูกปรุงแต่ง เมื่อจะไปเกิดจิตสุดท้ายจะเหนี่ยวนำไปยังสภาวะการเกิดต่างๆที่เข้ากันได้กับสภาพปรุงแต่งในจิตสุดท้าย เหมือนกับว่าในขณะที่มีร่างกายเราไปที่ต่างๆผ่านจิตที่ควบคุมร่างกายมให้เดินทางไป แต่เมื่อไม่มีร่างกายจิตก็เหนี่ยวนำไปยังสภาวะต่างๆได้ทันทีสภาวะการเกิดนั้นประกอบด้วยA. ภพภูมิ คือ มิติของการเกิดมี 31 มิติB. สภาพแวดล้อมในการเกิด เช่น สถานะทางการเงิน ความอบอุ่นในครอบครัว ทัศนคติของผู้คนรอบข้างหรือที่มีความข้องเกี่ยว สภาวะสงครามในภูมิประเทศนั้นๆ ค่านิยมความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมC. องค์ประกอบของร่างกายอย่าง สภาพความสมบูรณ์ของร่างกาย รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ พละกำลัง ความแข็งแรง โรคทางพันธุกรรม ระดับไอคิว/อีคิว พื้นฐานทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่ถูกส่งต่อมา มันเหมือนกับว่าเราเลือกหนังที่เราเข้าไปแสดงโดยที่ไม่รู้ตัว หากเราเข้าไปในหนังสงครามและเป็นช่วงที่กำลังรบกันประกอบกับพฤติกรรมพื้นฐานของเราที่สติแตกง่าย เราย่อมมีโอกาสถูกอีกฝั่งยิงตายสูง ดังนั้นกรรมทำงานเหมือนกับการวางกับดักใน space-time ของเรา โดยตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นคนกำหนดโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราอยากจะรอดไม่ถูกยิงเราก็แค่มีสติระแวดระวังใช้ปัญญาพิจารณาเราก็สามารถหลบหลีกได้(นี่ละคือเจตจำนงเสรี มันเลือกได้ ตัดสินใจได้) แต่ถ้าเราทำกรรมไม่ดีมาเยอะมากมันก็เหมือนวางกับดักรอบตัวทุกทิศทุกทางมันก็เหลือทางรอดน้อยมีโอกาสโดนเยอะ*** ถ้ามองแบบนี้ผลของการกระทำและเจตจำนงเสรีคือสิ่งที่ไปด้วยกันได้ครับ ***
พระที่จะนิพพานเขาจะเอาเงินไปบริจาคหมดไม่ยึดติดเงินและไปอยู่ป่าคนเดียวเพราะไม่อยากสร้างกรรมกับใคร ใครคิดคอร์สแพงๆคงไม่สามารถสอนใครให้นิพพานได้ ขนาดตัวเองยังกิเลสหนาเตอะ
ขอแค่คิดดีทำดี😊
ความยุติธรรมคือ 1ต่อ1 เช่น ไปฆ่าคนตาย 1 คน พอตายไปต้องไปรับโทษในนรก ต้องรับโทษโดยการถูกฆ่าเพียงแค่1ครั้ง แต่ที่เคยฟังเรื่องนรก-สวรรค์มามันไม่ใช่แบบนั้น ฆ่าคน1คนต้องไปชดใช้ในนรกโดยการถูกฆ่าวนๆซ้ำๆไปเรื่อยๆ อาจจะเป็น 1:100 1:1000 1:แสน แบบนี้มันไม่เรียกว่าลงโทษโดยความยุติธรรม มันเรียกว่าลงโทษตามความเหมาะสม เหมือนกับการไปขโมยเงิน 100บาท โดนจับได้ก็ลงโทษโดยให้เงินคืน100บาทเรื่องจบ ถ้าทำแบบนั้นมันไม่หลาบไม่จำ ต้องปรับกี่เท่าๆ ก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม ฉะนั้นกฎแห่งกรรมไม่ได้ลงโทษด้วยความยุติธรรม แต่กฎแห่งกรรมลงโทษตามความเหมาะสม
แต่ผิดที่มนุษย์ไม่รู้นี่สิเพราะมนุษย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติก็ไม่สามารถเห็นได้ และมนุษย์ไม่คิดปฏิบัติเพราะไม่รู้เนื่องจากเรียนรู้มาจากตัวหนังสือทั้งนั้น ดังนั้นคนที่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นคนที่มีบุญมากเพราะท่านสามารถตอบโจทย์ได้หมดทุกอย่างทำให้บุคคลนั้นเชื่อและปฏิบัติ ความเชื่อก็สำคัญมากที่สุด
เรียนสูงแค่ไหนไม่จำเป็นเลยกับตรัสรู้.....ยิ่งรู้เยอะยิ่งบัง....🎉
การเกิดใหม่ของดวงจิตมีจริง เพราะมันเกิดจากสภาวะขันธ์ 5 ดวงจิตของคุณปราถนาการเกิดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง เมื่อใดที่คุณไม่รู้สึกอยากเกิดนั่นแหละ คุณเริ่มจะออกจากสังสารวัฏ แต่มันยากเพราะคุณยังเสพสุขในการเป็นมนุษย์อยู่ ทั้งการได้ทานอาหารอร่อย ได้ฟังเสียงที่ชอบ ได้เจอคนที่รัก ได้ไปสถานที่ที่ชอบ นั่นแหละคือสิ่งที่คุณเสพจากขันธ์ 5 มันจึงยากที่คุณจะหลุดจากสิ่งพวกนี้ จึงปราถนาที่อยากจะเกิดวนซ้ำไป ไม่เชื่อคุณลองนั่งหลับตาแล้วถามจิตดูสิว่า คุณอยากตายไหม คุณก็จะกลัวตายมเพราะคุณยังรู้สึกอยากและเสียดายในสิ่งที่จะไม่ได้ทำ
ดวงจิตเกิดดับตามวงจรปฏิจจสมุปบาท(เขียนผิดขออภัยจำยาก)อยู่แล้วเมื่อภพชาติ(เรื่องราวนี้ๆ)จบก็ แปลว่าจบ หากเกิดกรรมใหม่ ก็เริ่มวัฏจักรปฏิจฯใหม่อีกรอบด้วยเรื่องใหม่แต่ยังเป็นจิตเดิมนามรูปเดิมอยู่ผมเข้าใจว่างี้นะครับไม่ได้เปลี่ยนจิตดวงใหม่ แค่เปลี่ยนเรื่องใหม่เองถกกันครับ
❤บังปล่อยวางบางก็ได้ครับ
นารีขี่ม้าขาว กับคนก่อนหน้านี้-เหมือนกัน ‼️คือถ้าเราไม่จ่าย-ก็ "ตกนรก ปอยเปต"…หมื่นแสนล้านภพ หมื่นแสนล้านชาติ นะคะ นะคะ นะคะ
สาธุ สาธุ สาธุ
ชื่นชมๆๆๆ
คลิปดีมากๆ เลยครับ ขอบคุณครับ
สุดยอดเลยครับ
ธรรมชาติของ จิต มักไหลลงสู่ที่ต่ำเหมือนน้ำ.
คิดยังไง มันก็จะจริงตามความคิดคุณนะครับแต่สำหรับผม ธรรมชาติของจิต มักเป็นไปตามเจตนาครับจะเป็นอนุสัยหรืออุปนิสัยใดๆก็ตามที่กระทำสม่ำเสมอ
ก่อนจะเกิดเป็นจิต ต้องผ่าน อุปนิสัย หรือ อนุสัยก่อน มันไปความเคยชินของเรา เราไปหยิบจิตนั่นมาเองตามความเคยชินไม่ใช่ไม่ใช่ว่ามันลอยขึ้นมาเอง แต่เป็นเพราะความเคยชินของเราเองเพราะไม่เคยสดับ คนที่เคยสดับกับคนที่ไม่เคยสดับ ก็เลยมีทางไปไม่เหมือนกัน
Infinity & randomnessเหตุการณ์หนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งนิจนิรันดร์ไม่มีอยู่จริงครับ^^
นิรันดร์คืออะไรครับ ใช่อมตะไหม
มีอ้างอิงหรือเขียนเป็นหนังสือไหมครับ เขียนดีเหลือเกิน
สาธุ
ขยายความได้ดี.เจริญพร...
25,000 หลุดพ้นได้😊ผู้ที่นำเสนอคงรู้สึกแบบนั้นได้จริง หากเขาป่วยเป็นจิตเวชมีอาการหลงผิด😊
อาหารหิวเงิน ล่อลวงคนมากกว่าครับ 😅
คนสอน เค้าคือใครครับ อยากรู้ครับ
ของผมไม่เกิน 1500 หลุดพ้นได้สักพัก สายทริบเค้ารู้กัน😅
เรียบเรียงได้ดีครับ
ตอนเเรก 1.2kตอนนี้70k มาไกลมากครับ ใน5เดือน🎉
แล้วทำไมพญามารต้องมาขอให้ตถาคตเสด็จปรินิพพาน ตถาคตคือ bug ของระบบใช่หรือไม่ และพญามารคือผู้ควบคุมระบบใช่หรือไม่
อยากทราบว่าพระพุทธเจ้าหน้าตาเป็นแบบไหนครับแล้วบรรดาเหล่าเชื้อสายของพนะพุทธเจ้าที่มาถึงยุคเราทุกวันนี้ยังอยู่หรือเปล่าครับที่เราได้เหล่าเรียนและยำ้มาจนลูกหลานก็แค่พระพุทธเจ้าและพระราหู/พระอานนท์/แล้วลูกหลานของพระราหู/พระอานนท์/ประวัติทำไมไม่บันทึกหรือมีให้ศึกษากันเลย
แอดคงจะศึกษา อภิธรรม มาใช่ไหมครับ ?
