Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
#วินิจฉัยเรื่องการรดน้ำมนต์การรดน้ำมนต์เป็นเดรัจฉานวิชาหรือไม่และพระรดน้ำมนต์ต้องอาบัติหรือไม่?มีชาวพุทธบางกลุ่มเข้าใจว่า การรดน้ำมนต์เป็นเดรัจฉานวิชา พระไม่ควรทำ แต่จริงๆ แล้ว ที่จัดเป็นเดรัจฉานวิชาซึ่งมาในพรหมชาลสูตร (ที.สี.) นั้น มีกล่าวไว้ ๒ แบบ คือ #อาจมนะ ใช้น้ำมนต์ล้างหน้า และ #นหาปนะ อาบน้ำมนต์ให้ผู้อื่น (ตามความเข้าใจส่วนตัว อาจมนะ น่าจะหมายถึง การใช้น้ำเช่นน้ำในแม่น้ำคงคาเป็นต้นเทราดลงบนใบหน้า และ นหาปนะ น่าจะหมายถึง การทำพิธีให้อาบน้ำในแม่น้ำเช่นแม่น้ำคงคาเป็นต้น) ซึ่งทั้ง ๒ แบบเป็นวิธีของพวกพราหมณ์ เป็นคนละลักษณะกับการรดน้ำมนต์ในพระพุทธศาสนา
หลักฐานเรื่องที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุทำการรดน้ำมนต์ มีแสดงไว้ในอรรถกถารัตนสูตร (ขุทฺทก.อฏฺ. ๑๔๑-๔) ดังนี้ :-"พระผู้มีพระภาคประทับยืนใกล้ประตูพระนครทรงเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า “อานนท์ เธอจงเรียนรัตนสูตรนี้ ถือเครื่องประกอบพลีกรรม เที่ยวเดินไประหว่างกำแพง ๓ ชั้นแห่งกรุงเวสาลีกับพวกเจ้าลิจฉวีราชกุมาร ทำพระปริตร” แล้วได้ตรัสรัตนสูตรรัตนสูตรนี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสใกล้ประตูกรุงเวสาลีเพื่อกำจัดอุปัทวะเหล่านั้น ท่านพระอานนท์ได้เรียนเอาในวันที่พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงกรุงเวสาลีนั่นเองเมื่อท่านจะกล่าวเพื่อเป็นปริตร (เครื่องป้องกันอุปัทวะ) จึงเอาบาตรของพระผู้มีพระภาคตักน้ำมา เดินประพรมไปทั่วพระนคร พอพระเถระกล่าวว่า ยงฺกิญฺจิ เท่านั้น พวกอมนุษย์ที่อาศัยกองขยะและที่ฝำเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในตอนแรก (คือตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จมา) ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง ๔ ประตูทั้งหลายก็ไม่มีที่ว่าง อมนุษย์บางพวกเมื่อไม่ได้ที่ว่างที่ประตูทั้งหลาย ก็ทลายกำแพงเมืองหนีไป พอพวกอมนุษย์พากันไปแล้ว ที่เนื้อตัวของพวกมนุษย์ทั้งหลาย โรคก็สงบไป พวกมนุษย์ทั้งหลายก็พากันออกมาบูชาพระเถระด้วยดอกไม้ของหอมเป็นต้นทุกอย่าง มหาชนเอาของหอมทุกอย่างฉาบทาสัณฐาคารที่ประชุมท่ามกลางพระนคร ทำเพดานขจิตด้วยรัตนะ ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง ปูพุทธอาสน์ลง ณ ที่นั้นแล้วนำเสด็จพระผู้มีพระภาคมาพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าสัณฐาคาร ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปูไว้ ทั้งภิกษุสงฆ์ คณะเจ้า และมนุษย์ทั้งหลายก็นั่ง ณ อาสนะที่เหมาะที่ควร แม้ท้าวสักกะจอมทวยเทพก็ประทับนั่งใกล้กับเทวบริษัทในเทวโลกทั้งสอง ทั้งเทวดาอื่นๆ ด้วยแม้ท่านพระอานนทเถระพอเที่ยวเดินไปทั่วกรุงเวสาลี ทำอารักขาแล้ว ก็มาพร้อมกับชาวกรุงเวสาลี นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสรัตนสูตรนั้นนั่นแหละแก่ทุกคนอีกครั้งหนึ่ง"จากหลักฐานที่ยกมาจะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุทำการรดน้ำมนต์ ทั้งในอรรถกถาของมนุสสวิคคหสิกขาบท (วิ.อฏฺ.๑/๕๑๑-๒, สารตฺถ.๒/๓๓๔-๕) ก็มีการกล่าวถึงการทำน้ำมนต์ (น้ำพระปริตร) และด้ายสายสิญจน์ (ด้ายพระปริตร) เอาไว้ด้วย โดยมีหลักที่ทำให้ไม่ผิดวินัยอยู่ว่า #ห้ามใช้น้ำหรือด้ายที่เป็นของตนในการทำน้ำมนต์และผู้นิมนต์ต้องใช้คำนิมนต์ให้ถูกต้อง (ถ้าใช้น้ำหรือด้ายของตน ต้องอาบัติทุกกฏ)แต่ในเรื่องการรดน้ำมนต์ในเมืองเวสาลีนี้ ในคัมภีร์ท่านกล่าวไว้เพียงว่า ท่านพระอานนทเถระท่านเดินประพรมไปทั่วพระนคร มิได้กล่าวว่า ประพรมใส่ชาวเมือง จึงมีแง่มุมที่ควรคิดอีกว่า หากภิกษุจงใจประพรมน้ำมนต์ให้ถูกพวกชาวบ้านนั้นจะต้องอาบัติอะไรได้บ้างหรือไม่?ตอบว่า หากจะมีโอกาสต้องอาบัติได้หรือไม่ ก็อยู่ที่เจตนา คือ หากมีเจตนาจะทำตัวเป็นหมอผี ประพรมน้ำมนต์เพื่อขับไล่ผี ก็จะต้องอาบัติทุกกฏได้ หรือหากมีจิตกำหนัดแล้วไปประพรมใส่ผู้หญิง ก็จะต้องอาบัติเกี่ยวกับกายสังสัคคสิกขาบท ในกรณีที่ว่าถ้าภิกษุมีความกำหนัดแล้วใช้ของเนื่องด้วยกายถูกต้องของเนื่องด้วยกายหญิงมนุษย์ (ในเรื่องนี้คือน้ำมนต์ไปถูกเสื้อผ้าผู้หญิง) จะต้องอาบัติทุกกฎ หรือหากมีเจตนาจะประจบประแจงเอาใจคฤหัสถ์ ก็จะต้องอาบัติทุกกฎ เพราะประทุษร้ายตระกูล คือ ทำศรัทธาที่บริสุทธิ์ของเขาให้เสื่อมไป กลับกลายมาเป็นชอบใจตนเองแทน ซึ่งอาการอย่างนี้ เป็นอาการของตัณหาไม่ใช่ศรัทธาแต่ถ้าไม่มีเจตนาจะทำตัวเป็นหมอผี ไม่ได้มีความกำหนัด หรือไม่มีเจตนาประจบประแจงเอาใจคฤหัสถ์ ก็ยังไม่พบอาบัติในเรื่องนี้โดยตรง แต่ถ้าจะกล่าวให้ตรงตามคัมภีร์ก็เห็นว่า หากจะมีการประพรมน้ำมนต์ก็ควรใส่ใจว่าประพรมบ้านและบริเวณบ้าน ซึ่งหากใส่ใจอย่างนี้ ถึงน้ำมนต์จะไปถูกชาวบ้านบ้างก็ไม่เป็นไรพระมหาภาคภูมิ สีลานนฺโทจิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโมขอพระสัทธรรมจงดำรงมั่นตลอดกาลนาน
นี่แลท่าน งั้ยพระสงฆ์ในไทย จะมีคำว่า มหา ไว้ทำใมล่ะ ถ้าเรามองถึงจุดประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริง สาธุธรรมด้วยครับ
Idonenouno
@@MahaSilananda ท่านพระอาจารย์ครับการรดน้ำมนต์ในอรรถกถาไม่ได้ทำเป็นอาชีพนะครับ แค่ครั้งเดียวเอง ตอนชาวบ้านเกิดวิกฤติเท่านั้นมิใช่หรือ แต่พระทุกวันนี้ท่านทำเป็นอาชีพนะครับ รดน้ำมนต์ทุกงานที่ไปฉันในที่นิมนต์ แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยรดนำ้มนต์ในภาวะปกติเลยนะครับ เข้าข่ายประจบคฤหัสน์นะครับ เท็จจริงประการใดโปรดพิจารณาดูครับ
ไม่ยึดเอาในพุทธวัจนเปนหลักหรอคับ อรรถเปนคำแต่งใหม่หรือเปล่า ถ้าแต่งใหม่ก็ผิดนะ
ท่านมหาองค์นี้ เป็นผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อ กว้างใหญ่ ความคิดความอ่านกว้างขวางมาก มองทะลุทุกด้าน จิตของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา ขอให้ท่านมีแต่ความสุข ความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ
ฟังท่านพูดแล้วเพลิดเพลินรื่นเริงในธรรม ได้ความรู้ ขอให้สุขภาพแข็งแรง อยู่นานๆ เป็นวิทยาทานให้ภิกษุผู้บวชใหม่ นำไปปฏิบัติสืบไป สาธุ
ขออนุโมทนาครับพระคุณเจ้า
กราบอนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ สิ่งที่ไม่รู้ได้รู้ สิ่งที่รู้แล้วก็ชัดเจนขึ้น 🙏🙏🙏 สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
สาธุครับ
