คนทำกรรมและคนรับกรรมไม่มี เพราะโลกนี้มีความรู้2ด้านคือโลกียะและโลกุตตระ แต่กระบวนธรรม(The Law of Nature, Natural Process ,อิทิปปัจจัยตา )นั้นมีครับ ยังไงก็ต้องรับผลกรรมตามกระบวนธรรมนี้แน่นอนครับ เราจะเข้าใจคำว่าคนทำกรรมและคนรับกรรมไม่มีอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อ เราต้องเข้าใจธรรมขั้นโลกียะก่อนแล้วต่อไปเข้าใจถึงขั้นโลกุตตระ เมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจแบบแทงทะลุเหรียญทั้งสองด้าน(ทั้งโลกียะและโลกุตตระ)ครับ 🙏
กราบอนุโมทนาสาธุในการเผยแพร่ธรรมะครับ
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ยังมิได้สดับ ....
เขาย่อมตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง, ตามเห็นตน ว่ามีวิญญานบ้าง,
ตามเห็นวิญญาณ ว่ามีอยู่ในตนบ้าง, หรือตามเห็นตน ว่ามีอยู่ในวิญญาณบ้าง
ภิกขุ สักกายทิฏฐิ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้แล
................
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ ข้อที่ ๑๘๘
เราคือสัตตานังที่เข้ามายึด ขันธ์ 5 เพราะมีอวิชาเป็นปัจจัย มีตันหาเป็นเครื่องผูก จึงทำกรรมและรับผลแห่งกรรม เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
มั่วไปกันใหญ่แล้ว โลก+อินทรีย์ = โลกียะ พระพุทธองค์ท่านหมายถึงกายที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ นี้มีการเกิด-เจริญเติบโต-แก่-เจ็บ-ตาย เรียกว่า "วัฎสงสาร"
รูป ถ้าเป็น โลกียะ หมายถึงรูปกาย หรือเรียกว่า "กายรูป"มีตัวตน สัมผัสได้ส่องกระจกเห็น ถ้าเป็น โลกุตร รูป หมายถึง "นามรูป" เกิดที่ในใจ หลับตาก็มองเห็น
ส่วน โลก+อุดร = โลกุตระแปลว่าเหนือโลก หมายถึงใจ ประกอบด้วยขันธ์ 5 คือ 1. รูป(นามรูป คือรูปที่เกิดในใจหลับตาเห็นภาพ) 2.เวทนา 3.สัญญา 4.สังขาร 5.วิญญาณ ทั้งหมดไม่มีตัวตน จิตเป็นผู้สร้างขึ้นทำให้เกิดทุกข์ สุข ในใจเป็นการเกิดแบบที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "โอปปาติกะ"เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่า "วัฎสังขาร" ธรรมคลี่สุข. สาธุฯ.
อนัตตาที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงนั้น มิใช่ธรรมชาติ-อยู่นอกตัว ที่เป็นวัตถุทั้งปวง.. กรรมติดตัว-กรรมเก่า..นั้นเป็นของฮินดูเขา กรรมของพระพุทธเจ้านั้น เป็นเรื่องเหตุ-ผลเท่านั้น..ครับ
ของพระคุณ อจ นะคะ ให้ บุญรักษา อจ ทวีศักดิ์ มีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
อนัตตา ไม่ใช่ ไม่มี
อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน
ธรรมะเป็นสิ่งที่คิดเอาไม่ได้ นะครับ
สัตว์ที่ยังยึดติดอยู่กับขันธ์ 5 คือผู้ทำกรรมและรับกรรม ส่วนสัตว์ที่ปล่อยวางขันธ์ 5 ได้ไม่ต้องรับกรรม เพราะขันธ์ 5 คือก้อนแห่งกรรม ถ้าปล่อยวางมันได้ กรรมก็ไม่มีครับ
ปล่อยวางขันธ์5 กายใจ เหลือแต่ธาตุรู้ ที่ไม่มีตัวตน ไม่เวียนว่ายตายเกืด กรรมก็ไม่เข้าถึง ถ้ายังไม่นืพพาน กรรมก็ถึงแต่กาย ไม่ถึงใจครับ
กายทิพย์ตายจึงเหลือแต่กายธรรมไม่เกิดอีกต่อไป
พระโมคคัลลานะปล่อยวางขันธ์5นานแล้ว ถูกโจรห้าร้อยทุบตีจนเละ
ชีวิตคือขันธ์5
พระอรหันต์ตอนยังมีชีวิตก็ยังมีขันธ์5 แต่ไม่มีอุปาทานในขันธ์5
ตราบใดยังมีขันธ์5ตราบนั้นยังต้องรับวิบากกรรม แม้พระอรหันต์ก็ไม่เว้น แต่เวทนาทางใจไม่มี เพราะสิ้นแล้วซึ่งเจตนาปรุงแต่งสังขตธรรมในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสธรรมารมณ์ เมื่อไม่ปรุงแต่งก็ไม่มีวิญญาณ เมื่อวิญญาณไม่มีก็ผัสสะไม่ได้ เมื่อผัสสะไม่ได้ก็ไม่มีเวทนา(เวทนาเป็นสังขตธรรม)
คงมีแต่ ธาตุดินมันแตก ธาตุน้ำมันรั่ว ธาตุไฟมันร้อน ธาตุลมมันกระพือ ไม่มีเวทนาในเรา ไม่มีเราในเวทนา เราไม่ได้คือเวทนา เวทนาไม่ได้เป็นเรา ที่จริงเราไม่มี เรามีปรากฏขึ้นเพราะมีเหตุ เมื่อละเหตุได้แล้วเราก็ไม่ปรากฏ อุปาทานเป็นเหตุ เพราะอุปาทานจึงชอบอาลัย เพราะอาลัยจึงชอบแช่ในขันธ์5 ชอบเข้าหา รีบเข้าไปอาศัยในหูในตาในลิ้นในกลิ่นในผิวหนัง แล้วตัวเราจะไม่ปรากฏเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
ตัวตนแท้ๆเพรียวๆไม่มี มีแต่รวมนั้นรวมนี้แล้วตัวตนจึงเกิดมี ตัวเรานั้นไม่มีเพราะรวมนั้นรวมนี่เข้า ตัวเราจึงปรากฏมี
สังขารแสดงออก วิสังขารก็ไม่ปรากฏ
วิสังขารแสดงออก สังขารก็ไม่ปรากฏ
ชชคคค
ทั้งอัตตาและอนัตตาต่างเป็นสิ่งที่จิตรู้เนื่องเพราะจิตยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์เท่านั้น
ที่ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตาก็เพราะว่ามันไม่เที่ยง ไม่คงทน ไม่คงอยู่ ในที่สุดก็ไม่เหลืออะไร
ไม่มีแก่นสารอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นเพราะในที่สุดก็ไม่มีทั้ง อัตตาและอนัตตา
555
เมื่อเข้าถึงอนัตตาก็หมดแล้ว เพราะไม่มีตัวตนหาไม่เจอ ง่ายๆอย่างน้ำแข็งหนึ่งก้อนสักพักจะอนัตตาไร้ตัวตน
สรุปแล้วใครเป็นผู้รับบุญรับบาป? ฝังแล้วหาจุดนั้นไม่เคลีย ไม่มีระบุถึง ภวังคะ ตัวบากฐาน ที่เก็บ ที่ก่อ ที่ส่งต่อ ? ไปอาจารย์เสถียน โพธินันทะ สั้นๆแต่ ชี้สภาวธรรมได้ถูกต้อง เข้าใจและเห็นภาพ ที่เกิด ที่ตั้งอยู่ ที่จบ
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัติให้ถึงพระโสดาบันพระสกิทาคามีพระอนาคามีพระอรหันต์คือท่านบัญยัติไว้ว่ากรรมเก่าและกรรมใหม่ไม่สามรถจะดึงลงนรกได้ผมเข้าใจแบบนี้ครับส่วนอาจารณ์คนนี้สอนอยู่นี้ผมงงครับผมขอเชื่อพระพุทธเจ้าครับ
อนัตตา อนัตตลักขณะ คือสภาพ "พ้นจากการบังคับบัญชา ไม่อาจบังคับบัญชา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ใด ๆ" อย่างสิ้นเชิง โดยสิ้นเชิง.