แค่ได้ยินก็ขำแล้ว25,000บาทหลุดภพชาติ
ตามกระแส และช่างเปรียบเทียบได้ดี
ผเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง100%ครับ🎉
น่าจะมีทุกสิงเพื่อสร้างสมดุลโลกและจักวาลนั้นแหละ...ธรรมชาติให้ทุกสิ่งเท่าเทียมน้ำอากาศอาหาร ที่ต่างกันคือมนุษย์ยกย่องอวยกันเองมาจากบรรพบุรุษความต่างนั้นน่าจะขึ้นอยู่กับว่าใครขยันเสริมพลังให้จิตใจด้วยการขยันสร้างดีและสมาธิจะทำให้ใจมีพลังมากๆเพิ่มขึ้นเลื่อยๆ จงอย่าลืมพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช้ผู้สร้างโลกท่านเป็นผู้รู้ความลับออกจากวังวนแห่งทุก
ฝนตก แดดออก เมฆกลายเปนฝน , ปัจจยาการเหล่านี้มันมีตัวตนมั้ย
คลิปนี้ดี
ผมขอค้านเรื่อง กลับชาติมาเกิดหน่อยนะครับ ในหลักธรรมสอนของพระพุทธไม่เคยบอกว่ามี การกลับชาติมาเกิดเลย เกิดจากการแต่งเติมของคนในยุคนั้นๆ
จะมีได้ยังไงครับในเมื่อพระพุทธสอนไม่ให้เกิดแต่ก่อนการสอนนี้พวกพรามเจ้าถึงกฎแห่งกรรมการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อนก่อนที่จะมีพุทธศาสนา
กลับชาติมาเกิด ตามที่คุณเข้าใจ คือยังไงหรอครับ
ถ้าเป็นโลกุตระธรรมใช่ไม่มีใครเกิด แต่ถ้าพูดแบบให้คนเข้าใจพูดว่าไม่มีใครเกิดมันจะเข้าใจยากเกินไป สัมมาสัมพุทธก็พูดไว้2แบบอยู่แล้วทั้งโลกุตระและแบบทั่วๆไป
@@You-xr5sc ระวังนัยยะที่บอก ว่าทุกอย่างคือความทุกข์นะครับจริงๆทุกอย่างคือ ทุกข์ ซึ่งความทุกข์ก็เป็นหนึ่งในทุกช์ไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นความทุกข์ เพียงรากแท้ของมันคือ ทุกข์ทุกข์ในที่นี้ พระศาดาอธิบายไว้ ว่าคือสิ่งที่แตกสลายเป็นธรรมดาฉะนั้น ก่อนที่จะไปละ ควรเห็นให้ตรงตามที่พระศาสดาสอน แล้วเรื่อง ละ วาง อาจจะทำได้ง่ายขึ้นครับ
สุดยอดจริงๆครับ 555 ชอบๆครับ
ธรรมะที่จริงเป็นของง่ายๆหากเราศึกษาอย่างจริงจัง แต่มนุษย์ที่ขี้เกียจมากจะบอกว่าธรรมะเป็นเรื่องยาก แล้วก็ไม่ทำอะไรต่อจากนั้น แล้วโทษนั่นโทษนี่แต่ลืมโทษว่าตัวเองขี้เกียจ
😂😂😂
พระพุทธเจ้าพูดไว้ 2500 ปี ทุกวันนี้ ยังต้องครุ่นคิดอยู่เลย
เก่งๆ กะฃันทั้งนั้นเลยครับ
จริงไม่จริงนั้นไม่มีอะไรยืนยันได้ในทางวิทย์หรือในทางความรู้ระดับโลก แต่ใช้ว่าจะไม่สามารถพิสูนท์ได้เลยว่าจริงหรือไม่จริง นั้นก็มีหลักในการเข้าถึงความรู้อีกขั้นและจะได้รู้เองว่า กรรมชาติหน้ามีจริงไหม...แต่ทั้งนี้มันขึ้นอยู่ที่ว่าคุณทำจริงๆหรือถูกต้องไหมถ้าทำจริงทำถูกยังไงๆคำตอบคุณต้องได้รู้
เห็นต่างประเทศถกเถียงกันเรื่อง ชะตากรรม vs เจตจำนงเสรี ซึ่งในมุมมองคนพุทธแบบเรา เราคิดว่ามันไร้สาระ เพราะเรามองแบบพุทธเลยไม่ได้คิดว่าสองสิ่งนี้แยกออกจากกัน เพราะคำว่า กรรม คำเดียวเลย แล้วก็การคิดว่าชีวิตจิตวิญญาณมีการหมุนวนเกิดไปเป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนวัฏจักรของน้ำ หรือแร่ธาตุต่างๆในโลกกรรมหรือการกระทำในอดีต(รวมถึงอดีตชาติ) เป็นสิ่งที่ส่งผลหรือมาให้ผลในปัจจุบัน หรือที่เรียกกันว่าชะตากรรม/โชคชะตาแต่ในขณะเดียวกัน กรรมที่ทำในอดีตเหล่านั้นก็มาจากเจตนาหรือเจตจำนงเสรีในอดีตตอนนั้นเอง และในปัจจุบันแต่ละคนก็กำลังกาะทำกรรมทั้งขาว, ดำ และไม่ดำไม่ขาวจากเจตจำนงเสรีของตนเช่นกัน วนเวียนไปอย่างนี้เป็นวัฏจักรจนกว่าจะหาทางหลุดพ้นเจอ จนกว่าจะกระทำกรรมไม่ดำไม่ขาวเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ก็นั่นล่ะคำว่าชะตากรรมและเจตจำนงเสรีนั้นทั้งมีและไม่มีในมุมมองของพุทธศาสนา
อ.ทีดีเบตกันต้องมาดูคลิปนี้เข้าใจง่าย
เมื่อคนเข้าใจธรรมนะ
การเกิดใหม่มีจริงหรือไม่จริงไม่สำคัญ
แค่ใจเราสงบสุขคือนิพพาน
แต่หากยังไม่เข้าใจธรรมนะ
การรู้เวียนว่ายมันสำคัญ
มันถึงจะทำให้คุณเข้าใจในเหตุในผลและความเข้าใจในธรรม
คนทำคลิปนี้ เป็นคนมุสลิม นับถือ อิสลาม ขบวนการต่างๆ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ศาสนาพุทธ ไม่ตั้งคำถามแบบไอ้คนนี้หรอก
เพื่ออะไรคุณก็ยังหาไม่เจอ เอาแบบคงเป็นคนดีย์
ใจสงบเป็น สิ่งดี การเข้าใจธรรมะ ถ้าคิดว่า เข้าใจ อย่างน้อยก็เป็น แนวทางที่ดี... แต่นิพพาน ไม่ง่ายแบบนั้น...
คนที่ไม่เชื่อใน วัฏสงสาร ในทางพุทธ เรียกว่า "อุจเฉททิฏฐิ (สูญ)" ซึ่งตรงข้ามกับ "สัตตทิฏฐิ((เที่ยง)" ซึ่งทั้ง 2 แบบคือ "มิจฉาทิฐิ(ความเห็นผิด)" ซึ่งในทางพุทธ เห็นว่าเป้นความเห็นผิดทั้งคู่ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น จริงปัจจุบันผมก็เชื่อในแนว "อุจเฉททิฏฐิ (สูญ)" อยู่ ลองไปหาข้อมูลมา เค้าบอกว่าความเชื่อแบบนี้ เป็นอันตราย และอาจทำให้คนห่างจากการทำดี และ ไม่กลัวความชั่ว เพราะคิดว่าไม่มีจริง เวลาพูดถึงเรื่องนี้ มักจะถูกถามกลับมาเสมอว่า ถ้าไม่เชื่อเรื่อง วัฏสงสาร การเกิดใหม่แล้ว จะทำความดีไปทำไม และกรรมจะไปชดใช้ที่ไหน
ส่วนตัวผมก็ตอนนี้ไม่เชื่อเรื่องการเกิดใหม่ นรกสวรรค์ และการเวียนมาเกิดใหม่ เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ผมเชื่อในกรรม (การกระทำ) กรรมดี > ผลดี กรรมชั่ว > ผลชั่ว และรับผลจากการกระทำนั้น ทอดใข่ย่อมได้ไข่ทอด ต้มใข่ย่อมได้ไข่ต้ม ผิดถูกสัตว์โลกย่อมรู้ แม้แต่หมาแมว ทำผิดมันก็ยังรู้ ตอนนี้ผมเลยไม่รู้ตัวเลยว่า คำจำกัดความ จะยังอยู่ในกลุ่ม "อุจเฉททิฏฐิ" ด้วยรึเปล่า
@@rockaunrockneverdie7830ท่านผู้เจริญทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยตนของท่านผู้เจริญเองด้วยการเพียรภาวนาไปให้ถึงโสดาบัน แล้วจะเกิดการเห็นแจ้ง แต่สำหรับผู้ที่มีความจำมากเรียนมากโสดาบันจึงเป็นเรื่องยาก ทั้งที่ง่ายนิดเดียวเพื่อเป็นธรรมทาน อ่านแล้วห้ามจำโดยเด็ดขาด อนุโมทนาในการสร้างเหตุอันเป็น
ดีมากอย่างน้อย น่าจะทำให้หลายคนพอเห็นแสงรำไรได้บ้าง แต่ก็ยากมากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจ ข้าพเจ้าเองไม่คิดที่จะอธิบายให้ผู้อื่นเลยเพราะมันยากมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์การปฏิบัติมันหาภาษามาใช้ให้ถูกต้องตรงกับสิ่งที่ประสบนั้นไม่มี แต่ท่านมีความสามารถมากที่ใช้คำพอทำให้ผู้อื่นน่าจะเข้าใจ แต่ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติด้วยตนเองเลยก็อาจจะไม่เข้าใจ ดีมากและขอบคุณในความพยายามแจกของส่องตะเกียง ได้ส่งต่อไปให้หลายคนแต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะเข้าใจไหม เพราะการอธิบายเรื่องนี้ยากมาก อนุโมทนาสาธุ