กราบนมัสการค่ะ ปกติโยมจะสวดพระปริตรทุกบทรวมทั้งอาฏานาฏิยะปริตรทุกวัน ถ้าเช่นนั้นในเวลาปกติก็ไม่ควรสวดอาฏานาฏิยะปริตรใช่หรือไม่ค่ะ ควรสวดเฉพาะในเวลาที่ไปที่ ที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยใช่ไม๊ค่ะ แต่จิตโยมไม่เคยคิดว่าจะสวดไล่ใคร คิดแต่จะสวดบูชาคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เท่านั้น อย่างนั้นควรจะสวดต่อหรือว่างดสวดดีค่ะ 🙏🙏🙏
สวดได้ ในความหมายบทนั้นก็เป็นการระลึกถึงพระรัตนตรัยนั่นแหละ
@@MahaSilananda ขอบพระคุณค่ะ กราบนมัสการค่ะ🙏🙏🙏
สาธุค่ะสาธุค่ะ,สาธุค่ะ,แม่ชี,ฟังธรรมมะดีมากเลยค่ะฟังไปภาวนาไปด้วย,มีความปิติ
สาธุ สาธุ สาธุ กราบนมัสการท่าน โยมได้ทราบ พระวินัยจะได้ ปฏิบัติ ตัวถูกต้อง เป็นการรักษาพระศาสนา ด้วยเจ้าค่ะ
อนุโมทนากับท่านที่แสดงธรรมตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สาธุๆๆครับ
สาธุในพระธรรมวินัยครับพระมหา
ฟังด่วยดีก็มีปัญญา ฟังด้วยอคติก็มีแต่อกุศล
คำพุดเหล่าไดที่นอกเหนือจากคำพุดอรหันตสัมมาสัมพุทเจ้าแร้ว อาจผิดพลาดได้ อาจคาดเคลื่อนได้ เพราะในโลกนี้มีผุ้เดียวที่สามารถกำหนดสมาธิทุกครั้งได้ในเวลาพุดคืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ทั้งนี้ท่านผุ้เปนสงสาวกผุ้นี้ก้เอาตามตำรา คงมิได้มีเจตนาที่จะทำน้ำมนต์หรอก เพราะดุจากการพุดท่านก้เอาตำรามาอ่าน ก้ให้ไปพิจารนาตรงคำว่าอย่าพึ่งเชื่อตำรา อย่าพึ่งเชื่อว่าผุ้นั้นเปนอาจารย์เรา ท่านก้บอกยุ่ว่าอ่านพระไตยปิฎกเล่นอัตถคาถา ดังนั้น ก้ควรนำมาพิจารนาว่า พระผุ้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมสัมมาสัมพุทธะเจ้าจะทำเรื่องแบบนี้ไหม๊ ไม่อย่างให้คนอื่นเอาปะเดนคำว่าแต่งไหม่แต่เก่ามาจับแร้วทะเลาะกันเองในหมุ่ผุ้ทำความดี แต่สิ่งที่ควรทำในหมุผุ้ทำความดีในทางที่ถุกควรเอาเวลาไปบอกสอนแก่ผุ้คนที่ไกล้ชิตเพื่อให้คนที่เหนถุกมีความรุ้มากๆ และมีจำนวนมากๆ เมือความดีและความถุกต้องมีกำลังมากๆ สิ่งที่ไม่ถุกต้อง หรือถุกต้องน้อย หรือถุกต้องบ้าง หรือถุกต้องไม่หมด คนเหล่านี้ เขาก้จะเหนถึงความถุกต้องที่สุด ตอนนี้ที่มีปัญหามากคือ คนที่ไม่เข้าใจในหลักธรรมยังมีอิกมาก ที่พร้อมจะมีที่พึ่งที่ถุกต้อง คนที่เขาไม่เชื่อหากเราไปก้าวก่ายมากไป จะเกิดการไม่ดีต่อความสัมพันของคนอยากทำดี คนที่ถือพระไตยปิฎฏไว้อยุ่อย่างมากเค้าก้คงไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่คนอื่นที่ไม่ได้ศึกษาพระไตยปิฎกนั้นกำลังสร้างความเดือนร้อนแก่แผนดินเปนอันมาก ไม่อยากเหนหมุคนทำดีมีขัดกันเองให้คนที่กะทำความดีสังสัยในสิ่งที่ทำความดี
ประมาณนั้น
อรรถกถาคือสิ่งที่พระเถระท่านขยายความ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่งั้นก็จะมีพวกปัญญาน้อย ไม่รู้บาลี อ่านแค่ฉบับสยามรัฐที่แปลเป็นภาษาไทยโบราณ..ก็ยังตีความได้มั่วเปรียบได้กับ หากพุทธองค์ได้พูดถึงน้ำพริกของไทย พระเถระก็ต้องอธิบายว่าน้ำพริกคืออะไร และอาจบรรยายถึงการทำน้ำพริก ตั้งแต่เครื่องปรุง วิธีทำ รสชาติที่ออกมาสุดท้ายส่วนพวกปัญญาน้อยในยุคหลัง ก็จะด่าพระเถระในยุคก่อนว่าแต่งใหม่ น้ำพริกของแท้ตามพุทธวจนะคือ น้ำที่คั้นจากพริกเท่านั้น
คอมเม้นนี้คือคำแต่งใหม่ ตีความตามความเห็นในอารมณ์ของตน ผสมกับคำพระพุทธเจ้า ไม่ควรอย่างยิ่ง บาปหนา กล่าวตู่
เม้นนี้ ตื้น(ไม่ได้เรียนบาลี) สุดโต่ง รู้ไม่จริง และอันตรายต่อการสืบต่อผิดๆ
@@kolatiswongsoponsiri8157พี่ยกตัวอย่างเห็นภาพเลยครับ
คนพวกนี้อีกหน่อยก็เดินแก้ผ้าเพราะไม่มีอะไรไม่เอาอะลบล้างหมด ถ้าไม่ถืออะไรก็ควรอยู่เฉย ๆ เป็นความเชื่อความเหผ้นส่วนตัวจะดีกว่าไม่ควรชวนคนอื่นเห็นตามด้อยค่า
***เรื่องของน้ำมนต์ (น้ำพระปริตร) เป็นความหลงผิด เห็นผิดก็มีเป็นเรื่องของสัมมาทิฏฐิก็มีได้แต่ถ้าวิเคราะห์ที่สมัยปัจจุบัน แบบหลงผิด อาจเยอะสักหน่อย เพราะขาดการศึกษาเรื่องน้ำมนต์นี้ไม่ได้ขัดกับเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นต้นแต่อย่างใด เพราะจริงๆ องค์ของผู้สวดและผู้ฟังพระปริตร (ตอนทำน้ำมนต์) ก็เป็นแนวทางแห่งการเจริญพุทธานุสสติ เมตตา ศรัทธาที่เชื่อกรรมและผลของกรรม อันประกอบด้วยปัญญาอยู่แล้วขณะที่ใช้น้ำมนต์ ศรัทธา (กุศลจิต) ก็ต้องเกิดปรารภพุทธคุณด้วย เมื่อกุศลจิตอันเป็นเหตุเกิดขึ้น อิฏฐผลตามที่ท่านว่าก็มีโอกาสเกิดได้
Phramaha Parkpoom Silanundo ตกลงมันทำได้รึป่าวครับ ที่ผมเข้าใจ คือทำได้แต่ไม่ควรพร่ำเพรื่อ ให้ดูเป็นกรณีๆไป แบบนี้รึป่าวครับ
@@คลิปความรู้เเต่งใหม่อะไรก่อนฟังคลิปจบปะ
ทำขายล่ะครับ
สาธุ เป็นการให้ความรู้
สาธุ สาธุ
ดันเจ้าค่ะ
ผมว่าท่านอธิบายชัดเจนน่ะครับ ละเอียดเลย
ลฃทเแเ
ท่านสอนถูกสอนตรง
กราบอนุโมทนา พระคุนเจ้าขอรับ
ครับผม อาจารย์ผู้ให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง...วิภัชวาท. เป็นทางถูกในปริยัติศาสนา เจตนา ที่ซ่อนใน จิต เจตสิก มีธรรมทั้งสองฝ่าย...
สาธุ
สวดปริตรแล้ว ฟังแล้วเกิดสติ สมาธิ ปัญญา ไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆ ก็พาพ้นทุกข์ได้
ฟังออกหรือ..
@@วิศาเป็นนวล-ส4ศ😂😂 คำถามของคนโง่ คำแปลเยอะแยะ อ่านคำแปลแล้วฟังจะยากไร
สาธุภันเตใช่แล้วครับเห็นดว้ยครับ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
มงคลที่เป็นเครื่องป้องกันคือ ศีล ซึ่งเป็นเครื่องป้องกันความชั่วทั้งปวง การสวดใดๆให้เป็นภาวนาและกล่าวถึงธรรม
ยุคคำทำนาย ม้ามีเขา คือมอไซค์หูทิพย์ตาทิพย์ คือ โทรศัพท์หัวโล้นชอบลำ = ร้องเพลงหัวดำชอบเทศน์ = โยมสอนพระหลวงปู่บนภูลังกาท่านกล่าว