พระนิพพาน.เข้าใจง่ายๆก็คือการดับทั้งหมดของขันธ์5...นิพพานไม่ใช่เป็นที่เที่ยวๆของปุถุชน...แต่ก็ยังมีครูบาอาจารย์บางท่านยังนำคำผิดๆมากล่าวอ้างให้เราเข้าใจผิดตาม.มักพูดว่า...ได้ไปพบพระพุทธเจ้าบ้างล่ะ.ได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาบ้างล่ะได้พูดคุยกับพระพุทธเจ้าบ้างล่ะ...สิ่งที่บอกกล่าวมาถ้าครูบาอาจารย์พูดจริงพูดถูก...นั้นก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติเรื่องนิพพานผิด...เพราะนิพพานคือการดับของขันธ์ทั้ง5...ขันธ์5ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังขตธรรม คือเป็นธาตุที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาได้ขันธ์5 จะอยู่ในภพภูมิทั้งหมด..เทวดา มนุษย์ เปตร เดรัจฉาน นรก
ซึ่งตรงข้ามกับ อสังขตธรรม คือ ธรรมชาติที่ไม่มีอะไรไปปรุงแต่งมันขึ้นมาได้...นี้จึงเรียกว่า นิพพาน...สาธุในธรรมมะของพระพุทธองค์ครับ..
ใช่ครับ ใครอ้างว่าได้เห็น ได้พบในสมาธิ พระพุทธเจ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ คนคนนั้นโกหก ล้าน%
นิพพานคือจบบริบูรณ์ ไม่มีภาคต่อไป ตัดขาดจากทุกสิ่งแล้ว เราไม่มีทางที่จะได้ไปพบไปเห็นท่านได้อีกต่อไป
@@Ohgodmail ถูกต้องครับ.การที่บุคคลเหล่านั้นพูดเช่นนั้นเป็นการมโนเอาเองในจิตของตนแล้วเที่ยวนำมาบอกกล่าวให้เข้าใจผิดๆ.แม้แต่รูปเคารพก็ทำไมยังจัดสร้างผิดแปลกแตกต่างกันไปทั้งๆที่เรามีพระพุทธเจ้าองค์เดียว..ก็เพราะมโนกันไปอย่างนั้นอย่างนี้..พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติไว้แล้วว่า..
ธรรมก็ดีวินัยก็ดี.ที่แสดงแล้ว.บัญญัติแล้ว.จักเป็นศาสดาแก่พวกเธอทั้งหลาย โดยการล่วงไปแห่งเรา..พระพุทธองค์บอกให้เรายึดเคารพพระธรรมวินัย..แต่.เราชาวพุทธกับไปเชื่อและฟังตามๆกันมาบูชาสิ่งที่ผิดๆเพราะเราไม่เข้าใจศึกษา.เลยเอาแต่ฟัง..ศาสนาพุทธให้ยึดหลักคำสอนไม่ใช่ให้ยึดรูปเคารพหรือพิธีกรรมบูชาอ้อนวอน...ส่วนพิธิกรรมบูชาเป็นของศาสนาพรหมณ์เหล่าอื่นมิใช่พุทธ..
เพราะสัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตนเอง..เพราะฉนั้นสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...
หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤาษี และเกจิอาจารย์หลายท่านต่างก็กล่าวไว้ว่าได้พบพระพุทธเจ้าและพระนิพพาน ผู้ที่ได้ทิพจักขุญาณมากมาย วิชามโนมยิทธินับแสนท่านก็เคยเห็น ส่วนตัวผมปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัดจนเข้าปฐมฌานได้แล้ว รักษาศีลกว่าชีวิต ดำรงไว้ซึ่ง ศีล ทาน ภาวนา พยายามละสังโยชน์ จนผมได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ยังไม่ได้พบพระพุทธเจ้าอาจเป็นเพราะยังปฏิบัติไม่ถึงและไม่มีอภิญญาเก่า การที่ท่านออกมากล่าวเช่นนี้ซึ่งดูเหมือนไม่ตรงกับที่เกจิอาจารย์ชั้นอรหันต์หลายท่านได้ยืนยัน ไม่ทราบว่าการปฏิบัติท่านอยู่ในขั้นไหนแล้วครับ และตอบบนข้อมูลจากการพิสูจย์ด้วยตนเองจริงหรือจากที่ไหนครับ? ผมเพียงอยากทราบครับ ผมกำลังปฏิบัติอยู่ โดยหวังว่าสักวันจะได้พบครับ
@@iamjustanartist6071 ท่านผู้เจริญในธรรมมะย่อมเป็นผู้ไปทางเจริญไม่ไปทางเสื่อม.ผมจะไม่ขอก้าวล่วงครูอาจารย์ที่ท่านเคารพนะครับ.แต่จะใช้หลักธรรมของพระพุทธองค์ให้ท่านใคร่ครวญ...
ท่านเคยสงสัยไหมครับว่า..สงฆ์สาวก(สาวกคือผู้เดินตาม)ของพระตถาคตทำไมจึงสอนไม่เหมือนกันทั้งๆที่เรามีพระตถาคตองค์เดียวกัน..
เราเป็นชาวพุทธควรศึกษาและเดินตามใคร.
ตามพระตถาคตหรือตามครูอาจารย์.ถ้าตามครูอาจารย์ก็แล้วแต่บุคคล..แต่ถ้าตามพระตถาคตเราต้องเชื่อและศรัทธาในพระตถาคต.ตามที่ท่านกล่าวเรื่องอภิญาต่างๆพระตถาคตกล่าวว่าเป็นเรื่องของปุถุชน.ไม่เป็นอริยะ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความตายได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสงฆ์ นักบวชเหล่าอื่นๆหรือฤาษี.ฆารวาส.ก็มีได้เหมือนกันครับ..พระตถาคตยังกล่าวถึงสงฆ์สาวกที่แสดงฤทธิ์ว่าเป็นโมฆะบุรุษ(บุรุษผู้ว่างเปล่า).เป็นเดรัจฉานวิชา แต่สงฆ์ทุกวันนี้..ทำพิธีกรรม บูชาสิ่งต่างๆมากมาย.ทั้งปลุกเสก เลขยันต์ สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา นอนโลง ใบ้หวย ทำน้ำมนต์
หมอดูทายทัก..บ้างก็จัดสร้างรูปเคารพต่างๆมั่วไปหมดแล้วหลอกให้คนเรากราบไหว้.ว่ามีอิทธิปาฏิหาร.ขอได้ทุกอย่าง.คิดว่ากรรมเกิดจากสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือผู้อื่นบันดาล..เหล่านี้ล้วนเป็นอวิชาของปุถุชนทั่วไป.ส่วนท่านปฎิบัติธรรม.อยู่ในศิล ทาน ภวนา นอกจากธรรมสามสิ่งนี้ยังไม่พอนะครับ.ท่านต้องมี.1.ศรัทธา2.สุตะ.3จาคะ.4.สมาธิ5.ปัญญา
ห้าอย่างนี้ถ้าท่านเข้าใจแทงตลอดด้วยทิฐิอย่างดีพระตถาคตรับรองท่านได้โสดาบันแน่นอนครับเกิดเป็นมนุษย์อีกคราเดียวได้เป็นพระอรหันต์.การที่จะบอกชี้ชัดว่าใครได้ฌานไหนๆคงไม่ได้ครับขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติเพราะเป็นปัจจังตังครับ..มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ครับ...ครับผมลองใคร่ครวญดูครับว่าเราจะเชื่อใครดี.หรือจะทำตามๆที่เขาเล่ามา.สาธุในธรรมมะของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ...