พระพุทธเจ้าถึงให้ใช้แต่คำพระพุทธเจ้าสอนกัน ไม่ให้ใช้คำสาวก ถ้าสาวกพูดคำพระพุทธเจ้านั่น ไม่ใช่คำสาวก
แต่คือคำพระพุทธเจ้า
สุดท้ายแล้ว พระพุทธเจ้าคือผู้รู้เกี่ยวกับการทำงานของจิต สถานะของจิตที่แท้จริงคือนิพพาน แต่ถูกครอบงำด้วยกิเลส ตัณหา ทำให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในสถานะต่างๆ การที่จิตจะกลับไปสถานะเดิมได้ ต้องใช้เส้นทางการพัฒนาจิตตามพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีการ รูปแบบ หลักการ ที่เรียกว่ากรรมดี หากจิตสงบด้วยกระบวนการฝึกฝนด้วยระยะเวลา และเคยชิน จะเกิดปัญญา เข้าใจหลักธรรมชาติ จนจิตเกิดการปล่อยวาง ยึดติด รัก โลภ โกธร หลง จนหลุดสังโยชน์ 10 นี้คือที่สุดแล้วครับ ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วครับ ที่นี้จิตจะเป็นอิสระจากทุกอย่าง และจะรู้อะไรก็ได้ในโลกจักรวาลนี้ #แต่เส้นทางจะไป มันยากก็ว่ายาก ง่ายก็ว่าง่าย อยู่ที่ใครจะทำได้ เพราะจิตมันเคยชินกับกิเลสมาหลายภพ หลายชาติแล้วครับ #พระพุทธเจ้า มาชี้ทางที่ทำยังไงไม่ต้อง เกิด ตายอีก เหมือนพระพุทธองค์🎉🎉🎉
สาธุๆ😊😊
กิเลส ตัณหา ราคะ คือสิ่งที่บางศาสนายกให้เป็นของขวัญจากพระเจ้า
พี่ว่าพระพุทธเจ้า ตรัสรู้อะไร หลักธรรมชาติ และ จักรวาล หรือคับเปล่าเลย ท่านบอกเสมอผู้ที่ดำรงค์ตนในฐานะ สงฆ์ ของศาสนาพุทธ จะต้องไม่อวดอ้างคุณวิเศษที่เกินคนปรกติ หากกระทำย่อมให้ขาดจากการเป็นสงฆ์ ทันที แล้วพระพุทธเจ้าจะพูดอะไรที่เกินจะเชื่อได้อย่างไร การปรุงแต่งจนเราๆลืมหัวใจของพระธรรมไปหมด
@@tanapuntamoar458 ตามพระสูตร ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้ปูพื้นก่อน โดยแบ่งเป็น 3 ญาณ ญาณที่1.พระพุทธเจ้าระลึกย้อนชาติปรางก่อนหลายภพ ทำให้เห็นถึงอดีตของสรรพสัตว์ที่ผ่านมา ทำให้มีความเชื่อว่าภพชาติมีจริง แต่อย่าไปยุ่งมัน เพราะไม่มีประโยชน์
ญาณที่ 2 การจุติ คือการเคลื่อนจากภพปัจจุบันไปในภพชาติต่อไป ด้วยแรงขับเคลื่อนของกรรม ทำให้เห็นว่า อนาคตยังไม่เกิด และทำให้เห็นว่าเป็นของมีจริง
ญาณที่ 3 ความรู้ที่ทำให้กิเลสที่หมักหม่มในจิตใจหายไป วิธีการขจัดให้หายไป ทำให้เห็นว่า ปัจจุบันเท้านั้นที่เราจะสามารถพัฒนาจิตได้ จนนำไปสู่การหลุดพ้น จนเข้าสู่นิพพาน
*พระพุทธเจ้าสามารถเห็น และจำแนก ด้วยปัญญา คือการยึดขัน 5 หากทั้ง 4 ขัน หมดไป จิตหรือวิญญาณ 1 ใน 5 ก็จะหลุดพ้น
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เสร็จ ท่านมองว่าเป็นสิ่งที่ยากมาก ที่คนธรรมดาจะเข้าใจ จนนำมาสู่การย่อให้เข้าใจง่ายสุด คือ อริยสัจ 4
*ที่คอมเม้นข้างต้น ไม่ได้หมายถึงสงฆ์ หมายถึงหลักการทำงานของจิตสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่าย ตายเกิด ความหมายถึง เมื่อไม่ว่าใครที่หลุดพ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นสงฆ์ แต่คำว่านิพพานใช้กับสงฆ์ คนธรรมดาก็ใช้คำว่า ไม่เกิดอีก หลุดพ้นย่อมได้ครับ มีอะไรถามได้ ผมตอบได้ตามหลักพระสูตร แบบย่อ กระชับและให้เข้าใจง่ายที่สุด
คำตอบสุดท้ายก็ คือ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดหมั่น(พุทธพจน์)
สัพเพธัมมา อนัตตา
ธรรมทั้งปวงที่ว่า คือ รูปธรรมและนามธรรม😊😊😊
ยึดมั่น ถือมั่น เมื่อใด อัตตา ตัวตน เกิดขึ้นเมื่อนั้น เมื่อมีอัตตา ตัวตนเกิดขึ้นเมื่อใด กรรม(กุศล/อกุศล)เกิดขึ้นเมื่อนั้น
ว้าว แต่ละเม้นท์ แตกฉานในธรรม ทุกคนเลย 👍☺️❤🙏
ดีใจที่ได้ฟังวีดีโอนี้ครับ
ผมเชื่อว่าที่เค้าบอกว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้แค่ 5,000 ปี
ไม่ใช่เพราะพระพุทธศาสนาหมดไปเพราะโลกจะมีแต่สิ่งเลวร้ายหรอก
แต่เพราะโลกเหลือแต่คนดี ที่มีแต่หลักธรรมอยู่ในเนื้อเดียวกับการดำรงชีวิตมนุษย์โลก จึงไม่จำเป็นต้องใช้ศาสนาเข้ายึดเหนี่ยวจิตใจ
อย่างเช่น นิพพานก็มีอยู่แล้วไม่ได้หายไปไหน
อีก 2,500 ปีข้างหน้า ศาสนาก็มีอยู่แล้วไม่ได้หายไปไหนเช่นกัน
3 สิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในโลกที่พระตถาคตตรัสไว้คือ
1 การเกิดของพระพุทธเจ้า
2 การเกิดเป็นมนุษย์
3 พระสัทธรรมจะแผ่ไปทั่วโลก
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นจะสวนทางกันทางโลก
รู้ได้ไงครับในเมื่อมันมายังไม่ถึง
เขานี่ใครครับ ?
พระพุทธเจ้า หรือ ปุถุชน ?
ฟังคลิปแล้วใคร่ครวญให้ดีๆนะครับ อย่า bias เลย
”สิ่งใดเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา“
นี่คือสิ่งที่พระศาสดาสอนไว้ คุณควรใคร่ครวญให้ดีๆ
กับสิ่งที่คุณพิมพ์คอมเม้นลงไป ด้วยความหวังดีนะครับ
ครบ5000 สัตว์นรกที่อยู่ในนรกเขาจะหมดกรรมที่ต้องชดไช้ในนรก เขาจะขึ้นมาเกิด คราวนี้ละมันจะวุ่นวาย และหลังจากพวกสัตว์นรกกลับไปสู่ที่ๆมันมาโลกก็เริ่มรู้จักรักษาศีล จนอายุมนุษย์เพิ่มไปถึง100000ปีและลดมา80000ปี พระศรีอาริย์จะมาเกิด
ไม่น่าใช่แบบนี้นะครับ พุทธวจน ศาสดาของเราไม่ได้ตรัสเอาไว้แบบนี้ ลองไปศึกษาดูครับ
ผมงงในศาสนาพุทธที่ว่านรกสวรรค์ ทำไมต้องไป แล้วทั้ง2สถานที่นั้นมันมาจากไหน
มันมาจากสิ่งที่เราได้ทำแล้วตายไปก็ได้สิ่งนั้นหรอ สถานที่ทั้ง2เกิดจากการสร้าง สมมุติขึ้นในหัวของเราหรอหรือตามอารมณ์ของเราหรอหรือตามการกระทำของเราหรอ ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรน่ะ
และอีกอย่าถ้าได้รับสิ่งสิ่งจากสิ่งที่ทำก็ต้องได้รับความผิดประเภทนั้นบนโลกแล้ว เช่น ลักขโมยต้องอะไร ผิดลูกผิดเมียต้องโดนอะไร
ใครเป็นคนกำหนดให้ปีนต้นงิ้วใครกำหนดให้โดรน้ำมันดูเฉพาะเจาะจงน่ะ ถ้าไม่เฉพาะเจาะจงมันไม่ควรไม่ได้ปีนต้นงิ้วหรอกควรไปโดนอย่างมากกว่าและไม่ตายตัวให้จำเป็นต้องปีนต้นงิ้วน่ะครับ
การตรัสรู้ต้องตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเองเท่านั้น พอจิตมันเกิดหลายภพหลายชาติ ผ่านดีผ่านเลวเกิดเป็นคนบ้างเป็นสัตว์บ้าง วิวัฒนาการจิตมันจะซึมซับเรียนรู้ในการแก้ไข พอถึงจุดอิ่มตัวมันจะระเบิดเรียกว่าซุปเปอร์โนว่า หลุดจากวงโคจรของมิตินี้ กลายสภาพเป็นอย่างอื่นเช่นนิพพาน แต่นิพพานของแต่ละดวงจิตอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ นิพพานอาจจะมีลักษณะเป็นเซิฟเวอร์ที่ควบคุมมิติของจักรวาลก็ได้ จิตที่เป็นนิพพานอาจจะแทรกซึมไปทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลของตัวเอง จักรวาลอาจจะมีหลายจักรวาล และมิติเชิงซ้อนเช่นภพภูมินรกสวรรค์อาจจะเป็นการไปเกิดใหม่ของจิตก็ได้