#วินิจฉัยเรื่องการสวดมนต์และการทำน้ำมนต์(*คำว่า มนต์ ใช้ตามสำนวนที่คุ้นเคยกันในปัจจุบัน ถ้าตามคัมภีร์จะเรียกว่า พระปริตร)เรื่องการทำน้ำมนต์นี้ไม่ใช่เรื่องนอกพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องทำให้ถูกวิธี ดังหลักฐานดังต่อไปนี้ :-ภิกษุถูกชาวบ้านอาราธนาว่า “โปรดทำพระปริตรแก่คนไข้เถิดขอรับ” ดังนี้ ไม่ควรทำ (เพราะจะเป็นการขวนขวายให้แก่พวกคฤหัสถ์),แต่เมื่อเขาอาราธนาว่า “โปรดสวดเถิด” ควรทำ (เพราะเป็นการเชื้อเชิญให้แสดงธรรม)ถ้าแม้ภิกษุนั้นมีความวิตกว่า “ธรรมดาพวกชาวบ้านย่อมไม่รู้ เมื่อเราไม่ทำ จักเป็นผู้เดือดร้อน” ดังนี้ ก็ควรทำส่วนภิกษุถูกอาราธนาว่า “โปรดทำน้ำพระปริตร (ปริตฺโตทกํ) เส้นด้ายพระปริตร (ปริตฺตสุตฺตํ) ให้เถิด” ดังนี้ ควรเอามือกวนน้ำและลูบคลำ เส้นด้ายอันเป็นของชาวบ้านเหล่านั้นแลให้ไป #ถ้าภิกษุให้น้ำจากวัดหรือเส้นด้ายซึ่งเป็นของๆตน #ต้องอาบัติทุกกฏ (ต้องอาบัติทุกกฏเฉพาะเมื่อให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ญาติเท่านั้น)พวกชาวบ้านนั่งถือน้ำและเส้นด้าย กล่าวอยู่ว่า “ขอนิมนต์สวดพระปริตร” ดังนี้ควรทำ, ถ้าเขาไม่รู้[วิธี] ควรบอกให้พวกชาวบ้านกรวดน้ำลงที่เท้าทั้งสองและวางเส้นด้ายไว้ใกล้เท้าทั้งสองของพวกภิกษุผู้นั่งอยู่แล้วก็ไปด้วยกล่าวว่า “ขอนิมนต์ทำพระปริตร สวดพระปริตรเถิด” ดังนี้ ภิกษุไม่พึงชักเท้าออก เพราะว่า พวกชาวบ้านจะเป็นผู้มีความเดือดร้อน (เพราะเมื่อภิกษุชักเท้าออก พวกเขาจะมีความสำคัญว่าเป็นอวมงคล)พวกชาวบ้านส่งคนไปยังวัด เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ที่อยู่ภายในหมู่บ้านด้วยสั่งว่า “ขอภิกษุทั้งหลาย โปรดสวดพระปริตร” ดังนี้ ภิกษุควรสวด#เมื่อโรคหรืออุปัททวะเกิดขึ้นในพระราชมณเฑียรเป็นต้นภายในหมู่บ้าน อิสรชนมีกษัตริย์เป็นต้นรับสั่งให้อาราธนาภิกษุมาแล้วนิมนต์ให้สวด[พระปริตร] #ภิกษุควรสวดอาฏานาฏิยสูตรเป็นต้นแม้เมื่อพวกชาวบ้านส่งคนไปนิมนต์ว่า “ขอภิกษุทั้งหลายจงมาให้สิกขาบท แสดงธรรมแก่คนไข้เถิด” หรือว่า “จงมาให้สิกขาบทแสดงธรรมที่พระตำหนักในหรือที่เรือนของอำมาตย์เถิด” ดังนี้ ภิกษุควรไปให้สิกขาบท ควรกล่าวธรรมพวกชาวบ้านนิมนต์ว่า “ขอภิกษุทั้งหลายจงมาเพื่อเป็นเพื่อนของคนตาย” ดังนี้ ไม่ควรไป [แต่ถึงเขากล่าวอย่างนั้น] ภิกษุจะไปด้วยมุ่งกรรมฐานเป็นหลักว่า “เราจะได้มรณสติเพราะเห็นกระดูกในป่าช้าและเพราะเห็นอสุภะ” ดังนี้ ควรอยู่ (วิ.อฏฺ. ๑/๕๑๑-๒ อธิบายตติยปาราชิก, คำอธิบายในวงเล็บมาจาก สารตฺถ. ๒/๓๓๔-๕)
ขอน้อมอนุโมทนาครับ
ถ้า ท่านเหนื่อย ดื่มน้ำ อาบน้ำ น้ำล้างหน้า สดขื่นไหม น้ำมนต์ที่พระสวดรด ทำให้สดชื่น ทำให้ตื่นตัว ทำให้มีกำลังใจ
ผมค่อนข้างเข้าใจเรื่องยากๆก็เพราะท่านเลยครับ ขอถวายกำลังใจครับท่าน🙏🙏🙏
อยากถามพระอาจารย์เกี่ยวกับสิกขาบทที่เกี่ยวกับผู้มีอายุพรรษามากกว่ามีบทบาทเช่นไรกับนรวกะหรือผู้มีพรรษาน้อยกว่า เพราะนี้เอามาเป็นข้ออ้างข่มผู้มีพรรษาน้อยกว่าแต่มุ่งปฏิบัติตามพระสัทธรรม แต่ผู้มมีพรรษากว่า10ปีมีแค่นะกธรรมตรีจบ
อยากให้พูดถึงเรื่องที่พระภิกษุขายพระเครื่อง(ของปลอม)สร้างแต่วัตถุมงคล เมื่อไรจะมีการสั่งห้ามสร้างเสียที และเดียวนี้พระตุดเยอะมากทำไมปล่อยปะละเลยหลวงพี่เล่าให้ฟังบ้างนะ ขอบคุณนะคะ
ผมเห็นพระบวชมาสิบกว่าพรรษาหากินโดยอาบน้ำมนต์ให้ยมทุกวันจนร่ำรวยมันผิดอาบัติข้อใดครับสมควรมั้ยพระทำแบบนี้ครับอาจารย์มหาตอบให้กระจ่างทีเถอะครับ.
ใช้เดรัชฉานวิชาเลี้ยงชีพครับ
พระเล่นโทรศัพท์ผิดมั้ยคับ
เบื่ิอพุทธวจนครึกริดมากเลย 5555 พาคนเสียสมองเยอะจริงๆ อธิบายไปก็เท่านั้นค่ะ (ดิฉันยังไม่บรรลุ เป็นคนธรรมดา แต่พอเข้าใจได้ ..ว่าไรเป็นไร ) ขอบคุณที่ท่านพระอาจารย์อธิบายค่ะ
ใช่ พอเอาวินัยหรือยกตัวอย่างที่พิสูจน์ได้มาพูดก็ดิ้น รับไม่ได้
อาบน้ำมนต์รดน้ำมนต์กราบไหว้พยานาคโง่ๆไม่เสียสมองเหรอวะ
พระไตรปิฏกมีกี่เล่มในประเทศไทย ณ ตอนนี้แล้วเล่มใหนคือเล่มจริง แล้วอถคถามาจากใหน มีของแท้ไม่ชอบ ชอบของปลอม ถ้าเราเอาพระไตรปิฏกฉบับ สยามรัฐ เล่มเดียว หรือเล่มที่เป็นต้นฉบับจริงๆมาศึกษา ผมว่า ทุกอย่างก็จบ แล้วทำไมละ ๆๆ
พระอานนปะพรมน้ำมนต์มีทั้ง3เล่ม
@@จงกล-ถ4ดขอเลขหน้าไตรปิฏกที่อ้างหน่อยครับ อยากเข้าไปอ่าน
@@nithiyensumran5171 epitaka เสริช อ่านเลย
ใครพูดอะไร เราไม่รู้ก็ฟังไว้ จะว่าไม่เชื่อหรือเชื่อ เราก็ไม่มีเวลาหรือความสามารถที่จะพิสูจน์ความถูกต้องได้ จึงยอมเชื่อไว้ก่อนแหละ เช่นมีตำราว่าหรือคำสอนว่า โลกเราอยู่ห่างดวงอาทิตย์ประมาณ ๙๓ ล้านไมล์ ขืนเรามัวไปพิสูจน์หรือสืบค้นความจริง ก็จะเกิดทุกข์ใจแก่เราได้
เข้าใจมากครับแต่กลัวจะเขว่"เหมือนจะวนเวียนทางโลกเกิน...ขอฟ้งพุทธวจนทางเดียวครับ(ผู้มาใหม่คริสเตียน)
พุทธวจนของอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็ต้องศึกษาให้ดีนะครับฟังหูไว้หูบ้างอย่าเชื่อทั้งหมด ผมเองก็เคยได้ยินมาว่ามีพระผู้ใหญ่ออกมาบอกว่าท่านบิดเบือนคำสอนไปไม่น้อยเหมือนกัน เช่นดอกบัว 4 เหล่า เขาก็หาว่ามีแค่ 3 เหล่า ทั้งที่มีหลายคัมภีร์บอก ว่ามีดอกบัว 4 เหล่า กันทั่วทั้งประเทศ
@@tonnum4143เหมือนว่าเค้าเอามาจากไตรปิฏกนี่ แล้วหลายๆฉบับจะเขียวไว้แบบนั้นหรือเปล่า
ทำให้ดี ก็ดีทำให้ผิด ก็ผิด
ท่านอย่ามาอ้างพระอานนท์และพระพุทธเจ้าเลยครับ ขอถามตรงเลยครับ มีบ้างไหมที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกในสมัยครั้งพุทธกาลไปฉันภัตตาหารในที่นิมนต์ หลังฉันหรือก่อนฉัน ท่านรดน้ำมนต์ให้โยมก่อน ถ้ามีบอกผมด้วย
ตอนเกิด สึนามิ อมนุษย์ไปอยู่ไหนหมด?
ติโรกุฑฑะกัณฑะปัจฉิมภาค (อทาสิเม) เป็นบทที่ใช้ในตอนกรวดน้ำไหมครับ
ไม่ใช่ แต่คนบางที่ก้กรวด ยถาก้กรวด อิมินาก้กรวดๆหมด เอาที่สะดวก
🙏🙏🙏
การเอาพระสูตรหรือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาสวดพร้อมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปก็ยังอาบัติ แต่หากเป็นประณามคาถาที่สวดสรรเสิญคุณพระพุทธ พระธัม พระสงฆ์นั้นไม่อาบัติ พระคูณท่านต้องสึกษาเรื่องนี้ด้วย
พวกไม่เอาอรรถกถา คือ พวกนอกรีต
เป็นอุบายให้ภิกษุสามเณรท่องบ่นสวดมนต์ และสื่อความหมายให้เป็นรูปธรรม เหมือนพระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท เหล่านี้พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติขึ้น แต่ทำขึ้นภายหลังคนก็ยังเคารพกราบไหว้ ฉะนั้นไม่มีแต่ก็ประยุกต์ใช้ได้ การสื่อความหมายจะเอาแต่นามธรรมเช่นสอนจำพระไตรปิฎกถ้ามาถึงปัจจุบันคงเลอะเลือนไปมากก็ยังบันทึกจารึกหลักคำสอนเอาไว้เรียกว่าให้ความรู้เป็นรูปธรรม อยู่ที่จะให้เข้าใจร่วมกันว่าให้เป็นศิริมงคล มันเป็นที่พึ่งทางใจ คนเราเข้าใจเข้าถึงธรรมต่างระดับกัน ก็ต้องมีอุบายสอนคนที่หลากหลายขึ้น เว้นแต่อย่าสอนให้งมงายเท่านั้น
แต่พอคิดอีกที่ มันเหมือน ฮินดู ไปครับ
@@Olympians88ต่างกันครับ พระปริตรส่วนใหญ่มีความหมายครับ เหมือนการแสดงธรรมนั้นแหละ ถ้าสวดบทนั้นทุกๆวันจะเกิดความจำปิติ จะซึมซับบาลีพอไปรู้ความหมายอินทรีแก่กล้าเข้าถึงธรรมได้ง่าย ส่วนอินดูคือการขออำนาจของเทพเจ้าไม่ได้มีหลักธรรมอะไรแต่คือการอ้อนวอน แต่มีความคล้ายอยู่เพราะมีการเชื่อในสิ่งนึงเป็นแกนหลัก อย่างพุทธต้องเชื่อในพระพุทธเจ้า อินดูต้องเชื่อในเทพเจ้าของตน แต่ไม่แปลกเพราะศาสนามาจากแก่นเดียวกัน แตกต่างกันที่หลักปฎิบัติเท่านั้น
เอาจริงๆนะ ใครจะเชื่อก็เชื่อไป ใครไม่เชื่อก็ชั่งตัวใครตัวมัน ปล่อยตามยถา.