@@bentoonmoota9799 อนุโมทนาสาธุครับ ผมไม่อาจทราบได้ว่าท่านได้ปฏิบัติธรรมและพิสูจน์ด้วยตนเองถึงขั้นไหนแล้วก่อนที่จะออกมายืนยันเช่นนี้ จะทำแล้วหรือไม่ซึ่งท่านก็คงไม่มีวันบอก ผมเพียงแต่แนะนำด้วยความเป็นห่วงว่าสิ่งที่ท่านยึดถือยึดมั่นอยู่นี้นั้นอาจจะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ ซึ่งอาจจะส่งผลอย่างร้ายแรงเช่นกันถ้าหากท่านยังไม่ได้ลองปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ด้วยตนเองจริง และสิ่งที่ท่านแสดงความคิดเห็น ท่านกำลังกล่าวกระทบไปยังผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ และผู้ที่สำเร็จแล้วจำนวนมาก รวมถึงเกจิอาจารย์หลายท่านที่สังคมไทยยอมรับนับถือว่าบรรลุพระอรหันต์จริง เรื่องแดนพระนิพพานนั้นก็มีการกล่าวไว้ในคิริมานนทสูตรซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้กับพระอานนท์ แต่หากท่านได้ลองทำแล้วพิสูจน์ด้วยตนเองแล้วและพบคำตอบด้วยตนเองแล้ว ผมก็ขอสาธุในการปฏิบัติธรรมของท่านครับ
กราบขอบพระคุณคะอาจารย์ อธิบายได้ชัดแจ้งคะ❤❤❤❤❤🙏🙏🙏
สูดยอดครับอาจารย์ พระพุทธองค์ท่านเก่งมาก ๆ สามารถทวนกระแสโลกีย์ไปจนเห็น The law of natureได้ แต่ที่ยากที่สุดคือต้องให้ให้จิตของเรายอมรับมันได้เอง ยากมาก ๆ ครับ จิตมันไม่ยอมปลดปล่อยโลกโลกีย์ละครับ ขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ ครับ
ธาตุตามธรรมชาติ ดิน น้ำ ไฟ ลม
กายนี้ดินน้ำไฟลม คือ กรรมเก่า อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น อันปัจจัยทำให้รู้สึก และเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ กรรมเก่า (ตาหูจมูกลิ้นกายใจ) กรรมใหม่ หรือกรรมในปัจจุบัน อาศัย กามธาตุ ดินน้ำไฟลม ( ตาหูจมูกลิ้นกายใจ) + ผัสสะในปัจจุบัน
จิตดวงแรกเกิด วิญญาณดวงแรกปรากฎ
สังขตธรรม กามภพ กามธาตุ = กรรม = ขันธ์5 เพราะวิญญาณคือตัวรู้ สัญญาคือ ตัวจำได้หมายรู้ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร เราก็จะสามารถจำเรื่องราวในอดีตได้เกือบหมด นี่คือ เหตุผลที่เราหนีไม่พ้นกรรม เพราะจิตหรือวิญญาณเข้าไปรู้โดยอาศัยขันธ์ทั้งสี่ ดังนั้น การกระทำกุศลและอกุศลจะเกิดจากจิต นี่คือ เหตุผลที่มโนกรรมมีผลที่หนัก และเราไม่สามารถโกหกท่าน ยมสะได้ มีคนเกิดตายทุกวัน เดินเข้าออกประตูสองบานที่อยู่ตรงกัน ตรงนั้นเป็นที่อุบัติและจุติของสัตว์ สัตว์นรกบ้าง เดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง มนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง
ทุกอย่างในจักรวาลนี้มันคือสิ่งเดียวกัน ณ จุดเริ่มต้นมันก็อยู่ในจุดเดียวกัน พอวันหนึ่งมันถูกแยกออกมา เป็นรูปต่างๆ แต่วันหนึ่งมันก็จะกลับไปเป็นเนื้อเดียวกัน พลังงานคือมวล มวลคือพลังงาน ทุกอย่างบนโลกนี้คือสิ่งสมมุติ
คือ อนัตตา
รักศาสนาพุทธ
นันทิ ความเพลิน คือผู้ทำกรรม และเป็นผู้รับผลของกรรม ครับ
อธิบายได้เข้าใจค่ะอาจารย์ขอบคุณค่ะ
ดีมากครับอาจารย์
ชอบฟังค่ะ
สาธุค่ะ, อาจารย์
ธรรมะของพระพุทธองค์ต้องใช้ธรรมะของพระพุทธองค์ที่เกี่ยวข้องนั้นมาประกอบการอธิบาย ถ้านอกจากนี้จะทำให้สับสน/ผิดเพี้ยนไป
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะคำอธิบายของท่านใดก็ตามที่มีถูกต้องตรงกับคำศาสดาและไม่ถูกต้องปะปนกันอยู่จะทำให้ผู้ใหม่สับสนได้ง่ายมากครับ
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔ ข้อ ๓๗-๓๘.
ดูกรอานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรม ว่าเป็นธรรม ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรม ว่าไม่ใช่ธรรม ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นวินัย ว่าเป็นวินัย ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัย ว่าไม่เป็นวินัย ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ ไม่ได้บอกไว้ว่าตถาคตได้กล่าวไว้ ได้บอกไว้ ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตกล่าวไว้ บอกไว้ว่าตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ ไม่ได้บอกไว้ ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่เคยประพฤติมา ว่าตถาคตเคยประพฤติมา ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตเคยประพฤติมา ว่าตถาคตไม่เคยประพฤติมา ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าตถาคตบัญญัติไว้ ๑
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้บัญญัติไว้ ว่าตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ๑
ภิกษุเหล่านั้น ย่อมทอดทิ้งกัน ย่อมแยกจากกัน ย่อมแยกสังฆกรรมกัน
สวดปาฏโมกข์แยกจากกัน ด้วยวัตถุ ๑๐ ประการนี้
ดูกรอานนท์ สงฆ์จะเป็นผู้แตกกัน ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล
พระอานนท์ทูลถามว่า... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บุคคลผู้ที่ทําลายสงฆ์ ผู้พร้อมเพรียงกัน จะประสบผลอะไร พระเจ้าข้า
พระตถาคตทรงตอบว่า...ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ที่ทําลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันนั้น จะประสพผลอันเผ็ดร้อน ซึ่งตั้งอยู่ในนรกตลอดกัปหนึ่งๆ
ขอบพระคุณครับ
อาจารย์สอนแบบง่ายๆ แบบโลกๆ
จนแทงทะลุสู่ธรรมชาติ เหนือโลก(โลกุตระ)
เฉพาะผู้ที่พอมีความเข้าใจธัมมะมาก่อนครับ
ตราบใดที่เขายังอยู่ในถัง วัฏฏะ 3 คือ กรรมวัฏ กิเลสวัฏ วิบากวัฏ ไม่ออกไปสู่นอกระบบอสังขตนี้ได้ เขาก็จะเกิดๆดับเป็นอนัตตาตัวตนที่แท้จริงตลอดกาล ผมไม่กล้าแม้แต่จะแย้งพุทธญาณ 2564 แล้วมีใครไหมที่จะนำคำมาคัดง้างธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้ามีเขาก็เก่งกว่าพระพุทธเจ้า เอวัง นัตถิประโยค...
กรรม หรือเวร หมายถึงเจ้ากรรมนายเวร ถ้าคุณเชื่อกรรมคุณก็จะได้กรรม
ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ถ้าอยากรู้ว่าพระนิพพานเป็นเช่นไรก็ต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอน ทุกข์ คือสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ สมุทัยคือสิ่งที่ต้องละ นิโรธคือสิ่งที่ต้องทำให้แจ้ง มรรคคือสิ่งที่ต้องดำเนินปฏิบัติเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็จะรู้ได้เองว่าพระนิพพานเป็นเช่นไร อนัตตาเป็นเช่นไร ไม่ใช่มาคิดเอาด้นเดาไปเรื่อยเปื่อย มันก็ก็จะเป็นเหมือนคนตาบอดมาอุตริสอนคนอื่นสนเข็ม
กราบท่านอาจารย์ด้วย รักและศรัทธา ท่านครับ สาธุ
สังขารและวิสังขาร มันอยู่ในที่เดียวกันเสมอ สลับเวลากัน เพียงแต่ว่าตอนที่สังขารแสดงอาการ วิสังขารไม่ปรากฏ ตอนที่วิสังขารแสดงอาการ สังขารก็ไม่ปรากฏ
รับรู้แล้วจบ(ก็วิชชา) = วิสังขาร
รับรู้แล้วไม่จบ(ก็อวิชชา) = สังขาร
กิเลสนิพพาน = law of nature
ขันธนิพพาน = law of nature
อ่านเม้นมาเม้นนี้เข้าใจง่ายดี กิเลสกับโพธิมันก็อยู่ในตัวเราอยู่กับตัวเรา
ขออนุโมทนาในความเมตตาที่อาจารย์ได่อธิบายให้ได้เข้าใจยิ่งนะคะ ดีมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ
ขอบคุณมากคะ
ขอบพระคุณครับ อาจารย์ 🙏
สาธุๆคะ
ผู้รู้เข้าใจในสมมุติสัจจปรมัตสัจจและอริยสัจจปฏิบัติอยู่ในมรรคของอริยสัจจก็จะเป็นผู้เจริญเบาจากสภาวะทั้งปวงข้ามความสงสัยในสิ่งทั้งปวงไปได้.