เวียนว่ายตายเกิด คือ ธรรมชาติ ไม่ได้หมายความว่าเราจะมาเกิดใหม่ แต่คือ ความสุขความทุกข์ที่เกิดดับตลอดเวลา สุดท้ายก็คือ นิพพาน
ผมขอชื่นชมและอนุโมทนาบุญด้วยครับ คนที่จะบรรยายเรื่องนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งหรือชัดเจนไม่สามารถอธิบายได้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นนักย่อความจริงก็ไม่สามารถพูดได้อย่างง่ายดายฟังแล้วรู้เลยว่าคนที่เล่ามีความศรัทธาและเข้าใจในคำของพระพุทธเจ้าพอแระมาณ มันต่างกับหมอลำที่ท่องบทที่แสดงเรื่องของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง
ลองศึกษา พุทธวจน เพิ่มดูครับ ในคริปยังมีบางอย่างที่เป็นคำแต่งใหม่อยู่ หากมีคำแต่งใหม่ จะทำให้คำสอนไม่สอดคล้องกัน แต่เป็นคลิปที่ดีมากๆครับ
(1)แสง (2)เงา (3)ความโน้มถ่วง
มาร์คขอนำวิทยาศาสตร์เข้ามาเพื่อให้เข้าใจวัฏจักร
:เนื่องด้วยมีความสอดคล้อง
โมทนา ขอให้ทำต่อๆไป มันวนอยู่ รอบๆตัวเราทั้งหมด เลย เมื่อได้ สดับ แต่ละคนจะเห็นไม่เหมือน กัน มันเป็นปัจจัตตัง ที่สำคัญอินทรีย์แก่ อ่อน แต่นี่คือ ธรรมทาน ที่สามรถดึงจิตผู้ฟัง ให้หันมา ฟังคำพูดและ เสียง ของโลกธรรม เพราะมันอยู่ในตัวของเราทุกคนทุกท่าน อนุโมทนา
ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ศีลห้าระลึกไว้
ศีล + สมาธิ + ปัญญา + ภาวนา
ศีล 20 ไม่มีหรอครับ😂
แม้แต่พุทธสาวกที่ไปถึงก็มีน้อย
ศีลมีหลายระดับตามความพร้อมครับศีลห้าสำหรับชาวบ้านแบบเราส่วนศีลแปดศีลศีลสิบศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดก็สำหรับเณรแม่ชีและพระครับแค่ศีลห้าก็นำคนขึ้นสวรรค์แล้วถ้าเราปฏิบัติจริงครอบครัวตัวเรามีความสุขครับ@@สายฟ้า-thunder
@@Mมนตรีขออนุญาตถามพวกมด ยุง แมลง พวกนี้ฆ่าแล้วต้องบาปหรอ สมมุติเป็นไข้เลือดออกตายคือต้องไปเอาเรื่องกับใคร
ธรรมชาติไม่เคยสนใจในมนุษย์ แต่มนุษย์นั้นมักจะโทษธรรมชาติ
*ความทุกข์นั้นเกิดจากความไม่รู้ และหากรู้แล้วว่าทุกข์เกิดจากอะไร? แต่ก็ยังดื้อที่จะทำเช่นเดิม
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เยี่ยม
ภพชาติมีจริงครับ
ใช่ครับ
ท่านผู้นี้อธิบายดีแท้สาธุสาธุสาธุ
หากตั้งใจฟังแบบไม่มีทิถิจะได้เห็นธรรมะเลยดีจริง
การเกิดก็เหมือนเรายากกินข้าวแม้วันนี้เราจะอิ่มวันหลังมันก็เกิดความหิวอีกความเข้าใจในธรรมะก็เหมือนการขับรถเป็นไม่ได้มีไครเอาความขับรถเป็นมาให้เราตัวเราที่หัดขับนั้นละขับเป็นเอง การขับรถเป็นมันก็มีอยู่ของมันอย่างนั้นไม่มีไครสร้างแต่ความเข้าใจของเรานั้นละทำให้เราขับเป็นแบบหมดจดอีกมากมายที่ผมไม่อาจจะพูดได้แค่เม้นเดียวนี้
ยินดี ที่ได้เจอคุณ คุณคือ
" ผู้ส่งข้อความ"
สำหรับผม
*กรรม คือการคิด พูด ทำ
*ชาติ คือ เหตุการ ณ ช่วงๆนึง
*การเกิด คือ การที่มีองประกอบขัน 5 ถ้าเห็นแค่ภาพ แต่ไม่เชื่อมโยง ก้ไม่ถือว่าเกิด และการเกิดมีความสั้นยาวไม่เท่ากัน 1 วันอาจจะเกิดและดับได้หลายรอบ
*กลับชาติมาเกิด คือ การเกิดที่มีการเชื่อมโยงกับชาติใดชาตินึง เช่นเคยเลิกกับแฟนคนนี้เพราะแฟนมีชู้ ผ่านมา 1 หมื่นชาติ มาเจอแฟน ก็จะเกิดภาพ จำได้ อารมจะตามมา ทำให้องประกอบมีครบของการเกิด ทุกๆอย่างจะมูฟมาที่ชาตินี้ ถ้ากรรมมีความชัดเจนก็จะยิ่งส่งผลให้เราทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบสนองกรรมเก่า
*การระลึกชาติ จะมีองประกอบของขัน 5 อย่างน้อย มีภาพ ความเชื่อมโยงภาพ และอารม ให้สังเกตุว่า ในฝันก็สามารถมีองประกอบเหล่านี้ เพียงแต่มันขาด การรับรู้จริง คือขาดแค่วิญญาณ ถ้าตามหลักแล้ว ฝันจึงยังไม่ใช่การเกิด
*การเกิดบนสวรรค์ จากข้อการระลึกชาติ เป็นไปได้ที่การไปเกิดบนสวรรค์หรือนรก คือความฝัน ที่ไม่ต้องมีกายหยาบ และมันคือการชำระ ปัจจุบันนักวิทย์มองว่าฝันคือการกรองข้อมูล เพราะงั้นบางชาติในวันนั้น อาจจะมีการกรองทิ้ง และ เก็บถาวร ในการเรียบเรียงใหม่นี้ ถ้าเราทำเรื่องเลวร้ายไว้ และได้เดิฝันร้าย นั่นหมายความว่ากรรมนั้น อาจจะตามเราไปตลอดจะตาย ชั้นนี้เป็นชั้นที่น่ากลัวมากเพราะเหมือนการพิพากษาว่าชาติต่อไปเราจะเป็นยังไง มันจะส่งผลอยู่เรื่อยๆ เรื่องในหัวเราที่ระลึกได้ อาจจะไม่ได้จริงตลอด มันคือการเติมแต่งจนฝังเข้าไปในจิตสำนึก และไม่มีใครที่จะเอามันออกไปได้
*กรรมบางอย่างเมื่อถึง จุดๆนึง มันจะหายไป เหมือนคำที่ว่าก้มหน้ายอมรับ เหมือนเราจำได้ว่าเราเจ็บปวดเหตุการณ์นี้มาก เมื่อเกิดขึ้นเราก็จะเจ็บปวด แต่เมื่อเรายอมรับอย่างสุดซึ้งวันนึงเราจะรู้ว่าตอนนั้นเจ็บปวด แต่เจ็บปวดยังไงมันกลับไม่ส่งผลต่อเราแล้ว มันเหมือนเป็นแค่คำๆนึงที่เขียนว่าเจ็บปวดแต่ไม่สามารถไปรับรู้ได้ วันนึงมันจะหายไป
*เมื่อเรารู้ว่าทุกครั้งที่เกิดมันจะมีความทุกข์เสมอ เราก็แค่หาทางไม่เกิด แต่ถ้าไม่มีการฝึก ยังไงมันก็จะต้องเกิด ถ้าคนฝึกหนักการเกิดนั้นจะสั้นลง แทนที่จะเกิด 20 นาที เป็นเกิดแค่ 1 นาที เพราะเราไปเห็นการเกิด สำหรับผมการไม่เกิดนั้น ยากขั้นเป็นไปไม่ได้ แต่การเกิด ดับ สั้นลงยังคงทำได้อยู่ แต่ไม่ได้ฝึกแบบเคร่งครัด สติจึงไม่ได้มีอยู่ตลอด คนที่ฝึกรู้ สติ คงเข้าใจ คนรู้มาก ฉลาด ไม่มีสติควบคุมก็เหมือนกับ Auto pilot
*คำถามทุกครั้งในหัวผม ถ้าไม่เกิด แล้วจะเอาอะไรกิน คำถามนี้เป็นตัวบงชี้ว่า ผมยังยึดติดมากๆ ง่ายๆที่เป็นแบบนี้เพราะ เราไม่สามารถรู้แจ้งได้ เราถึงออกจากคำถามพวกนี้ไม่ได้
ปล. เราแค่ตั้งสมมุติฐานนะ ทุกอย่างเพื่อเชื่อมโยงคำสอนที่เป็นไปได้ อยากจะได้รู้จริงเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้คำภีมันก็โดนแก้ไปเยอะจนไม่รู้จะเชื่ออะไรดี พยายามฟังเยอะๆ เข้าไปโหลดพระไตปิฎกมาก็อ่านไม่ออก ถึงอ่านออกก็ไม่รู้เชื่อได้แค่ไหน ตามที่พระพุธองค์สอนไว้อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลอง แต่พอลองแล้วก็ดันเจอเรื่องประหลาดอีก เห็นแสงตอนนั่งสมาธิ (ไม่ใช่ภาพขาวๆนะ แต่มันเป็นแสงเหมือนสป็อตไลสาดเข้าหน้าอ่ะ จ้ามาเป็นริ้วแสงเลย ไม่ใช่จ้าอยู่แล้วนะ แต่มันเหมือนช่วงเปิดสาดใส่หน้าเรา) ร่างกายยืดหดเป็นเยลลี่ บางคนก็บอกว่านั่นเป็นพฤติกรรมของสมองตอนเริ่มจะเข้าเป็นฝัน แต่ผมก็ไม่ทิ้งทั้ง 2 แนวทางนะ เพราะเชื่อว่า ที่มันไม่ธรรมดาเพราะเราไม่รู้
ขออนุญาติแชร์...