อรรถคาถาหรือพุทวจนกันแน่ครับ
ถ้ามีท่านทำให้ขลังใด้มั้ยคอรับ แบบ พรมแล้วเห็นผลทันตา เกิดไม่ขลังไม่เห็นผลที่เทียงแท้ พระจะต้องอาบัติใด อวดอุ....หรือเปล่าครับ โทษของอาบัตินี้คือพระคงรู้ดี
ประเทศไทยเถียงกันได้ทุกเรื่อง
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำเดรัจฉานวิชา เห็นปานนี้อยู่, คืออะไรบ้าง ? คือ บนขอลาภผลต่อเทวดา ทำการบวงสรวงแก้บน สอนมนต์กันผีกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้เป็นชาย ทำชายให้เป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำการบวงสรวงในที่ปลูกเรือน พ่นน้ำมนต์ บูชาเพลิงให้บ้าง ประกอบยาสำรอกให้บ้าง ประกอบยาประจุ ประกอบยาถ่ายโทษข้างบน ประกอบยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมัน หยอดหู ทำยาหยอดตา ประกอบยานัตถ์ุ ประกอบยาทำให้กัด ประกอบยาทำให้สมาน เป็นหมอป้ายยาตา เป็นหมอผ่าบาดแผล เป็นหมอกุมาร หมอพอกยาแก้ยาให้บ้าง. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำเดรัจฉานวิชา เห็นปานนั้นเสียแล้ว. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
พูดไห้คนเขัาใจผิดและใม่เข้าใจอีกด้วย
ท่านมหา..น่าจะลองศึกษากาลามสูตรให้ดีๆนะครับ..การเชื่อเอาอรรถกถา..ทุกเรื่องทุกเล่ม..โดนไม่รู้ประวัติที่มาเลย..โดยเฉพาะเรื่องแปล. พระปริตเป็นน้ำมนต์..นี่เป็นอัตโนมติของท่านเองนะครับ..ชั้นพ.ไตรปิฎก..มีการสวดปริต..แต่ไม่มีการทำน้ำมนต์ในสูตรปริตเลยครับ..ท่านไม่ควรเอาอรรถกถามาปน..พุทธวจนะจากพ.ไตรปิฎก45เล่ม..มันทำให้..พุทธไทยถูกบิดเบือน..ไปทางอิทธิปาฏิหารย์..มากกว่าอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์มากเกินไปครับ...
ตอนนี้เป็นไงคนตายฟังธรรม ฟังภิกขุตรีบางนะท่านบอกเเล้วว่าพระพุทธเจ้าผู้เดียวที่บอกว่าใครไปทุคติเเละสุคติ
ไม่เอาอรรถกถา แล้วคิดแปลเอง ไปตัดพระวินัยเอง อย่างนั้นเหรอ
@@sansun7227 555 จากที่ผมศึกศาพุธวจน มานาน นะครับ ของท่านเขาเรียกว่า โคนตรงแต่ปลายคตง้อครับเข้าใจไหมครับคำนี้ คำพูดที่พูดตอนแรกมันใช่ครับ แต่พอเขาอธิบายลึกลงไปมันไม่ใช้เลยครับ
@@kitti562ศึกษาพุทธวจนะ ควรศึกษาบาลี
เม้นนี้ กล้าตัดอรรถกถา แสดงว่าเก่งกว่าพระสังฆาจารย์
ถ้าไม่ได้ท่านผมก็คงหลงผิดไปนาน
งงๆๆ ลองพิจารณาดีๆ แบบใช้สติ ในคลิป เดรัจฉานวิชา...คืออะไรและมีอะไรบ้าง? FAQ โดยพระมหาภาคภูมิ สีลานนฺโท ua-cam.com/video/b9pN0gYuz_Y/v-deo.html ได้อธิบายเรื่อง เดรัจฉานวิชา ยกตัวอย่าง ๔. #ศาสตร์ว่าด้วยพิธีการ ได้แก่ การทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีพ่นเครื่องเซ่นบูชาไฟ พิธีพลีกรรมด้วยเลือด พิธีบนบาน พิธีแก้บน ร่ายมนตร์ขับผี ตั้งศาลพระภูมิ พิธีทำกะเทยให้เป็นชาย พิธีทำชายให้เป็นกะเทย พิธีปลูกเรือน พิธีบวงสรวงพื้นที่ ล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ ให้อาบน้ำมนต์ พิธีบูชาไฟ พิธีบวงสรวงดวงอาทิตย์ พิธีบวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีเรียกขวัญ มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้าม ภิกษุทำ เเต่ทำไมใน ( อรรถกถา ) ถึงให้พระอานนท์ ทำน้ำมนต์ มาไล่ผี ไล่อมนุษย์ เเสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติผิดหรือป่าว ทำไมคำของพระองค์ทรง ( ขัดเเย้งกันเอง ) หรือจะผิดที่ใคร....??? เเล้วจะเชื่อพระพุทธเจ้า หรือเชื่ออรรถกถา.... ส่วนในปัจจุบัน น้ำมนต์+สายสายสิน มีไว้เพื่อ 1.ไล่ผี กันผี ป้องกันสิ่งชั่วร้าย 2.เชื่อว่าน้ำมนต์ กิน ดื่ม อาบ ใช้สะเดาะเคราะห์ได้ 3. ทำให้เกิดสิ่งดีในชีวิต เเล้วมันต่างจากคนอินเดียในปัจจุบันอย่างไร คนในอินเดียยังเดินลงเเม่ น้ำคงคา เพื่องปลงบาป เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆๆ งง เเล้วถ้ายังเชื่อ จะไปนิพพานกันยังไงละทีนี้????? ขอยกตัวอย่างอีกนิดครับ ผมได้ไปหาอ่านมาแล้ว ยาวหน่อย... เป็นพระสูตรที่ยาว พระพุทธเจ้าทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่อง ภิกษุเว้นขาดจากการทำ เดรัจฉานวิชา จึงขอตัดพระสูตรที่สำคัญมาเเสดงไว้ ไปหาอ่านได้ครับ...... [๑๒๐] ๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตาปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผลแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง. [๑๒๑] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลยเพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล. จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ( สามัญญผลสูตร )..................ใช้สติ ใช้ปัญญา พิจารณาดูว่า ควรศรัทธา ควรเชื่อ และควรจะประพฤติปฏิบัติตามเเบบใด ขอบคุณครับ......
ไม่ได้ทำน้ำมนต์ไล่ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ไปไล่ใคร ท่านให้ไปเทศน์กับอมนุษย์และญาติโยม แค่นั้น น้ำมนต์ที่พรมหมายถึงสัญลักษณ์ว่าบุญที่อุทิศให้นี้ให้แล้วให้เลย จงรับบุญไปแล้วอย่าเบียดเบียนกัน
ครูบาพูดไวไปนิด55
มั่ว พระพุทธเจ้าท่านไม่มาทำของไร้สาระปัญญาอ่อนอย่างนี้หรอก
อ่านพระไตรปิฎกทั้งฉบับครับ อย่าบางส่วน
สมณะต้องเคร่งครัดในธรรมวินัย เรื่องทำน้ำมนต์ บูชาน้ำ บูชาไฟ พระองค์ตรัสว่าท่านไม่ทำ ดังนั้นผู้ที่เป็นสงฆ์จึงไม่ควรแถ ไม่ควรเลี่ยงบาลี และไม่ควรวินิจฉัยเอง อีกอย่างทำน้ำมนต์เพื่อประโยชน์อันใด การเข้าถึงธรรม ก็ต้องปฏบัติตามธรรมเท่านั้น พระที่เลี่ยงบาลีเช่นนี้ ถือว่าทำให้มหาชนหมดสุข เป็นสาวกนอกธรรมวินัย เป็นผู้ที่ทำลายพุทธศาสนา ตามที่พระศาสดาบัญญัติว่า ในกาลแห่งอนาคต ภิกษุสงฆ์จะไม่สนใจประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งคือ ผู้สอนธรรม มักจะเหมารวมเอาอรรถกถามายัดลงไป โดยอ้างว้าเป็นพุทธศาสนา ที่มหาเอามาอ้างนั้น เป็นอรรถกถาครับ ลองคิดดูสิ ในความเป็นจริง พระอานนท์จะไปไล่ผีหรือ ? จะไปรังแกผีหรือ? ผมขอเน้นว่า เรื่องของจริยธรรรมะ รวมถึงสัจธรรม อย่าอ้างอรรถกถาครับ สวนเรื่องห่มผ้าอะไรนั่นไม่ว่ากัน เพราะการห่มผ้าไม่เกี่ยวกับกฏแห่งกรรมท่าน
จริงๆผมคิดว่าควรจะอ้างได้หากอรรถกถามาจาก พระอริยะเจ้า[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 20อันธรรมดาว่า การเรียนพระพุทธพจน์แม้มากมาย แล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ย่อมไม่มีแก่ปุถุชน
น้ำปริตร น้ำมนต์ แปลตรงๆก็คือ น้ำอัปมงคล..พระที่ทำน้ำมนต์ ก็เท่ากับทำน้ำอัปมงคล...อีกอย่าง สวดมนต์ ก็ไม่ไช่คำสอนพระศาสดา แต่เป็นของลัทธิอื่น เรียกว่า มันตระ มันตรา...เป็นพระอย่าเลี่ยงบาลี เพราะจะสร้างความเข้าใจผิดแก่มหาชน สงฆ์ประเภทนี้พระศาสดาเรียกว่า "สาวกชั่ว" สาวกนอกวินัย ทำผิดวินัย มีเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นสาวกที่ไม่ควรกราบไหว้ เพราะไม่ไช่พระ เห็นพูดมาหลายคลิป และเอามาอ้าง..ก็เป็นคำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นคำกล่าวของสาวก ... แนะนำให้ท่านศึกษาคำสอนพระศาสดาเท่านั้น จะได้ไม่หลงทาง และหลงผิด www.anakame.com/page/7_Book.htm
Duang wongprasit คุณละกิเลสของคุณได้หรือยัง
เรื่องกิเลส หากเป็นผู้มีปัญญา ก็ต้องพยายามละเลิก ส่วนผู้มีสายตามืดบอด ก็จะไม่สนใจ และมองไม่เห็น ยังเป็นปุถุชน ส่วนที่มองเห็นจะเป็นผู้ที่มีจิตน้อมหาพระศาสดา คุณมีจิตน้อมเข้าแล้วหรือยัง หากยังก็แสดงว่ามีความเสียงที่จะไปอบายตามที่พระศาสดาตรัสไว้
บอกแล้ว "ลัทธิพุทธวจน" สาวกเต็มไปด้วย "มานะทิฏฐิ"นี่แค่ เถรวาทด้วย ยังมองว่าเลวหากต่างนิกาย ต่างศาสนา"คงเลวหมด" ดีแต่สาวกคึกกลุ่มเดียว........ อย่าแบกไว้นัก "มานะ" มันหนัก....