ขันธ์5ถูกยัดสิ่งสมมุติให้ตั้งแต่เกิดยันตาย จึงมีเราตลอดกาลนาน
ขอแชร์ทำความเข้าใจเรื่องภูมิที่มีการขยายความเป็น 31ภูมิ ที่ว่าเมื่อตายแล้วจะไปอยู่ในนรกสวรรค์(ตามภาษาชาวบ้าน)นั้น ท่านพุทธทาสและท่านป.อ.ปยุตโต ให้ความหมายไว้ตรงกันคือ ภูมิหมายถึง ชั้นของจิต ระดับจิต สภาวะของชีวิต ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่ไปอยู่ตอนตายแล้ว วันหนึ่งเราอาจอยู่ได้หลายภูมิสลับกันไปมา หรือเรียกว่าโลกิยภูมิทั้ง3
(1)กามภูมิ (11ระดับ) ชั้นที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกาม ระดับจิตที่ยังเกี่ยวข้องกับกามคุณเป็นอารมณ์
(2)รูปภูมิ(12ระดับ) ชั้นที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในรูป ระดับจิตที่ปรารถรูปธรรมเป็นอารมณ์
(3)อรูปภูมิ (4ระดับ) ชั้นที่ยังท่องเที่ยวในอรูป ระดับจิตที่ปรารภอรูปธรรมเป็นอารมณ์
***สำหรับโลกุตรภูมิ
•ชั้นที่พ้นจากโลก(ทุกข์อริยสัจสี่) ระดับของโลกุตรธรรม ระดับจิตของพระอริยเจ้าอันพันแล้วจากโลกิยภูมิทั้ง3 ข้างต้น
(อ้างอิง:ขุ. ปฏิ. 31/171/122)
•ขอบคุณครับ
ระวัง จะเปนอุทเฉททิฏฐิได้ง่ายง่าย
พุทธทาสไม่เคยเห็นภพภูมินรกสวรรค์หรือชั้นพรหมด้วยญาณตามความเป็นจริงเพราะปฏิบัติไม่ถึงขั้น ศึกษาเปรียญธรรมมากก็เบื่อหน่ายจึงไปนั่งนึกนอนคิดอยู่ป่าสวนโมกข์นาน10ปี จึงได้ธรรมในแบบฉบับที่คุณเม้นมา พุทธทาสเป็นเจ้าของวลี"สวรรค์ในอกนรกในใจ" ที่ทำให้วงการสงฆ์เสื่อมถอยอยู่ทุกวันนี้เพราะหลงเชื่ออย่างกาโต๊ะนั่นไง คุณลองสืบหาข้อมูลในเชิงลึกดูครับในพันทิปก็มี
สาธุ ๆ ๆ
ขอบคุณครับ
สาธุค่ะ
สาธุครับท่านอาจารย์
กราบขอบคุณค่ะ ทำให้เข้าใจยิ่งขึ้นค่ะ
ขอแชร์นะค่ะอาจยร์
ขอบพระคุณครับ.
อนุโมทนาบุญกับธรรมทานด้วยครับ
ขอบพระคุณค่ะ
เรา = กระบวนธรรม = Natural Process
ขอบคุณมากคับ เข้าใจง่าย เสียงดังฟังชัดคับ.
ดวงจิต
อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ🙏
บรรยายธรรมขัดแย้งกันเอง กับคลิปเรื่องจิตเดิมแท้ของท่านพุทธฐานิโย คนบรรยายคนเดียวกันแท้ๆ แต่อธิบายไม่ตรงกัน 😂😂😂😂
ในโลกสิ่งที่เที่ยงที่สุดคือกรรม
ทุกอย่างเป็นอนัตตาใช่เลย
แต่ไม่ใช่เกิดขึ้นแล้วดับลงทันที
สิ่งใดเกิดขึ้น.ตั่งอยู่.สลายไป
คนเราเกิดมาจากมีศิล.และกรรมลิขิต.
สาธุสาธุสาธุค่ะ
🙏🙏🙏🙏🌼🌼🌼🌼
🙏🙏🙏
ตอนนี้ผมจะพูดงี้นะครับได้.พื้นเรื่องเก่ามาขึ้นมาด้วยถึงอิสระได้ถึงที่สุดได้ ในที่นี้จะว่าได้ในสามมิติที่สุดได้.ในหนึ่งที่สุดในชีวิตของคน.2มิติในที่เข้าใจได้.อมตธรรมนั้นหมายได้ในที่มีชีวิต.. พูดได้ในที่จิตบริสุทธิ์.นั้นต้องศึกษาในธรรมชาติในที่นี้เพื่อเปนอันหนึ่งเดียวกันได้ถึงที่สุด.แหวคอก.ได้ในถึงที่สุด.ในที่เกิดพลังงาน.ถึงที่สุดได้.. คือผมจบแล้วในเป้าหมาย.ในทุกๆมิติ..ยากเลยคงจะเห็นได้ในตัวตนผมได้มั้งครับ.ผมให้เห็นอะไรก้อจดเอาไวในบ้างที่ผมจะให้ได้ในรูปแบบจิ๊กช็อกก้อได้.. มันต้องดึงเอาศักยภาพมันมีมันไม่เอาออกมาในศักยภาพในสิ่งดี.มันมีจำกัดได้ที่ไหน.. จะเอาแต่ชั่วตายเสียดีแล้ว.อยู่ก้อเปนบาปให้เปนสาเหตุให้คนอื่นเดือดร้อนเปนบาปสะสมเนินนานได้.. ตายเสีย.ดีมันไม่เอาก้อตายเสียชิ.. ไม่ดีหรือที่จะทำไห้นะครับ5555555.. ผมคิดแค่สนุกๆนะครับแต่มันมีความจริงได้นะครับ..
โลกีย์ และ โลกุตระ มันคนละธรรมธาตุ ไม่ใช่เหรียญสองหน้า ความดี ความชั่ว ของที่ตรงกันข้ามกัน ทั้งหลายเป็นธรรมชาติของโลกีย์ ไม่เกี่ยวกับ โลกุตระ ที่อยู่เหนือดีเนือชั่ว
Can't be broken = วิสังขาร กราบขอบพระคุณค่ะ อาจารย์ เข้าใจกระจ่างเลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะ ที่ช่วยมาเปิดปัญญา ในสิ่งที่เอาแต่คิดหาคำตอบ ทั้งๆที่คำตอบมีอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา ขอบพระคุณค่ะ
กราบขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับการบรรยายครับ 🙏🙏🙏
โลกุตรธรรมที่แปลว่าเหนือโลกบางคนอาจตีความหมายถึงโลกที่เป็นตัวเป็นตนจับต้องได้ แต่ที่ถูกแล้วโลกในที่นี้แปลว่า ”ทุกข์อริยสัจสี่” ดังที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบทุกข์อริยสัจสี่ด้วยคำว่าโลก” •อ้างอิงในพระไตรปิฎก(อิติวุ. ขุ. 25/321/293)
ก่อนที่จะขั้นนั้นเอาศิล5ให้บรสุทธิก่อนไหม
เหมือนว่า แค่เอา บวกเลขให้เป็นก่อนไหม
ก็ได้ เพราะมันเป็นการเริ่มต้นที่จะเรียนรู้ ยังไงก็ดีกว่า ไม่เริ่ม 1+1
ที่อาจารย์สอนตรงกับที่ท่านพุทธทาสสอนเลยครับ เยี่ยมจริงๆครับ
ไม่เหมือน และผิดด้วยการบอกว่าจิตวิญญาณเป็นเราเป็นสิ่งเวียนว่ายตายเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิของภิกษุสาติ เพราะจิตมโนวิญญาณก็เป็นขันธ์หนึ่งในขันธ์๕ ดูในปฏิจจสมุปบาทของท่านพุทธทาส
เรียนมากก็คิดมาก
ดีครับเพราะ ทุกคนในปทตอนนี้ไม่กลัวเกรงบาปกรรมเพราะเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ยึดถือไม่ได้...ก็เลยทำชั่วกันทั่วบ้านทั่วเมือง...เพราะเห็นว่าดี-ชั่วไม่มีจริง พ่อแม่ไม่มี พระไม่มี เป็นแค่ก้อนเนื้อจริงๆทุกอย่างก็มีกฎเกณฑ์ของเค้า เวร กรรมก็มีจริงให้ผลตามธรรมชาติจริง....ไม่อาจหลีกพ้น...
นั่นเพราะเขายังมีอุปทานคือความอยากมีอยากได้อยู่จึงเกิดมีการทำดีทำเลวต่างหากบุญไม่เอาบาปไม่เอาจึงหลุดพ้น
โลกและจักวาลสัจธรรมรุ้ไดเฉพาะตนครับพุทธองค์ท่านค้นพบด้วยคาวมยากลำบากตอนแรกท่านจะไม่แสดงธรรมทื่ค้นพบเพาระยากนัดทื่มนุยร์จะเข้าถึงพรมจึงลงมาอาราธาให้เมตตาธรรมแก่สัตว์โลก
สัก แต่ ว่า และ ปล่อย ว่าง!.......
เห็นอย่างที่เห็น ได้ยินอย่างที่ได้ยิน อาจารท่านนี้ไม่ได้สอนอะไร ตามหลักอนัตตา เข้าใจในภาษากันไป แต่ไม่เข้าใจธรรม
แกมั่วมากครับ
สรุป เนื้อหาสั้นๆคือ
ผู้ทำกรรมไม่มี ผู้รับผลแห่งกรรมนั้นไม่มี เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
แต่กรรมนั้นมีอยู่ การกระทำกรรม และผลแห่งกรรมนั้นมี ทุกข์นั้นมีอยู่ เพราะเป็นกฏธรรมชาติ
มีแต่การกระทบกันของเหตุปัจจัย ทั้งแรงกิริยา และแรงปฏิกิริยาเท่านั้น
แต่ในเมื่อทุกข์มี พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติทางพ้นทุกข์
เหมือนเรียนมหาลัย..เลย..จดเล็กเชอร์เลย...