เป็นการเรียบเรียงมานำเสนอที่ดีมาก ชอบๆๆ ฟังเข้าใจง่าย
ที่ชอบที่สุดคือ การวางตัวไม่ได้เป็นผู้รู้มาก มาอวดตัว ยังกะ พระสาลีบุตรมาบรรลือสีหนาท อยู่ตรงนี้เลย
ขอบคุณครับ เป็นการตีความที่เข้าใจง่ายดี
อันที่ แกว่า ดับตัวอวิชชา นั่นน่ะ ถูกต้อง แต่ ที่แกว่า เจาะจิตไปจัดการอวิชชาให้น่ะ มันทำไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทำแบบนั้นให้ใคร ท่านสอนให้แต่ละคนทำเอง และ ไม่ใช่แค่ชาติสองชาติ อย่างพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญมา ยี่สิบอโสงไขแสนกัป อันนี้อะไร ครึ่งชั่วโมงจากคนธรรมดาโดดไปอรหันต์😅
ขอถามครับ 20 อโสงไข คือเวลากี่ปี และหากมันนานขนาดนั้น ตอนที่โลกยังไม่กำเนิด หรือแม้แต่จักรวาลนี้ยังไม่กำเนิด พระพุทธเจ้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนครับ หรือว่าไปอยู่อีกจักรวาลหนึ่ง
หรืออีกมัลติเวิสหนึ่ง
@@moos81 4 อโสงไขย โลกแตกดับหนึ่งรอบ ระยะก่อตัว ระยะตั้งอยู่ ระยะกำลังแตก ระยะแตกอยู่ วนไป ระยะกำลังก่อตัว … ลองไปอ่านเพิ่มในพระไตรปิฏก ถามแบบนี้แสดงว่ายังไม่ได้ศึกษา พิมพ์ “ 84000 อสงไขย ” ศึกษาซะก่อน คำตอบมีในนั้น อยู่แล้ว
ผมว่าจักรวาลกว้างใหญ่ และล้ำลึกเกินกว่าที่เราจะจินตนาการ
คำว่าอสงไขย ถ้าเทียบกับคณิตศาสตร์ก็คือ เทคลิมิตเข้าสู้อินฟินิตี้ ความหมายของมันก็คือมากมายประมาณมิได้
ผมคิดว่าอย่าไปสนในตัวเลขที่เขายกมาอ้างอิง เพราะแต่ละตำราก็ไม่ตรงกันเท่าไหร่ ไอที่ลูบภูเขาบ้าง นับเมล็ดผักกาดบ้าง นับหยดน้ำบ้าง คิดซะว่ามันคือการยกตัวอย่างให้ดูมากประมาณมิได้
สิ่งที่คุณต้องการรู้คือเวลามากกว่า
1อสงไขยปี ในคำอธิยายอรรถกถา ก็คือจำนวนปีอายุชีวิตของมนุษย์เริ่ม1แสนปีทุกร้อยปีอายุชีวิตจะสั้นลง1ปีจนถึงเหลือ10ปีแล้วก็จะเพิ่มเป็น1แสนปี รอบวงจรนี้เรียกว่า อสงไขยปี ก็เปรียบดังชั่วงเวลาของของสายพันธุ์ทรงภูมิปัญญาสายพันธุ์หนึ่งที่ดำรงอยู่จนไปถึงระดับอารยธรรมประเภท3หรือ4(Kardashev Scale)อายุเป็นแสนปีต้องมีวิทยาการสูงมากเพื่อยืดชีวิตได้ระดับนั้น ผมคิดว่านีคือ1อสงไขยปี
1อสงไขยปี = อันตรกัปล์
อันตรกัปล์ก็คือ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดของมหากระจุกกาแล็คซี่(ต้องมีกาแล็คซี่ระดับแสนแห่งในกระจุก)
256 อันตรกัปล์ = 1มหากัปล์ หรือที่เรียกว่า กัปล์เฉยๆ ตามเขาเรียกกัน
ก็เทียบง่ายๆเลยคือ1รอบของจักรวาล ตั้งแต่ บิ๊กแบงจนจบ บิ๊กคลั๊นช์
อีกข้อ มนุษย์ในทางพุทธ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะ โฮโมซาเปี้ยน สปีชีส์เดียวนะ ต้องนับเผ่าพันธุ์สรงภูมิปัญญาทั้งหมดสามารถเรียกว่ามนุษย์ได้
พระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมี 20อสงไขย 1แสนกัปล์ 1แสนกัปล์ก็จักรวาลเกิดดับ1แสนรอบ
ความเห็นส่วนตัว อาจจะไม่ถูก เพราะบางแหล่งข้อมูลเอาตัวเลขมาคำนวน ถ้าใช้ตัวเลขคำนวนมันมากเวอร์เลย อสงไขยเท่ากับ 10 ยกกำลัง 140 นู้น ถ้าคิดเป็นปี มันมากกว่าอายุจักรวาลเกิดดับ1รอบอีกมั๊ง
เรื่อง อสงไขย เราไปคำนวณไม่ได้หรอก หากจะตอบก็ตอบตามที่มีในพระไตรปิฏก คุณสามารถเข้าไปศึกษาได้ โดยพิมพ์ “ 84000 อสงไขย ” ส่วนผมตอบคร่าวๆว่า 4 อสงไขย เท่ากับ โลกแตกหนึ่งรอบ ระยะก่อตัว ระยะตั้งอยู่ ระยะกำลังแตก ระยะแตกอยู่ วนไป ระยะก่อตัว … มันจะนับปี เท่าไหร่ ก็ลองศึกษาดูนะ มันมีคำตอบอยู่ ส่วนที่ว่าพระพุทธเจ้าไปอยู่ไหน ตอบว่า ก่อนหน้านั้นแกก็เป็นคนธรรมดาแบบเรา เป็นสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดแบบเรา แต่ท่านบำเพ็ญตน ไปเรื่อยๆ จนครบ 20 อสงไขย อย่างน้อยแสนกัป แล้วเกิดที่ไหนบ้าง ก็ตามภพภูมิต่างๆ นั้นแหละ ส่วนในระยะที่โลกยังไม่ตั้งอยู่ สัตว์โลกไปอยู่ชั้นพรหม กันหมด ส่วนสัตว์นรก หรือ พวกที่ไม่มีบุญพออยู่พรหม ก็ไปนรกของจักรวาลอื่นๆ และ โลกมนุษย์ของจักรวาลอื่นๆ พระพุทธเจ้าว่าไว้ว่า จักรวาลหนึ่งมีโลกมนุษย์อยู่ 4 (โลกมนุษย์1 โลกมนุษย์ทิพ3)
คำตอบนี้อิงจากในพุทธศาสตร์ นะ ไม่ได้อิงจากวิทยาศาสตร์
…
ถ้า25000ทำให้ถึงได้ก็ยินดีด้วย(ถ้าทำได้อะนะ) ส่วนเขาจะรู้ได้ยังไงว่าใครบรรลุอรหันต์ทั้งที่ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นสัมมาสัมพุทธถึงจะรู้ได้100%(ไม่ได้เกิดจากการคาดเดา) แถมการจะบรรลุธรรมมันขึ้นกับอินทรีย์ของคนๆนั้น ไม่งั้นทุกคนที่สัมมาสัมพุทธสอนก็คงบรรลุอรหันต์หมดแล้วแต่ก็ยังมีบุรุษ4คู่ครบ แต่จะทำไงได้ในเมื่อสัมมาสัมพุทธก็ให้พึ่งตัวเองและธรรมที่ถูกต้องของพระองค์ เพราะนั้นคือที่พึ่งที่ดีที่สุดแล้ว
สาธุครับ❤❤❤❤
เคยเห็นหน้าใคร ครั้งแรกแล้วอยากเอาไม้ฟาดหน้ามันไหมครับ นั้นละคือโชคชะตา ที่เกิดจากรรมในกาลก่อน แต่ เราเลือกที่จะทุบมันหรือจะปล่อยผ่าน นั้นละคือเจตจำนงค์เสรี มันคือกรรมที่จะกำหนดโชคชะตาในอนาคต😅
ขอบคุณสำหรับสาระธรรมดีๆครับ มีประโยชน์มากๆเลย
พระพุทธองค์ตรัสว่า อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ ไม่มีผู้ใดช่วยใครได้ แม้แต่พระพุทธองค์เอง มนุษย์เราทุกคนล้วนมีกรรมเป็นแดนเกิด พระพุทธองค์ทรงทำได้เพียงชี้แผนที่ว่าขุมทรัพย์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน เหล่าสาวกทั้งหลายพึ่งปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์เทอญฯ..ผมเองก็กำลังปฏิบัติอยู่ครับ ฝึกอยู่ อดทนอยู่ ฝึกเจริญสติอยู่กับลมหายใจ..อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะครับ 😊🙏🏻
สาธุครับ.😊
สุดยอดแล้วครับบรรยายได้ดีครับ ขอบคุณมากนะครับ
ผู้บรรยายเข้าใจลึกซึ้งมากนะครับ
ขอขอบคุณ
ขอบคุณครับ
อนุโมทนาบุญค่ะ
คุนอธิบาย❤😊ใด้สุดยอด❤😊นับถือๆ
"ธรรมอธรรมมิอาจแยกแยะ"
พอฟังคลิปนี้
ประโยคนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเลยครับ
ในความว่างเปล่านั้น พลังงาน-แรงโน้มถ่วง-สสารมืด ไม่ได้เกิดขึ้นใหม่แต่มีอยู่แล้วในจักรวาล เมื่อมีปัจจัยให้พลังงานรวมตัว สสารทุกอย่างจึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ นับอสงไขย แล้วดับไปตามกาลเวลา ดวงจิตคือพลังงานที่รวมตัวด้วยเหตุปัจจัย มีจุดศูนย์กลางของทรงกลม พลังงานต้องการที่อยู่คือร่างกายของสิ่งมีชีวิต จิตจะมีแสงสว่างน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับการพัฒนาด้วยพฤติกรรมแห่งการกระทำ ทำไมทุกสิ่งต้องแตกดับ เพราะเดิมทุกสิ่งไม่เคยมีอยู่จริง เพียงแต่มีปัจจัยให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วจึงต้องดับไปเท่านั้น ยกเว้นดวงจิตคือพลังงานของโลกซึ่งไม่ได้ดับไปด้วยเพราะมีอยู่แล้วในจักรวาล เพียงแต่เปลี่ยนรูปไปเพื่อรอร่างใหม่ในภพต่อไป เสมือนไฟฟ้า เรามองไม่เห็นจนกว่าจะมีแหล่งกำเนิดที่เป็นหลอดไฟใหม่นั่นเอง ดวงจิตทุกดวงจึงวนเวียนอยู่บนโลกใบนี้จนกว่าจะบรรลุนิพพานเป็นพลังงานที่ไม่มีปัจจัยให้ก่อกำเนิดอีกต่อไป
พิสูจน์ ง่ายๆว่าจริงไหม ท่านบอกทุกอย่างไม่ว่าไรคือความทุกข์อะจริงไหม?คิดตาม มันก็จริงของท่าน ไม่ว่าความรัก รึอะไร สิ่งของที่รักที่ชอบ สุดท้ายก็จาก ก็มีเบื่อ รึไม่จริงว่ามาเลยใครจะเถียงสิ่งนี้ได้??? ถ้าละสิ่งพวกนี้ไม่ได้ก็วนตายตายเกิดไปเรื่อยๆอย่างงี้ เพราะลืมทุกอย่าง???😅
ลึกซึ้งทุกคลิปเลยครับ ทุกคำที่เรียบเรียงมาเข้าใจง่ายกว่าสิ่งที่เคยได้ยินมาตลอดชีวิตแต่กลับไม่เข้าใจ ขอบคุณครับสำหรับคลิปดีๆ
ดีครับ เป็นคลิปคำสอนที่ถูกหลักศาสนาพุทธ
ขอบคุณมากๆเลยครับแอด
ต่างคนต่างนับถือศาสนา แต่พอเมื่อพูดถึงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง...กลับเลือกขึ้นหน้าชะงั้น
ตัวเราไม่ไช่ของเรา
ก็จริง ในโลกนี้มีแต่ของปอม เราหลงไปเอง ว่าตัวเราเป็นเราความจริงมันไม่ไช่ เราแค่มาอาศัยเท่านั้น เราก็เหมือนหอยสังข์ร่างกายก็เหมือนเปลือกหอย แตกสลายเราก็เข้าไปอยู่ไม่ได้ เพื่อนๆทั้งหลายเรายังจะเกิดใหม่ แต่ระวังห้ามมาเกิดชั้นที่เป็นธรมชาติ #พระพุธทเจ้าสละโลก# รู้ด้วยตนเอง
ชอบการอุปมา ของแอดมิน ชัดเจนต่อการเข้าใจ ❤
2:11 ไม่ใช่สิไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตน เพราะตนนั้นมีอยู่ ตัวตนนั้นมีอยู่ แต่การที่ว่าไปยึดถือเป็นตัวตนนั้นไม่ควร สำนวนคุณอาจจะใช้ผิดในคลิปนะครับขอบคุณครับ ...ในทำนองว่า เราไม่มีตัวละครเข้าไปเล่นด้วย อย่างนั้นควรเป็นสำนวนที่ถูกต้อง ...