รู้เรยสาวกใคร
@@pim482 คนตายฟังธรรมบรรลุได้นั้นเหลอ
เห็นหลายๆคอมเม้นทีเดียว ที่ใช้คำว่าจะเอาแต่พุทธวจน อรรถกถาโดนนำมายัดบ้างเป็นคำแต่งใหม่บ้าง ...อันนี้เป็นคำสอนที่เกิดจากความไม่รู้ ของพระสงฆ์บางรูป ที่บวชเรียนมาปี 2 ปีก็ทำตนเสมือนตรัสรู้แล้ว...ผมขี้เกียจพูดมาก เอาเป็นว่าถ้าคุณใช้พระไตรปิฎกที่แปลแล้ว เช่นพระไตรปิฎกภาษาไทย อังกฤษ พม่า นั่นคือคุณได้ใช้อรรถกถาไปแล้ว
สงสัยมหาจะบรรลุธรรมล่ะ สาทุ
น้ำมนต์ก็เหมือนของขลัง ถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชา
ทำไมต้องลงท้ายด้วยคำว่า ครับ?เราเป็นพระนะครับ ควรใช้คำว่า นะโยมนะ จึงจะถูกต้อง
คนฟังไม่ได้มีเฉพาะโยมเนาะ จุดไหนที่พูดครับก็แสดงว่ามุ่งพูดกับภิกษุหรือสามเณร
คุณนี่ศึกษาถึงขั้นปรมัตรึยังที่จะไปตำหนิพระ ทำไมไม่บอกหลวงพ่อคูณห้ามพูดกูมึงล่ะ มันก็แค่ภาษา พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติ
มหาพูดเร็วฟังไม่ทัน พุทธศาสนามีแนวความคิดหลากหลาย สรุปไม่ได้
ทำไมเอาแต่อรรถกถามาพูด ควรจะเอาคำพระศาสดามาพูด
ท่านตอบคำถามกับผู้ที่สงสัยแล้วถามท่านตอบคำถาม
พระพูดช้า ๆ ชัด ๆ อันไหนทำได้ไม่ได้ บางทีก็ฟังไม่ชัด
สรุปเป็นของชาวบ้านไม่ใช่พุทธวจน
แถไปเรื่อย รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำมันทำให้ตัวเองและคนอื่นเข้าใกล้ธรรมมากขึ้นไหม ลองคิดเอาเอง
ปยอ.นะสาวกคึก
เอาดีๆ มหา หรือหมา แสดงสิ่งที่บิดาท่านบอกใว้ แล้วกัน เรื่องที่ถูกก็บอกตรงๆ อย่าบ้าบอ จากมหาเป็นหมาน่ะ
ปากเเซ่บจังขอให้เจอโค้งไวๆละไปอบาย
อ่านหลายคอมเม้นท์ที่ถกเถียงกันแล้วสนุกดีครับแต่ที่จริงแล้วพระภิกษุรูปนี้เพียงแต่พยายามอธิบายข้อความที่มีอยู่ในคัมภีร์ต่างทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเราเพื่อความเข้าใจกระจ่างแก่ผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่การศึกษาทั่วไปโดยอ้างที่มาตามแบบแผนซึ่งสามารถจะตรวจสอบเพิ่มเติมได้โดยที่ท่านเองก็ไม่ได้บัญญัติขึ้นใหม่หรือยกเมฆแต่อย่างใดซึ่งผู้ฟังอาจเห็นว่าผิดถูกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลก็เป็นไปตามหัวข้อเรื่องคือนานาวินิจฉัยนั่นเองแต่ผมกลับเห็นว่ามีประโยชน์มากครับเพราะไม่ต้องไปเสียเวลาค้นคว้าเองและดีกว่าต้องฟังคนที่ไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลยคิดเองเออเองแสดงความเห็นส่วนตัวโดยไม่มีหลักไม่มีที่มาซึ่งพลอยทำให้คนทั่วไปซึ่งไม่รู้อยู่แล้วพลอยสับสนลังเลหรือมั่วไปหมดเพราะไม่รู้จะเชื่อใครดีอนุโมทนาสาธุนะครับ
หนังสือที่บอกนี้ทั้งหมดทุกเรื่องขอได้ไหม
การรดนำมนต์มีมาแต่สมัยเมืองไผสาลีตอนเข้าหมากม้ากแพงอมนุตรกาดเกื่อนถ้าเขาต้องการก็ทำแต่ต้องไม่ขั้ดกับพระวินัยในฐานะผมก็เป้นมหาอีกคน
พระองคุลีมาลก็ทำน้ำมนต์ให้คนคลอดลูกง่ายกิน
อ้าว ไม่ใช่แค่กล่าวคำแค่นั้นหรอครับ เล่มไหนที่ว่าทำน้ำมนต์ ผมจะได้ไปอ่าน
ไม่ได้ทำอย่ามั่ว
ทำไมพุทธวจนบอกว่าน้ำมนต์คือเดรัจฉานวิชางงไปหมดแล้ว
ที่หลวงพี่อธิบาย.เป็นอรรคกถาครับ...ไม่ใช่คำที่ออกจากโอทพุทธองค์
ผู้หญิงทำน้ำมนต์ได้หรือไม่ต้องเป็นคนมีคุณธรรมจริงหรือไม่
ผู้รู้พุทธศาสน์แท้จริงคือปัญญาวิมุตฺและเจโตวิมุตฺปัญญาเท่านั้นนอกนั้นฯลฯอิๆๆๆๆๆ
#วินิจฉัยเรื่องการรดน้ำมนต์
การรดน้ำมนต์เป็นเดรัจฉานวิชาหรือไม่และพระรดน้ำมนต์ต้องอาบัติหรือไม่?
มีชาวพุทธบางกลุ่มเข้าใจว่า การรดน้ำมนต์เป็นเดรัจฉานวิชา พระไม่ควรทำ แต่จริงๆ แล้ว ที่จัดเป็นเดรัจฉานวิชาซึ่งมาในพรหมชาลสูตร (ที.สี.) นั้น มีกล่าวไว้ ๒ แบบ คือ #อาจมนะ ใช้น้ำมนต์ล้างหน้า และ #นหาปนะ อาบน้ำมนต์ให้ผู้อื่น (ตามความเข้าใจส่วนตัว อาจมนะ น่าจะหมายถึง การใช้น้ำเช่นน้ำในแม่น้ำคงคาเป็นต้นเทราดลงบนใบหน้า และ นหาปนะ น่าจะหมายถึง การทำพิธีให้อาบน้ำในแม่น้ำเช่นแม่น้ำคงคาเป็นต้น) ซึ่งทั้ง ๒ แบบเป็นวิธีของพวกพราหมณ์ เป็นคนละลักษณะกับการรดน้ำมนต์ในพระพุทธศาสนา
หลักฐานเรื่องที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุทำการรดน้ำมนต์ มีแสดงไว้ในอรรถกถารัตนสูตร (ขุทฺทก.อฏฺ. ๑๔๑-๔) ดังนี้ :-
"พระผู้มีพระภาคประทับยืนใกล้ประตูพระนครทรงเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า “อานนท์ เธอจงเรียนรัตนสูตรนี้ ถือเครื่องประกอบพลีกรรม เที่ยวเดินไประหว่างกำแพง ๓ ชั้นแห่งกรุงเวสาลีกับพวกเจ้าลิจฉวีราชกุมาร ทำพระปริตร” แล้วได้ตรัสรัตนสูตร
รัตนสูตรนี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสใกล้ประตูกรุงเวสาลีเพื่อกำจัดอุปัทวะเหล่านั้น ท่านพระอานนท์ได้เรียนเอาในวันที่พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงกรุงเวสาลีนั่นเอง
เมื่อท่านจะกล่าวเพื่อเป็นปริตร (เครื่องป้องกันอุปัทวะ) จึงเอาบาตรของพระผู้มีพระภาคตักน้ำมา เดินประพรมไปทั่วพระนคร พอพระเถระกล่าวว่า ยงฺกิญฺจิ เท่านั้น พวกอมนุษย์ที่อาศัยกองขยะและที่ฝำเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในตอนแรก (คือตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จมา) ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง ๔ ประตูทั้งหลายก็ไม่มีที่ว่าง อมนุษย์บางพวกเมื่อไม่ได้ที่ว่างที่ประตูทั้งหลาย ก็ทลายกำแพงเมืองหนีไป พอพวกอมนุษย์พากันไปแล้ว ที่เนื้อตัวของพวกมนุษย์ทั้งหลาย โรคก็สงบไป พวกมนุษย์ทั้งหลายก็พากันออกมาบูชาพระเถระด้วยดอกไม้ของหอมเป็นต้นทุกอย่าง มหาชนเอาของหอมทุกอย่างฉาบทาสัณฐาคารที่ประชุมท่ามกลางพระนคร ทำเพดานขจิตด้วยรัตนะ ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง ปูพุทธอาสน์ลง ณ ที่นั้นแล้วนำเสด็จพระผู้มีพระภาคมา
พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าสัณฐาคาร ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปูไว้ ทั้งภิกษุสงฆ์ คณะเจ้า และมนุษย์ทั้งหลายก็นั่ง ณ อาสนะที่เหมาะที่ควร แม้ท้าวสักกะจอมทวยเทพก็ประทับนั่งใกล้กับเทวบริษัทในเทวโลกทั้งสอง ทั้งเทวดาอื่นๆ ด้วย
แม้ท่านพระอานนทเถระพอเที่ยวเดินไปทั่วกรุงเวสาลี ทำอารักขาแล้ว ก็มาพร้อมกับชาวกรุงเวสาลี นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสรัตนสูตรนั้นนั่นแหละแก่ทุกคนอีกครั้งหนึ่ง"
จากหลักฐานที่ยกมาจะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุทำการรดน้ำมนต์ ทั้งในอรรถกถาของมนุสสวิคคหสิกขาบท (วิ.อฏฺ.๑/๕๑๑-๒, สารตฺถ.๒/๓๓๔-๕) ก็มีการกล่าวถึงการทำน้ำมนต์ (น้ำพระปริตร) และด้ายสายสิญจน์ (ด้ายพระปริตร) เอาไว้ด้วย โดยมีหลักที่ทำให้ไม่ผิดวินัยอยู่ว่า #ห้ามใช้น้ำหรือด้ายที่เป็นของตนในการทำน้ำมนต์และผู้นิมนต์ต้องใช้คำนิมนต์ให้ถูกต้อง (ถ้าใช้น้ำหรือด้ายของตน ต้องอาบัติทุกกฏ)
แต่ในเรื่องการรดน้ำมนต์ในเมืองเวสาลีนี้ ในคัมภีร์ท่านกล่าวไว้เพียงว่า ท่านพระอานนทเถระท่านเดินประพรมไปทั่วพระนคร มิได้กล่าวว่า ประพรมใส่ชาวเมือง จึงมีแง่มุมที่ควรคิดอีกว่า หากภิกษุจงใจประพรมน้ำมนต์ให้ถูกพวกชาวบ้านนั้นจะต้องอาบัติอะไรได้บ้างหรือไม่?