ตัวอย่างและคำตอบ
กรรมดี กรรมชั่ว ก็สะสมในจิต เวลาเราตาย จิตนั้นก็เปลี่ยนภพภูมิไป นรก กับ สวรรค์ และอื่นๆตามแต่บุญกับบาป ที่ทำไว้ตอนมีชีวิต เพราะจิตไม่ได้สูญ โลกียะ ยังมีโอกาสตกสวรรค์ แต่โลกุตระ ปิดอบายภูมิ เพราะกฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ
อันนั้นก็เป็นคำของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติชัดเจนไม่มีใครสั่งสงสัยลังเลคำว่ากรรมอดีตปัจจุบันอนาคตเป็นผลของจิตแต่ละดวงแต่ผู้ที่ทำตนเป็นครูผู้รู้ส่วนมากมีแต่นักจำเอาสัญญาที่เรียนรู้มาตีความจนมั่วจนหลงตนเป็นพูดถึงนี่มันน่าเป็นห่วงทั้งพูดตามและพูดจริงๆนะจ๊ะยุคนี้พระอริยะผลปฏิบัติอยู่ในพุทธบริษัท 4 พิสูจน์ได้ไม่มีกาลเวลาแต่พวกที่เรียนรู้มากจดจำมากก็มีแต่สัญญารู้จำหมายรู้มอตีความใส่ความเห็นมันจึงมั่วชัดเจนนะจ๊ะนะจ๊ะนะจ๊ะ
@@user-my4tk5lu5m พระศรีอารย์ปกป้องคุ้มครองแต่คนดี ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่พระตถาคต แนะนำ สั่งสอน ถ้าผิดจากที่พระตถาคต แนะนำ สั่งสอน ผลกรรมย่อมเกิดจากผู้กระทำ มโนกรรม ความคิด กายกรรม การกระทำ วจีกรรม คำพูด ถ้าทำ1ครั้ง ก็ครบ3กรรม ทำอีกกี่ครั้งก็บวกเข้าไป ไม่มีใครว่า เทำไปเถิดเอาที่สบายใจ แล้วจะเกิดผล
จิต มโน วิญญาณ คือตัวเดียวกันนะครับ พระศาสดาตรัสว่าเป็นธรรมอันอาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดมีขึ้น เป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแล่นไปท่องเที่ยวไปโดยปราศจากสาเหตุครับ
แต่พระองค์ตรัสสิ่งที้่แล่นไป ท่องเที่ยวไป เพราะเหตุที่มีความพอใจและเพลินในขันธ์ห้า สิิ่งนั้นพระองค์เรียกว่า "สัตตานัง" (สัตว์)
ไม่มีตัวตนมีได้อย่างเดียวคือ พระอรหันต์ ตัดกิเลส ตัดทุกข์ ตัดขันธ์5 ไม่มีอะไรเหนือกว่าเวรกรรม สอนได้ถ้าเข้าใจ ถ้าสอนแล้วมีอคติ มีมิจฉาทิฏฐิ มีความไม่ตรงในคำสอน ทุกอย่างก็จะย้อนเข้าตัวแบบปฏิเสธไม่ได้ เพราะนั่นคือการทำกรรมที่ได้เสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีใครลบล้างกรรมไปได้ อยากเห็นสวรรค์ ก็ทำเอา อยากเห็นนรกก็ทำเอา กรรมมันไวทันตาเห็น
เอาง่ายๆ ตัวอย่างเช่น คนที่มีอายุมาก ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเยอะ จะเริ่มเข้าใจว่าเรื่องราวสิ่งต่างๆที่ทำ ที่ผ่านมาในชีวิต หลายๆอย่างก็ไร้สาระ นี่แค่เรื่องโลกๆนะ
นรก 1 กัป1 แสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมว่าเป็นธรรม 2 ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่ใช่ธรรม 3ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่วินัยว่าเป็นวินัย 4 ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่าไม่ใช่วินัย 5 ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ไม่ได้กล่าวไว้ว่าตถาคตได้ภาษิตไว้ได้กล่าวไว้6 ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ได้กล่าวไว้ว่าตถาคตไม่ได้ภาษิตไว้ไม่ได้กล่าวไว้
ใช่ครับ โฆษะบุรุษ จิต วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ ของภิกษุ สาติ
สายปฏิบัติที่เขาตีความว่า
นิพพานไม่ใช่อนัตตานั้นนะถูกแล้วเมื่อก่อนผมเคยเชื่อว่าเป็นอนัตตา แต่ตอนนี้เชื่อว่านิพพานไม่ใช่อนัตา เมื่อดับขันดับกิเลสทั้งหมด ก็เหลือตัวรู้
คือจิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้ดับไปด้วยครับ ตัวจิตที่หลุดออกจากกิเลส
อย่างสื้นเชิง ภพชาติก็ขาดสิ้นไปไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเรียกว่านิพพาน อายตนนิพพานจึงเป็นสภาวะรองรับจิต
ที่หลุดพ้นแล้ว พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นิพพานัง ปรนังสุขขัง
สาธุๆ ขอโมทนาบุญด้วยครับ
@@user-ij2qh3sz5z ไม่ผิดหรอกครับ
ฟันธงล้าน%นิพพานไม่สูญ
คุณค่อยๆเปิดใจตัวเองค่อยศึกษาใช้สติปัญญาเยอะๆสาธุครับ
@@user-ij2qh3sz5z ผมยืนยันคำเดิมนิพพานไม่ใช่อนัตตาครับ
ผมเข้าใจนะว่าชาวพุทธเรา
ยังมีประเด็นนี้อยู่
ฟังต่อได้ที่ไหนคะ
ความของ มอุตต รัอยความบันทัตขนานความ อนัตตา/ผลของได้และเสีย ของกรรม 1/ อหัมปิโซมโห ชาติโซมโห ชาติงอนติโต หันมานัง กัลยาณัง กะโรมิ กาเยนะวาจาย มนสา 2/อหัมปิโซมหิพิ ชราซัมโม ชะรัง อนติโต หันทาหัง กัลยานัง กโนมิ กาเยนะ วาขาย ในสาย 3/อหัมปิ โซมหิ พยาธิธีมโม พยาชิงอนตีโต หันทาณัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน ซาตาน มนสา 4/ เย จิน โภ ปาปานิ กัมมานิ กโรนติ เต พิฏ เถวธัมเฆ เอวรูปา วิวิธา กัมมการณา กริยันติ ติมังคัง ประตู หันทาณัง ตโรมิ กาเยน วาขาย มานสา 5/อหัมปิโซมหิ มรณธัมโม มรณัง อนติโต หันทาณัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาขาย มานสา ความบาลีทั้งห้านี้แหละคีอผลที่เสียและได้และได้ที่เสีย กรรมนั้นนั้นแล สาธุ
สรุป แล้วใครหรืออะไร ทำกรรมและใครรับผลแห่งกรรมครับ ฟังแล้วงง จากที่อจ.ทวีศักดิ์ บรรยาย
ถ้าเราทำกรรม เรานี่แหละครับที่ต้องได้รับผลของกรรม
กรรมมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
ส่วนผลของกรรมจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้างอันนี้พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะตอบได้
ถ้าเราไปหมกมุ่นคิดกับมันเพื่อหาคำตอบเรื่องของกรรมเป็นอย่างไร ท่านบอกว่ามันเป็นอจินไตยคือ คิดมากไปก็จะทำให้ เป็นบ้า
ขอบตอบประมาณนี้ครับ
การจะเรียก สิ่งที่เป็นสมมุติบัญญัติ ว่าเป็นคน สัตว์ บุคคลตัวตน เรา เขา เพื่อให้เป็นภาษาคนเข้าใจกันง่ายมีตัวตนจริงๆ จึงมักจะหา ผู้กระทำกรรม และผู้รับกรรมขึ้นมา หากแต่เป็นภาษาธรรม หรือธรรมสัจจะ ที่เป็นจริงแท้แล้ว ไม่ได้มีตัวตนบุคคล เป็นเพียงรูปและนาม ภายใต้การทำงานหรือกระบวนการทำงานของธรรมชาติเท่านั้นคับ ตรงนี้ศึกษาได้จาก วงจรปฏิจจสมุปบาท ไม่มีคนหรือใครอยู่ในนั้น มีเพียงเหตุปัจจัยที่มีและส่งผลให้เกิดปัจจัยอื่นตามมาเท่านั้น แต่เพราะความเห็นผิด หรือ อวิชชา ทำให้มองเห็นความจริงไม่ได้( มิจฉาทิฏฐิ) ถ้าจะสรุปเอาแบบสั้นๆไปแบบกำปั้นทุบดินไปเลย ก็มีแต่ขันธ์เท่านั้นที่กระทำและรับวิบาก...ไม่มีใครทำหรือรับอะไรในกระแสธรรมชาตินั้นๆคับ...