การพูดที่ไม่มีตัวตนนั้นไม่ถูกต้อง
เขาพูดถูกแล้วครับท่าน คำว่า"เรา"คำว่า"คุณ"มันคือสมมุติเพื่อให้เข้าใจว่า ผู้นั้น ผู้นี้ เพราะจริงๆแล้วเราไม่มีตัวตนมาตั้งแต่ต้น แต่เราเองยึดตัวเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเราจึงติดอยู่ในภพในชาติแบบนี้
ไม่มีตัวตนนั้นถูกแล้ว หากจะแยกและแจกแจงอย่างละเอียดในความเป็นตัวตน
เอาอย่างผมเป็นตัวอย่าง
ผมคือคนๆนึง นี่คือภาษาเรียกแบบอิงภาพรวม
แต่ผมแยกออก มี2แขน มี2ตา มี2ขา มี1หัว มี1ลำตัว มี10นิ้ว ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท่า มี1จมูก มี1ลิ้น ตอนแรกเริ่มมีผมบางๆ ต่อมาผมดกดำ ต่อไปก็คือผมขาว หรืออาจจะอยู่ไม่ถึงจุดนั้น
ผมกิน ผมนอน ผมลุก ผมเดิน ผมขับถ่าย ผมหิว ผมหากิน และอื่นๆอีกมากมาย
อะไรล่ะ ที่มันคือตัวผม
ถ้าผมหยุดเดิน บางคนก็จะบิกว่านั่นคือผม แต่แค่หยุดเดิน ถ้าผมเดิน บางคนก็จะบอกว่านั่นคือผมที่ขยับหรือเคลื่อนที่
ผมจึงไม่ทำอะไรเลย เพราะคนเหล่านั้นบอกว่าผมก็คือผม (ลึกๆ เขาสรุปภาพรวมความเป็นตัวผมคือแค่ส่วนกายและใจเท่านั้น)
ทั้งๆที่ กายนี้ ผมไม่สามารถควบคุมอะไรมันได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง
ที่ขยับ ก็คือประสาทสั่งการผ่านการนึกคิดของสมองและสิ่งที่เรียกว่าจิต
กายนี้ ลอกออกในทุกๆวัน หลบเงาก็ขาว ออกแดดก็ดำ ตากฝนก็เปียก ลมพัดก็เย็น ห้ามความเย็นไม่ได้
กายนี้อายุสิ่งที่คนสมมติขึ้นมันทวีขึ้นไปเรื่อยๆ
แม้แต่ความนึกคิดนี้ ก็แปรเปลี่ยนไปตามการเวลา วันก่อนเราอาจจะคิดอีกแบบ แต่พอมาวันนี้ เรากลับคิดต่างออกไป และในอนาคต เราก็อาจจะคิดต่างจากเดิมในตอนนี้ แล้วอะไรที่คือตัวเราจริงๆ ในเมื่อกาย ก็ไม่ใช่ของเรา มันก็คือการรวมตัวกันของสสารหรือธาตุทั้งสี่
แม้แต่ใจ ก็ควบคุมให้คงที่แน่นอนไม่ได้ จิตใจนี้วิ่งตามแทบจะทุกสิ่งที่คิดว่าสิ่งนั้นหอมหวาน เย็นสบาย เกิดประโยชน์ แต่เมื่อเผชิญความทุกข์ก็รู้สึกทุกข์ ไม่ชอบ
แต่พอเวลาผ่านไป ก็สามารถดับทุกข์ในส่วนนั้นๆลงได้ เพราะรู้
ดับความสุขบางส่วนได้ เพราะรู้ แต่ก็จะมีความทุกข์ ความสุข ในรูปแบบอื่นๆ ที่ใจมันอยากหยิบจับอีกผุดขึ้นมาในเวลาต่อไปเรื่อยๆ
ชีวิตเราไร้แก่นสาร ไร้จุดหมาย
มันไม่มีทางออกที่มองเห็นฟรือแน่นอนตั้งแต่แรก แม้แต่ความตายก็ไม่ใช่ทางออก และเห็นเป็นแค่ลางๆเท่านั้น
จริงๆแล้ว เรา คือ เรา จริงๆหรือ?
แม้แต่จิตก็แตกดับ
จิตที่ถอดอาพรไปอาพรใหม่หลังจากตาย คือ การเปลี่ยนภพชาติใหม่ จากชีวิตเดิม ตัวตนจิตเดิม ไปอยู่ร่างใหม่ หลังจากตาย
นั่นเป็นความเชื่อของพราหมณ์
ซึ่งนั่นไม่ใช่ที่สุดของชีวิตหรือที่สุดแห่งทุกข์ เพราะยังมีคำว่าตัวตนอยู่ ยังมีตัวตนในระหว่างโลกทั้งสอง ยังมีตัวตนในระหว่างธรรม หรือความจริง
ระดับนั้น เรียกว่า พรหม ไม่มีตัวตน แต่ยังมีความรู้สึก นึกคิดอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอมตะอย่างที่คนสมัยก่อนเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านแย้งในหลักการนี้กับเหล่าพราหมณ์ดั้งเดิม
มันมีขั้นที่ไม่ได้สูงกว่า และไม่ได้ต่ำกว่า หรือไม่มีขั้นให้เทียบได้เลยอยู่ นั่นคือ นิพพาน
สิ่งนี้ คือสิ่งที่เหมาะกับคำว่าอมตะที่แท้จริง
เพราะคุณต้องใข้ธรรมะเพื่อให้หลุดออกจากธรรมมะ ใช้ความจริง เพื่อให้ไม่ต้องมาเกิดในกฎของความจริงในสิ่งทีาเป็นอยู่นี้อีก
ความจริงในแบบที่ว่านั้นคืออะไร ต้องศึกษาเอง ปฏิบัติเอง พิสูจน์เอง
ช่องนี้งานไวจัด ขอบพระคุณมากครับ❤
แอดอาจจะเป็นปีศาจ🤣
ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ เสียงน่าฟังมากเลยค่ะ
แก่นแท้ล้วนๆเลยนะครับ.....อธิบายได้สุดยอดเลยครับ (ต่อไปขอแนวทางปฏิบัตินะครับ)
จบ ป.6 แต่เก่งขนาดนี้ ขอชื่นชมเลยครับ ผมก็ป.6เหมือนกัน
ลึกซึ้งมากอันนี้ฟังตอนจะจบ
ถ้าแอดจบ ป6 แล้วเข้าใจธรรมะขนาดนี้ ผมว่าเก่งกว่าผมที่จบ ป ตรีนะครับ สาธุ
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
ไวมากเลยครับ
คิดว่านี่คือ โอกาส ที่คนส่วนใหญ่จะได้มาแสดงความ ฉลาดจากการแสดงความคิดเห็น กัน ครับ 😆 รู้อยู่ละจะถามทำไม จริงมะครับ ถ้าผมตอบว่าเห็นด้วย คนส่วนใหญ่ คงชอบ ที่ได้พูดเหน็บคนโง่ ๆ จริงมั้ยครับ ละจะถามไปเพื่ออะไร
ตามความคิดของผม มันจะมีระบบอย่างนึงที่จะคอยรับข้อมูลต่างๆแล้วประมวลผลออกมาตามข้อมูลที่ได้รับ แล้วส่งต่อผลลัพธ์นั้นกลับไปหาแหล่งที่ได้รับมา ส่วนกรรมที่เราได้กระทำนั้นเมื่อมันเกิดขึ้น มันจะถูกเข้ารหัสแล้วจัดเก็บไว้ในขันธ์ทั้งห้าของเราตามหมวดหมู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงหนีมันไม่พ้น และเมื่อเราตายลงในขณะที่ขันธ์ทั้งห้ากำลังเริ่มแยกตัว ข้อมูลเหล่านี้จะถูกคลายออกมาแล้วมารวมตัวกันเป็นข้อมูลแล้วถูกส่งไปหาระบบเพื่อประมวลผล และถูกส่งกลับมาในรูปของแรงกรรม แล้ววิ่งไปพร้อมกับจิตเพื่อไปสู่ชาติภพใหม่ นั่นทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงกล่าวถึง กายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม เพราะเมื่อเราคิด เราพูด เรากระทำมันจะถูกบันทึกไว้ในตัวเราทันทีและเริ่มส่งผลมีทั้งแบบส่งผลทันทีและส่งผลช้า
น่าจะใช่ครับ😊
พิสูจน์ ง่ายๆว่าจริงไหม ท่านบอกทุกอย่างไม่ว่าไรคือความทุกข์อะจริงไหม?คิดตาม มันก็จริงของท่าน ไม่ว่าความรัก รึอะไร สิ่งของที่รักที่ชอบ สุดท้ายก็จาก ก็มีเบื่อ รึไม่จริงว่ามาเลยใครจะเถียงสิ่งนี้ได้??? ถ้าละสิ่งพวกนี้ไม่ได้ก็วนตายตายเกิดไปเรื่อยๆอย่างงี้ เพราะลืมทุกอย่าง???😅
พระพุทธเจ้าจึง ละโลภ โกรธ หลง หยุดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีลูกเมีย เพราะการมีเมียและมีลูก ทำให้เกิดทุกข์ เมื่อสร้างให้ลูกเกิดมาก็ต้องมาเจอความทุกข์บนโลกนี้ เมื่อเกิดมาก็สร้างทุกข์กันต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดมาแล้วก็จะเอางั้นงี้ บางคนเกิดมาก็เจ็บป่วยใข้ ไม่สมหวังในชีวิตก็เป็นทุกข์ อย่างเช่นที่เห็นในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าจึงตัด วงจรนี้ ให้หยุดแค่ตัวท่าน แต่หลายๆคนบนโลกนี้ก็ละโลภ โกรธ หลง ไม่ได้จึงสร้าง วงจร การเกิดแก่เจ็บตายกันอยู่เรื่อย จึงมีแต่ทุกข์ไม่จบสิ้น
การสร้างการกำเหนิด คือการมีทุกข์
ชอบมาก ฟังไปพิจารณาไป
ขอให้ได้เกิดมาในพุทธศาสนาทุกภพทุกชาติด้วยเถิด....ถึงชีวิตนี้จะมีโชคร้ายบ้างแต่สิ่งที่โชคดีที่สุดคือเกิดมาเจอพุทธศาสนา
กรรม = เหตุ+ผล //และที่สำคัญ การยอมรับในตัวตนของท่านเอง หรือโชคชะตานั้นยากซะเหลือเกินที่จะเข้าใจและยอมรับได้ ละได้ก็เลิกได้ง่ายนิดเดียวแต่ทำยากสุดๆเลย😂
เป็นคลิปที่ดี สาธุ
ขอบคุณครับ
❤😊นามรูปเจ้าของเสียง...คุนคงมีความรู้ระดัดพระอรหัน❤😊สุดยอด