ตอบว่า หากจะมีโอกาสต้องอาบัติได้หรือไม่ ก็อยู่ที่เจตนา คือ หากมีเจตนาจะทำตัวเป็นหมอผี ประพรมน้ำมนต์เพื่อขับไล่ผี ก็จะต้องอาบัติทุกกฏได้ หรือหากมีจิตกำหนัดแล้วไปประพรมใส่ผู้หญิง ก็จะต้องอาบัติเกี่ยวกับกายสังสัคคสิกขาบท ในกรณีที่ว่าถ้าภิกษุมีความกำหนัดแล้วใช้ของเนื่องด้วยกายถูกต้องของเนื่องด้วยกายหญิงมนุษย์ (ในเรื่องนี้คือน้ำมนต์ไปถูกเสื้อผ้าผู้หญิง) จะต้องอาบัติทุกกฎ หรือหากมีเจตนาจะประจบประแจงเอาใจคฤหัสถ์ ก็จะต้องอาบัติทุกกฎ เพราะประทุษร้ายตระกูล คือ ทำศรัทธาที่บริสุทธิ์ของเขาให้เสื่อมไป กลับกลายมาเป็นชอบใจตนเองแทน ซึ่งอาการอย่างนี้ เป็นอาการของตัณหาไม่ใช่ศรัทธา
แต่ถ้าไม่มีเจตนาจะทำตัวเป็นหมอผี ไม่ได้มีความกำหนัด หรือไม่มีเจตนาประจบประแจงเอาใจคฤหัสถ์ ก็ยังไม่พบอาบัติในเรื่องนี้โดยตรง แต่ถ้าจะกล่าวให้ตรงตามคัมภีร์ก็เห็นว่า หากจะมีการประพรมน้ำมนต์ก็ควรใส่ใจว่าประพรมบ้านและบริเวณบ้าน ซึ่งหากใส่ใจอย่างนี้ ถึงน้ำมนต์จะไปถูกชาวบ้านบ้างก็ไม่เป็นไร
พระมหาภาคภูมิ สีลานนฺโท
จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม
ขอพระสัทธรรมจงดำรงมั่นตลอดกาลนาน
นี่แลท่าน งั้ยพระสงฆ์ในไทย จะมีคำว่า มหา ไว้ทำใมล่ะ ถ้าเรามองถึงจุดประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริง สาธุธรรมด้วยครับ
Idonenouno
@@MahaSilananda ท่านพระอาจารย์ครับการรดน้ำมนต์ในอรรถกถาไม่ได้ทำเป็นอาชีพนะครับ แค่ครั้งเดียวเอง ตอนชาวบ้านเกิดวิกฤติเท่านั้นมิใช่หรือ แต่พระทุกวันนี้ท่านทำเป็นอาชีพนะครับ รดน้ำมนต์ทุกงานที่ไปฉันในที่นิมนต์ แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยรดนำ้มนต์ในภาวะปกติเลยนะครับ เข้าข่ายประจบคฤหัสน์นะครับ เท็จจริงประการใดโปรดพิจารณาดูครับ
ไม่ยึดเอาในพุทธวัจนเปนหลักหรอคับ อรรถเปนคำแต่งใหม่หรือเปล่า ถ้าแต่งใหม่ก็ผิดนะ
ท่านมหาองค์นี้ เป็นผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อ กว้างใหญ่ ความคิดความอ่านกว้างขวางมาก มองทะลุทุกด้าน จิตของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา ขอให้ท่านมีแต่ความสุข ความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ
ฟังท่านพูดแล้วเพลิดเพลินรื่นเริงในธรรม ได้ความรู้ ขอให้สุขภาพแข็งแรง อยู่นานๆ เป็นวิทยาทานให้ภิกษุผู้บวชใหม่ นำไปปฏิบัติสืบไป สาธุ
ขออนุโมทนาครับพระคุณเจ้า
กราบอนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ สิ่งที่ไม่รู้ได้รู้ สิ่งที่รู้แล้วก็ชัดเจนขึ้น 🙏🙏🙏 สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
สาธุครับ
กราบนมัสการค่ะ ปกติโยมจะสวดพระปริตรทุกบทรวมทั้งอาฏานาฏิยะปริตรทุกวัน ถ้าเช่นนั้นในเวลาปกติก็ไม่ควรสวดอาฏานาฏิยะปริตรใช่หรือไม่ค่ะ ควรสวดเฉพาะในเวลาที่ไปที่ ที่รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยใช่ไม๊ค่ะ แต่จิตโยมไม่เคยคิดว่าจะสวดไล่ใคร คิดแต่จะสวดบูชาคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เท่านั้น อย่างนั้นควรจะสวดต่อหรือว่างดสวดดีค่ะ 🙏🙏🙏
สวดได้ ในความหมายบทนั้นก็เป็นการระลึกถึงพระรัตนตรัยนั่นแหละ
@@MahaSilananda ขอบพระคุณค่ะ กราบนมัสการค่ะ🙏🙏🙏
สาธุค่ะสาธุค่ะ,สาธุค่ะ,แม่ชี,ฟังธรรมมะดีมากเลยค่ะฟังไปภาวนาไปด้วย,มีความปิติ
สาธุ สาธุ สาธุ กราบนมัสการท่าน โยมได้ทราบ พระวินัยจะได้ ปฏิบัติ ตัวถูกต้อง เป็นการรักษาพระศาสนา ด้วยเจ้าค่ะ
อนุโมทนากับท่านที่แสดงธรรมตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สาธุๆๆครับ
สาธุในพระธรรมวินัยครับพระมหา
ฟังด่วยดีก็มีปัญญา ฟังด้วยอคติก็มีแต่อกุศล
คำพุดเหล่าไดที่นอกเหนือจากคำพุดอรหันตสัมมาสัมพุทเจ้าแร้ว อาจผิดพลาดได้ อาจคาดเคลื่อนได้ เพราะในโลกนี้มีผุ้เดียวที่สามารถกำหนดสมาธิทุกครั้งได้ในเวลาพุดคืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ทั้งนี้ท่านผุ้เปนสงสาวกผุ้นี้ก้เอาตามตำรา คงมิได้มีเจตนาที่จะทำน้ำมนต์หรอก เพราะดุจากการพุดท่านก้เอาตำรามาอ่าน ก้ให้ไปพิจารนาตรงคำว่าอย่าพึ่งเชื่อตำรา อย่าพึ่งเชื่อว่าผุ้นั้นเปนอาจารย์เรา ท่านก้บอกยุ่ว่าอ่านพระไตยปิฎกเล่นอัตถคาถา ดังนั้น ก้ควรนำมาพิจารนาว่า พระผุ้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมสัมมาสัมพุทธะเจ้าจะทำเรื่องแบบนี้ไหม๊ ไม่อย่างให้คนอื่นเอาปะเดนคำว่าแต่งไหม่แต่เก่ามาจับแร้วทะเลาะกันเองในหมุ่ผุ้ทำความดี แต่สิ่งที่ควรทำในหมุผุ้ทำความดีในทางที่ถุกควรเอาเวลาไปบอกสอนแก่ผุ้คนที่ไกล้ชิตเพื่อให้คนที่เหนถุกมีความรุ้มากๆ และมีจำนวนมากๆ เมือความดีและความถุกต้องมีกำลังมากๆ สิ่งที่ไม่ถุกต้อง หรือถุกต้องน้อย หรือถุกต้องบ้าง หรือถุกต้องไม่หมด คนเหล่านี้ เขาก้จะเหนถึงความถุกต้องที่สุด ตอนนี้ที่มีปัญหามากคือ คนที่ไม่เข้าใจในหลักธรรมยังมีอิกมาก ที่พร้อมจะมีที่พึ่งที่ถุกต้อง คนที่เขาไม่เชื่อหากเราไปก้าวก่ายมากไป จะเกิดการไม่ดีต่อความสัมพันของคนอยากทำดี คนที่ถือพระไตยปิฎฏไว้อยุ่อย่างมากเค้าก้คงไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่คนอื่นที่ไม่ได้ศึกษาพระไตยปิฎกนั้นกำลังสร้างความเดือนร้อนแก่แผนดินเปนอันมาก ไม่อยากเหนหมุคนทำดีมีขัดกันเองให้คนที่กะทำความดีสังสัยในสิ่งที่ทำความดี
ประมาณนั้น
อรรถกถาคือสิ่งที่พระเถระท่านขยายความ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่งั้นก็จะมีพวกปัญญาน้อย ไม่รู้บาลี อ่านแค่ฉบับสยามรัฐที่แปลเป็นภาษาไทยโบราณ..ก็ยังตีความได้มั่ว
เปรียบได้กับ หากพุทธองค์ได้พูดถึงน้ำพริกของไทย พระเถระก็ต้องอธิบายว่าน้ำพริกคืออะไร และอาจบรรยายถึงการทำน้ำพริก ตั้งแต่เครื่องปรุง วิธีทำ รสชาติที่ออกมาสุดท้าย
ส่วนพวกปัญญาน้อยในยุคหลัง ก็จะด่าพระเถระในยุคก่อนว่าแต่งใหม่ น้ำพริกของแท้ตามพุทธวจนะคือ น้ำที่คั้นจากพริกเท่านั้น
คอมเม้นนี้คือคำแต่งใหม่ ตีความตามความเห็นในอารมณ์ของตน ผสมกับคำพระพุทธเจ้า ไม่ควรอย่างยิ่ง บาปหนา กล่าวตู่
เม้นนี้ ตื้น(ไม่ได้เรียนบาลี) สุดโต่ง รู้ไม่จริง และอันตรายต่อการสืบต่อผิดๆ
@@kolatiswongsoponsiri8157พี่ยกตัวอย่างเห็นภาพเลยครับ
คนพวกนี้อีกหน่อยก็เดินแก้ผ้าเพราะไม่มีอะไรไม่เอาอะลบล้างหมด ถ้าไม่ถืออะไรก็ควรอยู่เฉย ๆ เป็นความเชื่อความเหผ้นส่วนตัวจะดีกว่าไม่ควรชวนคนอื่นเห็นตามด้อยค่า
***เรื่องของน้ำมนต์ (น้ำพระปริตร) เป็นความหลงผิด เห็นผิดก็มี
เป็นเรื่องของสัมมาทิฏฐิก็มีได้
แต่ถ้าวิเคราะห์ที่สมัยปัจจุบัน แบบหลงผิด อาจเยอะสักหน่อย เพราะขาดการศึกษา
เรื่องน้ำมนต์นี้ไม่ได้ขัดกับเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นต้นแต่อย่างใด เพราะจริงๆ องค์ของผู้สวดและผู้ฟังพระปริตร (ตอนทำน้ำมนต์) ก็เป็นแนวทางแห่งการเจริญพุทธานุสสติ เมตตา ศรัทธาที่เชื่อกรรมและผลของกรรม อันประกอบด้วยปัญญาอยู่แล้ว
ขณะที่ใช้น้ำมนต์ ศรัทธา (กุศลจิต) ก็ต้องเกิดปรารภพุทธคุณด้วย เมื่อกุศลจิตอันเป็นเหตุเกิดขึ้น อิฏฐผลตามที่ท่านว่าก็มีโอกาสเกิดได้
Phramaha Parkpoom Silanundo ตกลงมันทำได้รึป่าวครับ ที่ผมเข้าใจ คือทำได้แต่ไม่ควรพร่ำเพรื่อ ให้ดูเป็นกรณีๆไป แบบนี้รึป่าวครับ
@@คลิปความรู้เเต่งใหม่อะไรก่อนฟังคลิปจบปะ
ทำขายล่ะครับ
สาธุ เป็นการให้ความรู้
สาธุ สาธุ
ดันเจ้าค่ะ
ผมว่าท่านอธิบายชัดเจนน่ะครับ ละเอียดเลย
ลฃทเแเ
ท่านสอนถูกสอนตรง
กราบอนุโมทนา พระคุนเจ้าขอรับ
ครับผม อาจารย์ผู้ให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
...วิภัชวาท. เป็นทางถูกในปริยัติศาสนา เจตนา ที่ซ่อนใน จิต เจตสิก มีธรรมทั้งสองฝ่าย...