@@Ut-Ser2508 ในclipอ. เน้น คำอนัตตาและไม่ได้บอกว่าใครรับกรรม แต่เน้นแต่คำอนัตตา จึง งง ครับ ขอบคุณครับ
คนทำกรรมและคนรับกรรมไม่มี เพราะโลกนี้มีความรู้2ด้านคือโลกียะและโลกุตตระ แต่กระบวนธรรม(The Law of Nature, Natural Process ,อิทิปปัจจัยตา )นั้นมีครับ ยังไงก็ต้องรับผลกรรมตามกระบวนธรรมนี้แน่นอนครับ
เราจะเข้าใจคำว่าคนทำกรรมและคนรับกรรมไม่มีอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อ เราต้องเข้าใจธรรมขั้นโลกียะก่อนแล้วต่อไปเข้าใจถึงขั้นโลกุตตระ เมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจแบบแทงทะลุเหรียญทั้งสองด้าน(ทั้งโลกียะและโลกุตตระ)ครับ 🙏
เป็นความคิดที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองว่าเป็นตัวเป็นตน ซึ่งจิตโดยธาตุแท้ของมันแล้วก็ไม่มีตัวตน ถ้ายังงง ให้นึกถึงร่างกายตอนที่ตายแล้วสลายหายไป มันก็เป็นเช่นนั้นเองทุกสรรพสิ่ง
สอนที่ไหนค่ะ เวลาเรียนกี่โมงค่ะ
ธรรมะที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเหนือความคิด เหนือจินตนาการ
ผมว่าไม่ได้เหนืออะไรนะครับ ผมมองว่าธรรมที่ตรัสรู้ ละเอียดลึกซึ้งมากกว่า
คือมันเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว แต่คนปกติมองไม่เห็น
เช่น คนมักจะบอกว่า สุขคือของเรา ทุกข์คือของเรา
แต่สิ่งที่พระองค์รุ้แจ้งและบอกได้ว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
@@Kattikamat ความหมายที่ผมจะสื่อคือสิ่งๆเดียวกับคุณ ที่เหนือความคิดเหนือจินตนาการคือมนุษย์อยู่ในกรอบความคิดที่ตัวได้ประสบการณ์มา มนุษย์ไม่สามารถจินตนาการ ภาวะนิพพานได้หรอกคับ เหมือนไปถามสัตว์น้ำว่าอากาศบนบกมันเป็นแบบไหน
ชมชนฟู
สนใจประเด็นที่ทิ้งท้ายมากครับ ว่านิพพานเป็นอัตตา หรือเป็นอนัตตา
สัพเพธรรมอนัตตา
ท่านอธิบายให้ฟั้นเฝือ ภาษาอังกฤษอย่ามาก ผู้อธิบายที่ดีควรต้องอธิบายอย่าให้ฟั้นเฝือมาก
ยกพระสูตร ด้วยครับ. อย่า มั่ว. พุทธ. ต้องยึดคำสอน ของพระพุทธเจ้า. ที่มีที่มาที่ไปในพระไตยปิฏกเท่านั้น...อย่า ได้ริ. ไปอธิบาย คำสอน ที่มีอยู่..
เนื้อหากับหัวข้อไม่สอดคล้องกัน
คำว่าสักแต่ว่าที่ว่าเนี่ย จะเข้าใจได้ว่าก็ถ้าเป็นเช่นนั้นนะไม่เกิดความเห็นงี้รึว่าพระพุทธเจ้าก็สักแต่ว่าสอนๆ ไป ไม่ได้หวังอะไรเลย คือ ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีเกิดอีกเลยน่ะสิ ไม่มีกรรม ไม่มีผลแห่งกรรมน่ะสิ แล้วจะสอนทำไมก็รูปก็สักแต่ว่ารูป เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา ... วิญญาณก็สักแต่ว่าวิญญาณ พูดงี้ใช่รึ แล้วนี้สรุปว่าหัวข้อกับที่อธิบายอยู่มันจะเข้าใจถูกได้หรือ
ห่างเมียห่างงานห่างลูกได้ไหม ถ้าไม่ ก็นั่นแหละกรรม
แล้วจะมีเมียทำไมแต่แรก สักแต่ว่า..ก็จบแล้ว
หลุดพ้นจาก 3 แดนโลกธาตุ จบวัฐสงสาร ชาติสุดท้าย ก็หมดกรรม ปฎิบัติธรรม ถึงธรรม
มิจฉาทิจฐิ ไม่เคยมีเขามีเราตั้งแต่แรกแล้ว
ดวงจิตและกรรม
ไม่อนันตา
เมื่อเราตายลง.ดวงจิตจะไปสู่ภพภูมิใหม่ตามกรรมดีและกรรมชั่วที่เราสร้างไว้
จริงหรือหลวงพ่อ ?
สาธุๆๆค่ะท่านอาจารย์ท่านสอนหลักพระธรรมตรงกับศึกษามา
จิต คือ อะไรในขันธ์ห้า ครับ
ถ้าตัดสินใจรักษาศีล5ตลอดชีวิต จะเข้าใจได้เองครับ
วิญญาณขันธ์ครับ
จิต ย่อมอยู่เหนือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ผู้ที่ละขันธ์ 5 ได้ ผู้นั้นย่อมมีแต่ "จิตอิสระ"
อาจารย์ มีช่องทางให้ติดต่อ ไหมคะ เนื่องจาก ดูแลคนป่วยอยู่ แต่เขาไม่ พยายาม เข้าใจหลักธรรม สัจธรรมค่ะ
คุณเกือบเหมือนเข้าใจ แต่คุณไม่เข้าใจเป้าหมายแห่งพุทธศาสตร์ แค่พระพุทธดำรัส"เมื่อสิ่งนั้นมี สิ่งนั้นย่อมมี เมื่อสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั่นย่อมไม่มี" หมายถึงอย่างไรครับ?
จริงๆตัวเราก็ไม่ใช่เราเป็นสิ่งสมมุติขึ้นทั้งนั้น
สรุปว่า สิ่งที่ทำกับสิ่งที่รับต้องเป็นอันเดียวกัน มันต้องมีสิ่งหนึ่งที่คงอยู่
อาจารย์บอกว่า เมื่อจิตว่างจากกิเลส นั่นคือ นิพพาน
แสดงว่า การนิพพานก็คือ ยังมีจิตเหลืออยู่ แต่จิตว่างจากกิเลส แล้วจิตนั้นต้องการที่อยู่หรือไม่? จิตที่ว่างตั้งอยู่ที่ไหน? แล้วจิตนั้นเป็นเราหรือไม่? เป็นตัวตนหรือไม่? เป็นอนัตตาหรือไม่?
สรุปว่าทั้ง 2 ตอนนี้ อาจารย์ยังตอบคำถามไม่ชัดเจนว่า ในเมื่อทุกสรรพสิ่งล้วนอนัตตา แล้วใครคือผู้ทำกรรม ใครคือผู้รับกรรม? ครับ
@@sabbe.dhamma.anatta ฟังแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบครับ (และอาจสร้างความสับสนเพื่มขึ้น)
คำถามคือ
1. จิตที่ว่างจากกิเลสแล้ว ตั้งอาศัยอยู่ในนิพพาน ใช่หรือไม่?
2. (ตามข้อ 1) ถ้าไม่ใช่ แล้วจิตที่ว่างจากนิพพานนั้นไปอยู่ที่ไหน ยังเป็นหนึ่งในขันธ์ 5 อยู่ หรือไม่?
3. แล้วจิตที่ว่างจากนิพพานนั้น สุดท้ายจะดับไปหรือไม่?
@@sabbe.dhamma.anatta ไม่ใช่ภาษามนุษย์ไม่สามารถอธิบายธรรมให้เข้าใจได้ แต่การใช้ภาษาของคุณต่างหากที่ไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจได้ ศัพท์ที่คุณนำมาใช้ฟังดูสับสนซับซ้อนจนไม่รู้ว่าคุณอธิบายอะไร ทำให้ไม่รู้ว่าคุณเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังอธิบายหรือไม่? ถ้าคุณบอกว่าไม่มีภาษามนุษย์ที่จะอธิบายธรรมะให้เข้าใจได้ งั้นพระพุทธเจ้าก็สอนใครให้บรรลุธรรมไม่ได้ คนที่จะบรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าก็มีไม่ได้
คุณต้องศึกษาว่าพระพุทธเจ้าใช้คำในการอธิบายธรรมแต่ละเรื่องไว้ว่าอย่างไร (พระพุทธเจ้าใช้ภาษามนุษย์ในการบัญญัติธรรม) แล้วทำความเข้าใจธรรมะต่างๆ ตามคำพระพุทธเจ้านั้น แล้วนำคำนั้นมาถ่ายทอดต่อ คนฟังจึงจะเข้าใจตามได้ ถ้าคุณใช้คำแบบที่คุณพิมพ์มานี้ ไม่มีใครเข้าใจตามที่คุณอธิบายหรอก และแม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมที่คุณคิดว่าเข้าใจนั้นได้ เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มีนิพพานเป็นอารมณ์” มันไม่ได้หมายความว่า จิตไปตั้งอยู่ในนิพพาน จิตเป็นหนึ่งในขันธ์ 5 พระพุทธเจ้าสอนให้ทิ้งขันธ์ 5 แล้วถ้าจิตมันตามไปตั้งในนิพพานได้ เราจะบรรลุนิพพานอย่างไร?