ไม่มีเราเขาในกายทำสมมุติให้เป็นสมมุติคือดับขัน5 นั้นละดับที่เหตุ สาธุ ้อยู่เหนือกรรม ไม่กลับมาเกิดอืกเหนือกรรมอีก รู้สมุทัย
พระองค์สอนฟรี❤😊
บางครั้งทั้งๆที่รู้..และพอเข้าใจ..แต่คำว่า แต่ มักแทรกมาในกระบวนการคิดของฉันเสมอ..และในหลายครั้ง ..ฉันก็ไม่อยากที่จะแต่เลย😂
ทันเหตุการ์ณมากแอด😊😊
กําคือ อนุสัย ของสัตว์ หมายถึงคความเคยชิน
เรื่องของกรรมมันเกินปัญญาของมนุษย์ คือมนุษย์คิดเองเรื่องของกรรมไม่ได้ต้องอาสัย ปัญญาของ สัพพัญญู ผู้รู้ทุกอย่าง ต้องถามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
ขอบคุณที่นำ Seeker to Seeker มาเผยแพร่เป็นเวอชั่น ภาษาไทย ครับ
ผมมองว่ากรรมไม่ได้ทำงานแบบตรงไปตรงมาครับ แต่จะทำงานแบบเป็นถนนลู่เข้าไปเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เราก็ยังสามารถเดินหลบหลีกเป็นเส้นทางต่างๆได้หากมีสติและปัญญา หลักการทำงานที่ผมเข้าใจอยู่ต่อจากนี้ครับ >>>
จุดเริ่มต้นคือการกระทำต่างๆของเราทั้ง กาย-วาจา-ใจ ทุกกระทำที่มีเจตนาเป็นองค์ประกอบ จะถูกบันทึกลงในจิตส่วนที่ลึกอย่าง "จิตไร้สำนึก" ของเราเองโดยที่เราควบคุมหรือเข้าถึงโดยตรงไม่ได้ โดยการบันทึกจะอยู่ในรูปแบบการบีบอัดเหมือนเวลาเทรน AI สภาพจิตนั้นก็จะลู่ไปในทิศทางต่างๆตามการปรุงแต่ง(บันทึก)
คราวนี้ระดับความเข้มของการปรุงแต่งจะขึ้นอยู่กับ
ก. ปรุงแต่งนานไหม ถ้านานก็ย่อมซีดลง ถ้าใหม่ๆก็ย่อมเข้ม (นั่นเป็นเหตุว่าทำไมจิตสุดท้ายก่อนตายย่อมส่งผลมาก) ยิ่งถ้าวนเวียนปรุงแต่ก็ยิ่งเข้มขึ้นๆ
ข. สิ่งที่ปรุงแต่งนั้นหนักหนาไหม ถ้าหนักหนาก็ย่อมเข้ม เช่น ทำกรรมหนัก หรือ ทำบุญใหญ่แล้วใจรู้สึกในใจว่าเป็นกุศลอย่างมาก
*** แต่การปรุงแต่งนั้นเหมือนทาสีทับๆไปเรื่อยๆ การที่เราเห็นสีสุดท้ายเป็นสีขาวไม่ได้หมายความว่าข้างใต้จะไม่มีสีดำ
ที่นี้การส่งผลนั้นจะส่งผล 2 อย่างคือ
1. ส่งผลในชาติปัจจุบัน ผ่านพฤติกรรม แนวคิด ความเชื่อ การตัดสินใจ อารมณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อตัวเราที่จะพาไปสู่สถานการณ์ต่างๆโดยตรง
2. ส่งผลในชาติถัดๆไป เพราะจิตสืบเนื่องและส่งต่อคุณสมบัติที่ถูกปรุงแต่ง เมื่อจะไปเกิดจิตสุดท้ายจะเหนี่ยวนำไปยังสภาวะการเกิดต่างๆที่เข้ากันได้กับสภาพปรุงแต่งในจิตสุดท้าย เหมือนกับว่าในขณะที่มีร่างกายเราไปที่ต่างๆผ่านจิตที่ควบคุมร่างกายมให้เดินทางไป แต่เมื่อไม่มีร่างกายจิตก็เหนี่ยวนำไปยังสภาวะต่างๆได้ทันที
สภาวะการเกิดนั้นประกอบด้วย
A. ภพภูมิ คือ มิติของการเกิดมี 31 มิติ
B. สภาพแวดล้อมในการเกิด เช่น สถานะทางการเงิน ความอบอุ่นในครอบครัว ทัศนคติของผู้คนรอบข้างหรือที่มีความข้องเกี่ยว สภาวะสงครามในภูมิประเทศนั้นๆ ค่านิยมความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม
C. องค์ประกอบของร่างกายอย่าง สภาพความสมบูรณ์ของร่างกาย รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ พละกำลัง ความแข็งแรง โรคทางพันธุกรรม ระดับไอคิว/อีคิว พื้นฐานทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่ถูกส่งต่อมา
มันเหมือนกับว่าเราเลือกหนังที่เราเข้าไปแสดงโดยที่ไม่รู้ตัว หากเราเข้าไปในหนังสงครามและเป็นช่วงที่กำลังรบกันประกอบกับพฤติกรรมพื้นฐานของเราที่สติแตกง่าย เราย่อมมีโอกาสถูกอีกฝั่งยิงตายสูง ดังนั้นกรรมทำงานเหมือนกับการวางกับดักใน space-time ของเรา โดยตัวเราเองนั่นแหละที่เป็นคนกำหนดโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราอยากจะรอดไม่ถูกยิงเราก็แค่มีสติระแวดระวังใช้ปัญญาพิจารณาเราก็สามารถหลบหลีกได้(นี่ละคือเจตจำนงเสรี มันเลือกได้ ตัดสินใจได้) แต่ถ้าเราทำกรรมไม่ดีมาเยอะมากมันก็เหมือนวางกับดักรอบตัวทุกทิศทุกทางมันก็เหลือทางรอดน้อยมีโอกาสโดนเยอะ
*** ถ้ามองแบบนี้ผลของการกระทำและเจตจำนงเสรีคือสิ่งที่ไปด้วยกันได้ครับ ***
พระที่จะนิพพานเขาจะเอาเงินไปบริจาคหมดไม่ยึดติดเงินและไปอยู่ป่าคนเดียวเพราะไม่อยากสร้างกรรมกับใคร ใครคิดคอร์สแพงๆคงไม่สามารถสอนใครให้นิพพานได้ ขนาดตัวเองยังกิเลสหนาเตอะ
ขอแค่คิดดีทำดี😊
ความยุติธรรมคือ 1ต่อ1 เช่น ไปฆ่าคนตาย 1 คน พอตายไปต้องไปรับโทษในนรก ต้องรับโทษโดยการถูกฆ่าเพียงแค่1ครั้ง แต่ที่เคยฟังเรื่องนรก-สวรรค์มามันไม่ใช่แบบนั้น ฆ่าคน1คนต้องไปชดใช้ในนรกโดยการถูกฆ่าวนๆซ้ำๆไปเรื่อยๆ อาจจะเป็น 1:100 1:1000 1:แสน แบบนี้มันไม่เรียกว่าลงโทษโดยความยุติธรรม มันเรียกว่าลงโทษตามความเหมาะสม เหมือนกับการไปขโมยเงิน 100บาท โดนจับได้ก็ลงโทษโดยให้เงินคืน100บาทเรื่องจบ ถ้าทำแบบนั้นมันไม่หลาบไม่จำ ต้องปรับกี่เท่าๆ ก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม ฉะนั้นกฎแห่งกรรมไม่ได้ลงโทษด้วยความยุติธรรม แต่กฎแห่งกรรมลงโทษตามความเหมาะสม
แต่ผิดที่มนุษย์ไม่รู้นี่สิ
เพราะมนุษย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติก็ไม่สามารถเห็นได้ และมนุษย์ไม่คิดปฏิบัติเพราะไม่รู้เนื่องจากเรียนรู้มาจากตัวหนังสือทั้งนั้น ดังนั้นคนที่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นคนที่มีบุญมากเพราะท่านสามารถตอบโจทย์ได้หมดทุกอย่างทำให้บุคคลนั้นเชื่อและปฏิบัติ ความเชื่อก็สำคัญมากที่สุด
เรียนสูงแค่ไหนไม่จำเป็นเลยกับตรัสรู้.....ยิ่งรู้เยอะยิ่งบัง....🎉
การเกิดใหม่ของดวงจิตมีจริง เพราะมันเกิดจากสภาวะขันธ์ 5 ดวงจิตของคุณปราถนาการเกิดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง เมื่อใดที่คุณไม่รู้สึกอยากเกิดนั่นแหละ คุณเริ่มจะออกจากสังสารวัฏ แต่มันยากเพราะคุณยังเสพสุขในการเป็นมนุษย์อยู่ ทั้งการได้ทานอาหารอร่อย ได้ฟังเสียงที่ชอบ ได้เจอคนที่รัก ได้ไปสถานที่ที่ชอบ นั่นแหละคือสิ่งที่คุณเสพจากขันธ์ 5 มันจึงยากที่คุณจะหลุดจากสิ่งพวกนี้ จึงปราถนาที่อยากจะเกิดวนซ้ำไป ไม่เชื่อคุณลองนั่งหลับตาแล้วถามจิตดูสิว่า คุณอยากตายไหม คุณก็จะกลัวตายมเพราะคุณยังรู้สึกอยากและเสียดายในสิ่งที่จะไม่ได้ทำ
ดวงจิตเกิดดับตามวงจรปฏิจจสมุปบาท(เขียนผิดขออภัยจำยาก)อยู่แล้ว
เมื่อภพชาติ(เรื่องราวนี้ๆ)จบก็ แปลว่าจบ หากเกิดกรรมใหม่ ก็เริ่มวัฏจักรปฏิจฯใหม่อีกรอบด้วยเรื่องใหม่
แต่ยังเป็นจิตเดิมนามรูปเดิมอยู่
ผมเข้าใจว่างี้นะครับ
ไม่ได้เปลี่ยนจิตดวงใหม่ แค่เปลี่ยนเรื่องใหม่เอง
ถกกันครับ
❤บังปล่อยวางบางก็ได้ครับ
นารีขี่ม้าขาว กับคนก่อนหน้านี้-เหมือนกัน ‼️คือถ้าเราไม่จ่าย-ก็ "ตกนรก ปอยเปต"…หมื่นแสนล้านภพ หมื่นแสนล้านชาติ นะคะ นะคะ นะคะ
สาธุ สาธุ สาธุ
ชื่นชมๆๆๆ
คลิปดีมากๆ เลยครับ ขอบคุณครับ
สุดยอดเลยครับ
ธรรมชาติของ จิต มักไหลลงสู่ที่ต่ำเหมือนน้ำ.