สาธุ
สวดปริตรแล้ว ฟังแล้วเกิดสติ สมาธิ ปัญญา ไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆ ก็พาพ้นทุกข์ได้
ฟังออกหรือ..
@@วิศาเป็นนวล-ส4ศ😂😂 คำถามของคนโง่ คำแปลเยอะแยะ อ่านคำแปลแล้วฟังจะยากไร
สาธุภันเตใช่แล้วครับเห็นดว้ยครับ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
มงคลที่เป็นเครื่องป้องกันคือ ศีล ซึ่งเป็นเครื่องป้องกันความชั่วทั้งปวง การสวดใดๆให้เป็นภาวนาและกล่าวถึงธรรม
ยุคคำทำนาย
ม้ามีเขา คือมอไซค์
หูทิพย์ตาทิพย์ คือ โทรศัพท์
หัวโล้นชอบลำ = ร้องเพลง
หัวดำชอบเทศน์ = โยมสอนพระ
หลวงปู่บนภูลังกาท่านกล่าว
#วินิจฉัยเรื่องการสวดมนต์และการทำน้ำมนต์
(*คำว่า มนต์ ใช้ตามสำนวนที่คุ้นเคยกันในปัจจุบัน ถ้าตามคัมภีร์จะเรียกว่า พระปริตร)
เรื่องการทำน้ำมนต์นี้ไม่ใช่เรื่องนอกพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องทำให้ถูกวิธี ดังหลักฐานดังต่อไปนี้ :-
ภิกษุถูกชาวบ้านอาราธนาว่า “โปรดทำพระปริตรแก่คนไข้เถิดขอรับ” ดังนี้ ไม่ควรทำ (เพราะจะเป็นการขวนขวายให้แก่พวกคฤหัสถ์),
แต่เมื่อเขาอาราธนาว่า “โปรดสวดเถิด” ควรทำ (เพราะเป็นการเชื้อเชิญให้แสดงธรรม)
ถ้าแม้ภิกษุนั้นมีความวิตกว่า “ธรรมดาพวกชาวบ้านย่อมไม่รู้ เมื่อเราไม่ทำ จักเป็นผู้เดือดร้อน” ดังนี้ ก็ควรทำ
ส่วนภิกษุถูกอาราธนาว่า “โปรดทำน้ำพระปริตร (ปริตฺโตทกํ) เส้นด้ายพระปริตร (ปริตฺตสุตฺตํ) ให้เถิด” ดังนี้ ควรเอามือกวนน้ำและลูบคลำ เส้นด้ายอันเป็นของชาวบ้านเหล่านั้นแลให้ไป #ถ้าภิกษุให้น้ำจากวัดหรือเส้นด้ายซึ่งเป็นของๆตน #ต้องอาบัติทุกกฏ (ต้องอาบัติทุกกฏเฉพาะเมื่อให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ญาติเท่านั้น)
พวกชาวบ้านนั่งถือน้ำและเส้นด้าย กล่าวอยู่ว่า “ขอนิมนต์สวดพระปริตร” ดังนี้ควรทำ, ถ้าเขาไม่รู้[วิธี] ควรบอกให้
พวกชาวบ้านกรวดน้ำลงที่เท้าทั้งสองและวางเส้นด้ายไว้ใกล้เท้าทั้งสองของพวกภิกษุผู้นั่งอยู่แล้วก็ไปด้วยกล่าวว่า “ขอนิมนต์ทำพระปริตร สวดพระปริตรเถิด” ดังนี้ ภิกษุไม่พึงชักเท้าออก เพราะว่า พวกชาวบ้านจะเป็นผู้มีความเดือดร้อน (เพราะเมื่อภิกษุชักเท้าออก พวกเขาจะมีความสำคัญว่าเป็นอวมงคล)
พวกชาวบ้านส่งคนไปยังวัด เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ที่อยู่ภายในหมู่บ้านด้วยสั่งว่า “ขอภิกษุทั้งหลาย โปรดสวดพระปริตร” ดังนี้ ภิกษุควรสวด
#เมื่อโรคหรืออุปัททวะเกิดขึ้นในพระราชมณเฑียรเป็นต้นภายในหมู่บ้าน อิสรชนมีกษัตริย์เป็นต้นรับสั่งให้อาราธนาภิกษุมาแล้วนิมนต์ให้สวด[พระปริตร] #ภิกษุควรสวดอาฏานาฏิยสูตรเป็นต้น
แม้เมื่อพวกชาวบ้านส่งคนไปนิมนต์ว่า “ขอภิกษุทั้งหลายจงมาให้สิกขาบท แสดงธรรมแก่คนไข้เถิด” หรือว่า “จงมาให้สิกขาบทแสดงธรรมที่พระตำหนักในหรือที่เรือนของอำมาตย์เถิด” ดังนี้ ภิกษุควรไปให้สิกขาบท ควรกล่าวธรรม
พวกชาวบ้านนิมนต์ว่า “ขอภิกษุทั้งหลายจงมาเพื่อเป็นเพื่อนของคนตาย” ดังนี้ ไม่ควรไป [แต่ถึงเขากล่าวอย่างนั้น] ภิกษุจะไปด้วยมุ่งกรรมฐานเป็นหลักว่า “เราจะได้มรณสติเพราะเห็นกระดูกในป่าช้าและเพราะเห็นอสุภะ” ดังนี้ ควรอยู่
(วิ.อฏฺ. ๑/๕๑๑-๒ อธิบายตติยปาราชิก, คำอธิบายในวงเล็บมาจาก สารตฺถ. ๒/๓๓๔-๕)
ขอน้อมอนุโมทนาครับ
ถ้า ท่านเหนื่อย ดื่มน้ำ อาบน้ำ น้ำล้างหน้า สดขื่นไหม น้ำมนต์ที่พระสวดรด ทำให้สดชื่น ทำให้ตื่นตัว ทำให้มีกำลังใจ
ผมค่อนข้างเข้าใจเรื่องยากๆก็เพราะท่านเลยครับ ขอถวายกำลังใจครับท่าน🙏🙏🙏
อยากถามพระอาจารย์เกี่ยวกับสิกขาบทที่เกี่ยวกับผู้มีอายุพรรษามากกว่ามีบทบาทเช่นไรกับนรวกะหรือผู้มีพรรษาน้อยกว่า เพราะนี้เอามาเป็นข้ออ้างข่มผู้มีพรรษาน้อยกว่าแต่มุ่งปฏิบัติตามพระสัทธรรม แต่ผู้มมีพรรษากว่า10ปีมีแค่นะกธรรมตรีจบ
นี่แลท่าน งั้ยพระสงฆ์ในไทย จะมีคำว่า มหา ไว้ทำใมล่ะ ถ้าเรามองถึงจุดประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริง สาธุธรรมด้วยครับ
อยากให้พูดถึงเรื่องที่พระภิกษุขายพระเครื่อง(ของปลอม)สร้างแต่วัตถุมงคล เมื่อไรจะมีการสั่งห้ามสร้างเสียที และเดียวนี้พระตุดเยอะมากทำไมปล่อยปะละเลยหลวงพี่เล่าให้ฟังบ้างนะ ขอบคุณนะคะ
ผมเห็นพระบวชมาสิบกว่าพรรษาหากินโดยอาบน้ำมนต์ให้ยมทุกวันจนร่ำรวยมันผิดอาบัติข้อใดครับสมควรมั้ยพระทำแบบนี้ครับอาจารย์มหาตอบให้กระจ่างทีเถอะครับ.