คุณบอกว่า “จิตดับ (อันนี้ถูกตามที่พระพุทธเจ้าสอน) แต่ในขณะเดียวกันคุณก็บอกด้วยว่า จิตว่างคือว่างจากอัตตาจากกิเลส แต่ไม่ได้ว่างจากอารมณ์คือพระนิพพาน” อ้าว! แล้วตกลงตอนที่จิตดับไป ไม่เท่ากับ จิตไม่ได้ตั้งอยู่ในอารมณ์คือพระนิพพานแล้วเหรอ? แล้วสรุปว่าคนที่บรรลุอรหันต์คือมีจิตไปตั้งอยู่ในนิพพานใช่มั้ย? แล้วถ้าจิตที่ตั้งอยู่ในนิพพานดับไป คนนั้นจะยังเป็นอรหันต์อยู่มั้ย?
@@sabbe.dhamma.anatta
1. คุณใช้คำว่า “ภาษามนุษย์ไม่สามารถชี้ความถูกผิดของ…” หรือ “ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย…คำพูด หรือตรรกะ…” ฟังดูแล้วได้ความหมายว่า ไม่มีคำใดๆ บนโลกนี้จะอธิบายสิ่งนี้ได้ (ไม่สามารถแปลความเป็นอย่างอื่นได้)
2. ต้องเข้าใจด้วยปัญญาเท่านั้น คำว่า “ปัญญา” ของคุณคืออย่างไร? (คุณจะใช้ภาษา และตรรกะใดอธิบาย) แล้วพระพุทธเจ้าใช้ภาษา และตรรกะใดอธิบายคำนี้ให้สาวกเข้าใจได้?
3. ถ้าคุณอธิบายให้ปุถุชนเข้าใจธรรมไม่ได้ คนๆ นั้นก็ไม่สามารถเป็นอริยบุคคลได้ อรหันต์ก็ย่อมไม่มีได้
4. ทำไมคุณจึงยกอรรถกาถามาอธิบาย ทำไมไม่ยกคำตรัสของพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้าตรัสว่าคำของพระองค์อธิบายทุกอย่างไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ไม่มีใครอธิบายธรรมไว้ได้ดีกว่าพระองค์อีกแล้วไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฏกนั่นแหละ แค่หาให้เจอ
5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขันธ์ 5 ดับไม่เหลือเพื่อนิพพาน ดังนั้นจะไม่มีขันธ์ 5 ใด ไปตั้งในนิพพานได้ ถ้าอรรถกถาบอกว่ามี ตั้งได้ ก็แสดงว่าคนที่อรรถกถาไว้นั้นเข้าใจผิด จะนำมาอ้างอิงใช้อธิบายธรรมไม่ได้
6. ถ้าคุณยังใช้คำเหล่านี้ในการศึกษาและอธิบายธรรม คนฟังก็จะไม่สามารถเข้าใจธรรมได้ หรือถ้าเข้าใจก็เข้าใจผิด คุณเองก็จะเข้าใจผิด สุดท้ายทุกคนก็พ้นทุกข์ไม่ได้
7. ที่คุณกล่าวว่า “จิตของพระอรหันต์ เมื่อดับแล้วไม่เป็นปัจจัยทำให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้นอีก” ถ้าอย่างนั้นคนที่บรรลุอรหันต์ก็ต้องตายทันทีตามไปด้วยหมดทุกคนน่ะสิ? เมื่อจิตดับ แล้วไม่มีจิตใหม่เกิด กายจะทำงานอยู่ยังไง? คนที่เป็นอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมไม่มี แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้และเป็นอรหันต์แล้วท่านเดินสอนธรรมะอยู่ได้อย่างไรตั้ง 45 ปี? แล้วสาวกที่บรรลุอรหันต์ที่เดินตามพระพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาลมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? หรือจะบอกว่านั่นคือการทำงานของกายที่ไม่มีจิต?
@@sabbe.dhamma.anatta ครับ สวัสดี
(ทิ้งคำถามไว้ให้ผู้อื่นคิดพิจารณา)
1. แล้วเราจะเจริญปัญญาอย่างไร หากผู้สอนบอกว่าไม่มีคำใดอธิบายคำว่า ปัญญา ได้
2. แล้วปุถุชนจะปฏิบัติตามอย่างไรให้ตนเกิดปัญญาได้ หากผู้สอนบอกว่า ไม่มีคำพูด/ตรรกะใด อธิบายธรรมที่ท่านรู้นั้นได้
3. พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า คำพระสารีบุตรหรือคำของคนอื่นใด จะถูกต้องตรงจริงเสมอไป ตรัสแต่ว่าคำจองพระองค์เท่านั้นที่ถูกต้องจริงเสมอตลอดกาล และตรวจสอบได้แม้พระองค์ดับขันธ์ไปแล้ว ด้วยการใช้คำพระองค์ตรวจทานสอบกันเอง (คำพระพุทธเจ้า จะกี่หมื่นพระสูตรก็จะสอดรับกันหมดไม่ขัดกันเลย จึงใช้ตรวจสอบกันเองได้) แต่คำของพระสารีบุตร หรือคำคนอื่นทำเช่นนั้นไม่ได้
3.1 เราจึงตรวจสอบไม่ได้ว่า คำอ้างว่าเป็นคำพระสารีบุตรที่อยู่ในพระไตรปิฏกนั้น ใช่คำพระสารีบุตรจริงหรือไม่?
3.2 แม้หากเป็นคำพระสารีบุตรจริง ก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องตรงตามสัจธรรม เว้นแต่เป็นคำที่บุคคลนั้นได้สนทนากับพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้ารับรองว่าคำนั้นถูกต้องตรงตามสัจธรรม
3.3 แต่คำพระพุทธเจ้าเป็นระเบียบแห่งถ้อยคำ และสอดรับกันหมดทุกพระสูตร ไม่ว่าจะตรัสไว้กับใครที่ไหนเมื่อไหร่ ดังนัรนแท้พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว เราก็สามารถคำพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏกมาตรวจทานสอบกันเองไปมาได้ แล้วรู้ว่าคำใดเป็นคำพระพุทธเจ้า คำใดไม่ใช่
4. ผมถามเพราะอยากได้คำตอบตามที่คุณเข้าใจ แต่ภาษาที่คุณใช้ตอบคำถามไม่ได้สร้างความเข้าใจ จึงมีคำถามอื่นๆ ตามมา แล้วคุณก็ให้คำตอบต่อเนื่องไม่ได้ สรุปความเป็นอรหันต์ กับจิต เกี่ยวกันอย่างไร อรหันต์ที่มีชีวิตอยู่_มีจิตอีกหรือไม่ ก็ไม่ได้คำตอบจากคุณ?