คิดยังไง มันก็จะจริงตามความคิดคุณนะครับ
แต่สำหรับผม ธรรมชาติของจิต มักเป็นไปตามเจตนาครับ
จะเป็นอนุสัยหรืออุปนิสัยใดๆก็ตามที่กระทำสม่ำเสมอ
ก่อนจะเกิดเป็นจิต ต้องผ่าน อุปนิสัย หรือ อนุสัยก่อน มันไปความเคยชินของเรา เราไปหยิบจิตนั่นมาเองตามความเคยชินไม่ใช่ไม่ใช่ว่ามันลอยขึ้นมาเอง แต่เป็นเพราะความเคยชินของเราเองเพราะไม่เคยสดับ คนที่เคยสดับกับคนที่ไม่เคยสดับ ก็เลยมีทางไปไม่เหมือนกัน
Infinity & randomness
เหตุการณ์หนึ่ง เป็นเหตุ
ให้เกิดอีกเหตุการณ์หนึ่ง
นิจนิรันดร์ไม่มีอยู่จริงครับ^^
นิรันดร์คืออะไรครับ ใช่อมตะไหม
มีอ้างอิงหรือเขียนเป็นหนังสือไหมครับ เขียนดีเหลือเกิน
สาธุ
ขยายความได้ดี.
เจริญพร...
25,000 หลุดพ้นได้😊
ผู้ที่นำเสนอคงรู้สึกแบบนั้นได้จริง หากเขาป่วยเป็นจิตเวชมีอาการหลงผิด😊
อาหารหิวเงิน ล่อลวงคนมากกว่าครับ 😅
คนสอน เค้าคือใครครับ อยากรู้ครับ
ของผมไม่เกิน 1500 หลุดพ้นได้สักพัก สายทริบเค้ารู้กัน😅
เรียบเรียงได้ดีครับ
ตอนเเรก 1.2kตอนนี้70k มาไกลมากครับ ใน5เดือน🎉
แล้วทำไมพญามารต้องมาขอให้ตถาคตเสด็จปรินิพพาน ตถาคตคือ bug ของระบบใช่หรือไม่ และพญามารคือผู้ควบคุมระบบใช่หรือไม่
อยากทราบว่าพระพุทธเจ้าหน้าตาเป็นแบบไหนครับแล้วบรรดาเหล่าเชื้อสายของพนะพุทธเจ้าที่มาถึงยุคเราทุกวันนี้ยังอยู่หรือเปล่าครับที่เราได้เหล่าเรียนและยำ้มาจนลูกหลานก็แค่พระพุทธเจ้าและพระราหู/พระอานนท์/แล้วลูกหลานของพระราหู/พระอานนท์/ประวัติทำไมไม่บันทึกหรือมีให้ศึกษากันเลย
แอดคงจะศึกษา อภิธรรม มาใช่ไหมครับ ?
แค่ได้ยินก็ขำแล้ว25,000บาทหลุดภพชาติ
ตามกระแส และช่างเปรียบเทียบได้ดี
ผเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง100%ครับ🎉
น่าจะมีทุกสิงเพื่อสร้างสมดุลโลกและจักวาลนั้นแหละ...ธรรมชาติให้ทุกสิ่งเท่าเทียมน้ำอากาศอาหาร ที่ต่างกันคือมนุษย์ยกย่องอวยกันเองมาจากบรรพบุรุษความต่างนั้นน่าจะขึ้นอยู่กับว่าใครขยันเสริมพลังให้จิตใจด้วยการขยันสร้างดีและสมาธิจะทำให้ใจมีพลังมากๆเพิ่มขึ้นเลื่อยๆ จงอย่าลืมพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช้ผู้สร้างโลกท่านเป็นผู้รู้ความลับออกจากวังวนแห่งทุก
ฝนตก แดดออก เมฆกลายเปนฝน , ปัจจยาการเหล่านี้มันมีตัวตนมั้ย
คลิปนี้ดี
ผมขอค้านเรื่อง กลับชาติมาเกิดหน่อยนะครับ ในหลักธรรมสอนของพระพุทธไม่เคยบอกว่ามี การกลับชาติมาเกิดเลย เกิดจากการแต่งเติมของคนในยุคนั้นๆ
จะมีได้ยังไงครับในเมื่อพระพุทธสอนไม่ให้เกิด
แต่ก่อนการสอนนี้พวกพรามเจ้าถึงกฎแห่งกรรมการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน
ก่อนที่จะมีพุทธศาสนา
กลับชาติมาเกิด ตามที่คุณเข้าใจ คือยังไงหรอครับ
ถ้าเป็นโลกุตระธรรมใช่ไม่มีใครเกิด แต่ถ้าพูดแบบให้คนเข้าใจพูดว่าไม่มีใครเกิดมันจะเข้าใจยากเกินไป สัมมาสัมพุทธก็พูดไว้2แบบอยู่แล้วทั้งโลกุตระและแบบทั่วๆไป
พิสูจน์ ง่ายๆว่าจริงไหม ท่านบอกทุกอย่างไม่ว่าไรคือความทุกข์อะจริงไหม?คิดตาม มันก็จริงของท่าน ไม่ว่าความรัก รึอะไร สิ่งของที่รักที่ชอบ สุดท้ายก็จาก ก็มีเบื่อ รึไม่จริงว่ามาเลยใครจะเถียงสิ่งนี้ได้??? ถ้าละสิ่งพวกนี้ไม่ได้ก็วนตายตายเกิดไปเรื่อยๆอย่างงี้ เพราะลืมทุกอย่าง???😅
@@You-xr5sc ระวังนัยยะที่บอก ว่าทุกอย่างคือความทุกข์นะครับ
จริงๆทุกอย่างคือ ทุกข์ ซึ่งความทุกข์ก็เป็นหนึ่งในทุกช์
ไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นความทุกข์ เพียงรากแท้ของมันคือ ทุกข์
ทุกข์ในที่นี้ พระศาดาอธิบายไว้ ว่าคือสิ่งที่แตกสลายเป็นธรรมดา
ฉะนั้น ก่อนที่จะไปละ ควรเห็นให้ตรงตามที่พระศาสดาสอน
แล้วเรื่อง ละ วาง อาจจะทำได้ง่ายขึ้นครับ
สุดยอดจริงๆครับ 555 ชอบๆครับ
ธรรมะที่จริงเป็นของง่ายๆหากเราศึกษาอย่างจริงจัง แต่มนุษย์ที่ขี้เกียจมากจะบอกว่าธรรมะเป็นเรื่องยาก แล้วก็ไม่ทำอะไรต่อจากนั้น แล้วโทษนั่นโทษนี่แต่ลืมโทษว่าตัวเองขี้เกียจ
😂😂😂
พระพุทธเจ้าพูดไว้ 2500 ปี ทุกวันนี้ ยังต้องครุ่นคิดอยู่เลย
เก่งๆ กะฃันทั้งนั้นเลยครับ
จริงไม่จริงนั้นไม่มีอะไรยืนยันได้ในทางวิทย์หรือในทางความรู้ระดับโลก แต่ใช้ว่าจะไม่สามารถพิสูนท์ได้เลยว่าจริงหรือไม่จริง นั้นก็มีหลักในการเข้าถึงความรู้อีกขั้นและจะได้รู้เองว่า กรรมชาติหน้ามีจริงไหม...แต่ทั้งนี้มันขึ้นอยู่ที่ว่าคุณทำจริงๆหรือถูกต้องไหม
ถ้าทำจริงทำถูกยังไงๆคำตอบคุณต้องได้รู้
เห็นต่างประเทศถกเถียงกันเรื่อง ชะตากรรม vs เจตจำนงเสรี ซึ่งในมุมมองคนพุทธแบบเรา เราคิดว่ามันไร้สาระ เพราะเรามองแบบพุทธเลยไม่ได้คิดว่าสองสิ่งนี้แยกออกจากกัน เพราะคำว่า กรรม คำเดียวเลย แล้วก็การคิดว่าชีวิตจิตวิญญาณมีการหมุนวนเกิดไปเป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนวัฏจักรของน้ำ หรือแร่ธาตุต่างๆในโลก
กรรมหรือการกระทำในอดีต(รวมถึงอดีตชาติ) เป็นสิ่งที่ส่งผลหรือมาให้ผลในปัจจุบัน หรือที่เรียกกันว่าชะตากรรม/โชคชะตา
แต่ในขณะเดียวกัน กรรมที่ทำในอดีตเหล่านั้นก็มาจากเจตนาหรือเจตจำนงเสรีในอดีตตอนนั้นเอง และในปัจจุบันแต่ละคนก็กำลังกาะทำกรรมทั้งขาว, ดำ และไม่ดำไม่ขาวจากเจตจำนงเสรีของตนเช่นกัน วนเวียนไปอย่างนี้เป็นวัฏจักรจนกว่าจะหาทางหลุดพ้นเจอ จนกว่าจะกระทำกรรมไม่ดำไม่ขาวเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้
ก็นั่นล่ะคำว่าชะตากรรมและเจตจำนงเสรีนั้นทั้งมีและไม่มีในมุมมองของพุทธศาสนา
อ.ทีดีเบตกันต้องมาดูคลิปนี้เข้าใจง่าย