ท่านอธิบายได้ดี แต่ไม่ถูกทั้งหมด ยกให้ถูกหลักพุทธธรรม เพียง 85 % อีก 15 % เพี้ยนไป สิ่งที่ผิดเพี้ยนไปคืออะไรอันนี้ท่านอาจารย์ลองทบทวนคำอธิบายของท่านดู อะไรอธิบายแล้วอะไรขัดแย้งอยู่ในตัวมันเอง (ท่านอธิบายสองโวหารสลับกันไปมา) ถ้าเห็นข้อขัดแย้งเหล่านั้น ท่านก็จะอธิบายสัจธรรมได้สุดยอดจริงๆ แต่ก็ขอเรียนว่าท่านอธิบายได้ดีมากพอสมควรครับ
เหมือนจะชัด..แต่ ไม่ชัดเจน ..ผู้บรรยาย ได้นำคำว่า..เป็น คำว่า..มี คำว่า..คือ มาใช่ประกอบ กับคำว่า..อนัตตา..หรือเปล่า..? เพราะหากแม้นยังมี 3 คำ ที่ได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้น นั่นอาจจะเป็น สาเหตุ ทำให้ความเข้าใจของ ผู้บรรยาย คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้ จากการฟังแล้ว ให้รู้สึกได้ว่า ความรู้ความเข้าใจ อาจจะยังตื้นเขิน ยังคับแคบ ยังไม่กว้างขวางเพียงพอ หากเป็นไปได้ อยากให้พูด ให้ลัดสั้น กระชับ และได้ใจความชัดเจน ผู้ที่เข้ามารับชมรับฟังแล้ว อาจจาได้ รับประโยชน์ได้มากกว่านี้ เอาแบบเน้นๆเนื้อๆ ให้มีน้ำ น้อยที่สุด นั่นก็จะทำให้ได้รับอรรถรส ในการเสพคุ้น อย่างเช่น..คำว่า สังขาร หรือ สังขารา นั้น..จงยกตัวอย่างขึ้นมา ว่า สังขาร ทั้งหมดนั้น มีกี่อย่างกี่แบบกี่ประเภท แยกให้ออก อธิบายให้ชัด ชนิดที่ คนฟัง เขาฟังแล้ว สามารถมองเห็นภาพได้เลย ต้องอย่างนั้นเลย สังขาร ที่มีใจครอง กับ สังขาร ที่ไม่มีใจครอง เป็นเช่นไร และแตกต่างกันอย่างไร..? ความรู้พื้นฐานตรงนี้ ก็ต้องชัดเจนก่อน สังขารภายนอก สังขารภายใน สังขาร 2 สังขาร 3 มีอะไรบ้าง เอาให้ชัด แล้วที่บอกว่า สังขาร เป็นทุกข์ ..แล้วเขาทุกข์ ยังไง ทุกข์แบบไหน แล้วเหตุ ที่ทำให้สังขารเป็นทุกข์ คือสิ่งใด..? และมาถึง ที่สำคัญที่สุด คือ คำว่า..อนัตตา คำนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะฟังดูแล้ว ยังคลุมเครืออยู่มาก ไม่เน้น ไม่จำเพาะเจาะจง ลงไปในความหมาย แห่ง อนัตตา ..ธรรม ทั้งปวง เป็น อนัตตา เป็นได้งัย เป็นแบบไหน ดังเช่น ผู้รู้ส่วนใหญ่ อ้างว่า ขันธ์ห้า..เป็น อนัตตา ..นิพพาน..เป็น อนัตตา ..เลยมั่วกันไปใหญ่ ในพระไตรปิฎก พระธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์ 84,000 มีตรงไหนบ้าง ที่ใช้คำว่า..เป็น..ไปวิเคราะห์ให้ดี พระพุทธองค์ ไม่เคยนำ คำว่า..เป็น เอามาใช้ประกอบกับคำสอน และสิ่งต่าง ๆ แต่ ผู้ที่ศึกษา คำสอนของท่านแล้ว แต่ ไม่มีความแตกฉาน อย่างแท้จริง แล้วนำความรู้ความเข้าใจแห่งตน ออกมาประกาศ ให้ผู้รู้ผู้เสพ ได้เกิดความ เข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้น ..จึงได้ขอฝากเอาไว้ ให้เป็นข้อคิด ได้พิจารณา อีกสักเล็กน้อย..สรุปว่า..ขอย้ำเตือน ในบทคำสอน เรื่อง ..อนัตตา ..จงอย่าได้ นำคำว่า..เป็น คำว่า..มี คำว่า..คือ เอามาประกอบ ในการอธิบาย คำว่า..อนัตตา เหตุผลนั้น มีอยู่ ..แต่แค่ขอฝากไว้ให้ เป็นข้อคิด ได้พิจารณา ถึงเหตุและผล เพราะ..ธรรมเหล่าใด ที่เกิดแต่..เหตุ พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถึง เหตุแห่งธรรม และ ความดับ แห่ง ธรรมเหล่านั้น..ขอ อนุโมทนา..เจริญธรรม...
ธรรมทั้งปวง เป็น อนัตตา
นิพพาน อยู่ในธรรมทั้งปวง หรือไม่?
สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ..สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่ ..เป็นสังขาร และ มิใช่สังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น ..ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา ฯลฯ....แต่ไม่ได้ใช้ คำนำหน้า..อนัตตา เช่น รูปัง อนัตตา รูปไม่ใช่ตัวตน แล้วเขาบอกว่า รูป เป็น อนัตตา..ตรงไหน..? เปล่าเลย..แต่เขาบอกว่า..รูปอนัตตา เวทนาอนัตตา สัญญาอนัตตา สังขาราอนัตตา วิญญาณังอนัตตา ...แล้วทีนี้ มันมีคำว่า..เป็น อยู่ตรงไหน..? ทีนี้ พอเอาคำว่า..เป็น มาใช้นำหน้า กับ อนัตตา ความหมายที่แท้จริง จึงหายไป นี่แหละ โมหะ หลงล้วนๆ ..ลองใช้คำพูด สั่นๆ เช่น รูปอนัตตา กับ คำว่า รูป เป็นอนัตตา นี่ความหมายเป็นงัย ความหมายเหมือนกัน หรือต่างกัน แล้วคิดว่า พระพุทธองค์ จะกล่าวคำไหน..? ลองมาวิเคราะห์ ช่วยกันนะ อันนี้ ไม่ได้ต่อต้านนะ ..แค่เห็นความหมายที่แย้งออกไปจากเดิม ..อาจจะละเอียดลึกซึ้ง แต่เพื่อความเข้าใจ อย่างละเอียดและถ่องแท้ ไม่คลาดเคลื่อน จากความจริง ..สรุป ..รูปอนัตตา รูปไม่ใช่ฯลฯ...แต่ อย่า เอา คำว่า..เป็น..มาใช้ประกอบ .เท่านั้นเอง..เพราะความหมายจะเปลี่ยนไป..ขอบคุณ..โมทนาสาธุ่..เจริญธรรม..
แล้วถ้า นักปฏิบัติ นักภาวนา ได้พบได้เจอ อนัตตา ..ของจริงของแท้ ที่โผล่กลางใจแล้ว อันนี้ ยิ่งปฏิเสธ อนัตตา ไม่ได้เลย เพราะเขาจะมองเห็น อนัตตา เป็นดั่งกุญแจ ล๊อคแขนล๊อคมือ อนัตตา เป็นดั่งโซ่ตรวน ที่ล๊อคขาเอาไว้ จิต ของผู้ภาวนา จะเป็นดั่ง นักโทษทางธรรม ไปโดยอัตโนมัติ..เพราะฉะนั้น ใครจะมาพูดพร่อยๆ มาขยายความ คำว่า..อนัตตา..ให้ความหมายผิดเพี้ยนไป อันนี้ ..ยอมไม่ได้เลย..ต้องขออภัย ต่อผู้มีอัธยาศัยใฝ่ในธรรม ที่ได้เข้ามาร่วมคิดร่วมเสนอ และ ได้พิจารณา วิเคราะห์ใคร่ครวญ ความหมาย แห่ง ธรรม ร่วมกัน..ก็ขออนุโมทนา เป็นอย่างยิ่ง ..จากใจจริง...เจริญธรรม
@@Ajjiam ธรรมชาติมีสองระบบคือ สังขตธรรม(สังสารวัฏ คือ เกิดปรากฏ มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นที่อยู่ของมาร ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้ผลของกรรม )และ อสังขตธรรม(นิพพาน คือ เกิดไม่ปรากฏ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง มารเข้ามาไม่ได้ ไม่มีกรรม) เราทุกคนคือ สัตว์หรือสัตตานัง ที่หลงเข้ามายึดขันธ์๕(ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเรา) เพราะความไม่รู้(อวิชา)เป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ตถาคตได้ตรัสรู้ วิธีหาทางออกจากสังสารวัฏไปสู่นิพพาน โดยมรรค๘ เมื่อเรามีดวงตาเห็นธรรม ด้วยฌาน(ความรู้) ย่อมเบื่อหน่าย คลายกำหนัด (ในขันธ์๕) ย่อมหลุดพ้น(สัตว์หลุดจากการยึดขันธ์๕ ช่วงระยะนี้ สัตว์จะเปลี่ยนสถานะเป็น วิมุติ ) เพราะหลุดพ้นก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นย่อมยินดี เมื่อยินดีย่อมไม่หวั่นไหว (สะดุ้ง) เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นมิได้มี (นิพพาน จึงไม่ใช่อนัตตา และไม่ได้อยู่ในธรรมทั้งปวง (สังสารวัฏ) แต่ เป็นอีกระบบหนึ่งที่ ไม่มีขันธ์๕ นามรูปไม่อาจหยั่งลงได้ และวิญญานดับสนิทในสิ่งนี้
@@user-mm1uz4by9j ผมกำลังศึกษาธรรมของตถาคต ขอให้ท่านช่วยอธิบายคำว่า อนัตตา ในความเห็นของท่าน ว่าตรงกับคำว่า อนัตตา ในสิ่งที่ตถาคตบัญญัติ หรือไม่ครับ
จิตไง
อนันตาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการเกิดดับไม่ใช่ไม่มีตัวตนครับศึกษาให้ถูกต้องแล้วจึงมาสอนครับ
สาธุค่ะ