ใช้เดรัชฉานวิชาเลี้ยงชีพครับ
พระเล่นโทรศัพท์ผิดมั้ยคับ
เบื่ิอพุทธวจนครึกริดมากเลย 5555 พาคนเสียสมองเยอะจริงๆ อธิบายไปก็เท่านั้นค่ะ (ดิฉันยังไม่บรรลุ เป็นคนธรรมดา แต่พอเข้าใจได้ ..ว่าไรเป็นไร ) ขอบคุณที่ท่านพระอาจารย์อธิบายค่ะ
ใช่ พอเอาวินัยหรือยกตัวอย่างที่พิสูจน์ได้มาพูดก็ดิ้น รับไม่ได้
อาบน้ำมนต์รดน้ำมนต์กราบไหว้พยานาคโง่ๆไม่เสียสมองเหรอวะ
พระไตรปิฏกมีกี่เล่มในประเทศไทย ณ ตอนนี้
แล้วเล่มใหนคือเล่มจริง แล้วอถคถามาจากใหน มีของแท้ไม่ชอบ ชอบของปลอม ถ้าเราเอาพระไตรปิฏกฉบับ สยามรัฐ เล่มเดียว หรือเล่มที่เป็นต้นฉบับจริงๆมาศึกษา ผมว่า ทุกอย่างก็จบ แล้วทำไมละ ๆๆ
พระอานนปะพรมน้ำมนต์มีทั้ง3เล่ม
@@จงกล-ถ4ดขอเลขหน้าไตรปิฏกที่อ้างหน่อยครับ อยากเข้าไปอ่าน
@@nithiyensumran5171 epitaka
เสริช อ่านเลย
ใครพูดอะไร เราไม่รู้ก็ฟังไว้ จะว่าไม่เชื่อหรือเชื่อ เราก็ไม่มีเวลาหรือความสามารถที่จะพิสูจน์ความถูกต้องได้ จึงยอมเชื่อไว้ก่อนแหละ เช่นมีตำราว่าหรือคำสอนว่า โลกเราอยู่ห่างดวงอาทิตย์ประมาณ ๙๓ ล้านไมล์ ขืนเรามัวไปพิสูจน์หรือสืบค้นความจริง ก็จะเกิดทุกข์ใจแก่เราได้
เข้าใจมากครับแต่กลัวจะเขว่"เหมือนจะวนเวียนทางโลกเกิน...ขอฟ้งพุทธวจนทางเดียวครับ(ผู้มาใหม่คริสเตียน)
พุทธวจนของอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็ต้องศึกษาให้ดีนะครับฟังหูไว้หูบ้างอย่าเชื่อทั้งหมด ผมเองก็เคยได้ยินมาว่ามีพระผู้ใหญ่ออกมาบอกว่าท่านบิดเบือนคำสอนไปไม่น้อยเหมือนกัน เช่นดอกบัว 4 เหล่า เขาก็หาว่ามีแค่ 3 เหล่า ทั้งที่มีหลายคัมภีร์บอก ว่ามีดอกบัว 4 เหล่า กันทั่วทั้งประเทศ
@@tonnum4143เหมือนว่าเค้าเอามาจากไตรปิฏกนี่ แล้วหลายๆฉบับจะเขียวไว้แบบนั้นหรือเปล่า
ทำให้ดี ก็ดี
ทำให้ผิด ก็ผิด
ท่านอย่ามาอ้างพระอานนท์และพระพุทธเจ้าเลยครับ ขอถามตรงเลยครับ มีบ้างไหมที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกในสมัยครั้งพุทธกาลไปฉันภัตตาหารในที่นิมนต์ หลังฉันหรือก่อนฉัน ท่านรดน้ำมนต์ให้โยมก่อน ถ้ามีบอกผมด้วย
ตอนเกิด สึนามิ อมนุษย์ไปอยู่ไหนหมด?
ติโรกุฑฑะกัณฑะปัจฉิมภาค (อทาสิเม) เป็นบทที่ใช้ในตอนกรวดน้ำไหมครับ
ไม่ใช่ แต่คนบางที่ก้กรวด ยถาก้กรวด อิมินาก้กรวดๆหมด เอาที่สะดวก
🙏🙏🙏
การเอาพระสูตรหรือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาสวดพร้อมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปก็ยังอาบัติ แต่หากเป็นประณามคาถาที่สวดสรรเสิญคุณพระพุทธ พระธัม พระสงฆ์นั้นไม่อาบัติ พระคูณท่านต้องสึกษาเรื่องนี้ด้วย
พวกไม่เอาอรรถกถา คือ พวกนอกรีต
เป็นอุบายให้ภิกษุสามเณรท่องบ่นสวดมนต์ และสื่อความหมายให้เป็นรูปธรรม เหมือนพระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท เหล่านี้พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติขึ้น แต่ทำขึ้นภายหลังคนก็ยังเคารพกราบไหว้ ฉะนั้นไม่มีแต่ก็ประยุกต์ใช้ได้ การสื่อความหมายจะเอาแต่นามธรรมเช่นสอนจำพระไตรปิฎกถ้ามาถึงปัจจุบันคงเลอะเลือนไปมากก็ยังบันทึกจารึกหลักคำสอนเอาไว้เรียกว่าให้ความรู้เป็นรูปธรรม อยู่ที่จะให้เข้าใจร่วมกันว่าให้เป็นศิริมงคล มันเป็นที่พึ่งทางใจ คนเราเข้าใจเข้าถึงธรรมต่างระดับกัน ก็ต้องมีอุบายสอนคนที่หลากหลายขึ้น เว้นแต่อย่าสอนให้งมงายเท่านั้น
แต่พอคิดอีกที่ มันเหมือน ฮินดู ไปครับ
@@Olympians88ต่างกันครับ พระปริตรส่วนใหญ่มีความหมายครับ เหมือนการแสดงธรรมนั้นแหละ ถ้าสวดบทนั้นทุกๆวันจะเกิดความจำปิติ จะซึมซับบาลีพอไปรู้ความหมายอินทรีแก่กล้าเข้าถึงธรรมได้ง่าย ส่วนอินดูคือการขออำนาจของเทพเจ้าไม่ได้มีหลักธรรมอะไรแต่คือการอ้อนวอน แต่มีความคล้ายอยู่เพราะมีการเชื่อในสิ่งนึงเป็นแกนหลัก อย่างพุทธต้องเชื่อในพระพุทธเจ้า อินดูต้องเชื่อในเทพเจ้าของตน แต่ไม่แปลกเพราะศาสนามาจากแก่นเดียวกัน แตกต่างกันที่หลักปฎิบัติเท่านั้น
เอาจริงๆนะ ใครจะเชื่อก็เชื่อไป ใครไม่เชื่อก็ชั่งตัวใครตัวมัน ปล่อยตามยถา.
อรรถคาถาหรือพุทวจนกันแน่ครับ
ถ้ามีท่านทำให้ขลังใด้มั้ยคอรับ แบบ พรมแล้วเห็นผล
ทันตา เกิดไม่ขลังไม่เห็นผล
ที่เทียงแท้ พระจะต้องอาบัติใด อวดอุ....หรือเปล่าครับ โทษของอาบัตินี้คือ
พระคงรู้ดี
ประเทศไทยเถียงกันได้ทุกเรื่อง
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่ทายกถวายด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังสำเร็จการเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำเดรัจฉานวิชา เห็นปานนี้อยู่, คืออะไรบ้าง ? คือ บนขอลาภผลต่อเทวดา ทำการบวงสรวงแก้บน สอนมนต์กันผีกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้เป็นชาย ทำชายให้เป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำการบวงสรวงในที่ปลูกเรือน พ่นน้ำมนต์ บูชาเพลิงให้บ้าง ประกอบยาสำรอกให้บ้าง ประกอบยาประจุ ประกอบยาถ่ายโทษข้างบน ประกอบยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมัน หยอดหู ทำยาหยอดตา ประกอบยานัตถ์ุ ประกอบยาทำให้กัด ประกอบยาทำให้สมาน เป็นหมอป้ายยาตา เป็นหมอผ่าบาดแผล เป็นหมอกุมาร หมอพอกยาแก้ยาให้บ้าง. ส่วนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตผิด เพราะทำเดรัจฉานวิชา เห็นปานนั้นเสียแล้ว. แม้นี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
พูดไห้คนเขัาใจผิดและใม่เข้าใจอีกด้วย
ท่านมหา..น่าจะลองศึกษากาลามสูตรให้ดีๆนะครับ..การเชื่อเอาอรรถกถา..ทุกเรื่องทุกเล่ม..โดนไม่รู้ประวัติที่มาเลย..โดยเฉพาะเรื่องแปล. พระปริตเป็นน้ำมนต์..นี่เป็นอัตโนมติของท่านเองนะครับ..ชั้นพ.ไตรปิฎก..มีการสวดปริต..แต่ไม่มีการทำน้ำมนต์ในสูตรปริตเลยครับ..ท่านไม่ควรเอาอรรถกถามาปน..พุทธวจนะจากพ.ไตรปิฎก45เล่ม..มันทำให้..พุทธไทยถูกบิดเบือน..ไปทางอิทธิปาฏิหารย์..มากกว่าอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์มากเกินไปครับ...
ตอนนี้เป็นไงคนตายฟังธรรม ฟังภิกขุตรีบางนะท่านบอกเเล้วว่าพระพุทธเจ้าผู้เดียวที่บอกว่าใครไปทุคติเเละสุคติ
ไม่เอาอรรถกถา แล้วคิดแปลเอง ไปตัดพระวินัยเอง อย่างนั้นเหรอ
@@sansun7227 555 จากที่ผมศึกศาพุธวจน มานาน นะครับ ของท่านเขาเรียกว่า โคนตรงแต่ปลายคตง้อครับเข้าใจไหมครับคำนี้ คำพูดที่พูดตอนแรกมันใช่ครับ แต่พอเขาอธิบายลึกลงไปมันไม่ใช้เลยครับ
@@kitti562ศึกษาพุทธวจนะ ควรศึกษาบาลี
เม้นนี้ กล้าตัดอรรถกถา แสดงว่าเก่งกว่าพระสังฆาจารย์
ถ้าไม่ได้ท่านผมก็คงหลงผิดไปนาน
สาธุ สาธุ
งงๆๆ ลองพิจารณาดีๆ แบบใช้สติ ในคลิป เดรัจฉานวิชา...คืออะไรและมีอะไรบ้าง? FAQ โดยพระมหาภาคภูมิ สีลานนฺโท ua-cam.com/video/b9pN0gYuz_Y/v-deo.html ได้อธิบายเรื่อง เดรัจฉานวิชา ยกตัวอย่าง ๔. #ศาสตร์ว่าด้วยพิธีการ
ได้แก่ การทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีพ่นเครื่องเซ่นบูชาไฟ พิธีพลีกรรมด้วยเลือด พิธีบนบาน พิธีแก้บน ร่ายมนตร์ขับผี ตั้งศาลพระภูมิ พิธีทำกะเทยให้เป็นชาย พิธีทำชายให้เป็นกะเทย พิธีปลูกเรือน พิธีบวงสรวงพื้นที่ ล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ ให้อาบน้ำมนต์ พิธีบูชาไฟ พิธีบวงสรวงดวงอาทิตย์ พิธีบวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีเรียกขวัญ
มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้าม ภิกษุทำ เเต่ทำไมใน ( อรรถกถา ) ถึงให้พระอานนท์ ทำน้ำมนต์ มาไล่ผี ไล่อมนุษย์ เเสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติผิดหรือป่าว ทำไมคำของพระองค์ทรง ( ขัดเเย้งกันเอง ) หรือจะผิดที่ใคร....??? เเล้วจะเชื่อพระพุทธเจ้า หรือเชื่ออรรถกถา.... ส่วนในปัจจุบัน น้ำมนต์+สายสายสิน มีไว้เพื่อ
1.ไล่ผี กันผี ป้องกันสิ่งชั่วร้าย 2.เชื่อว่าน้ำมนต์ กิน ดื่ม อาบ ใช้สะเดาะเคราะห์ได้ 3. ทำให้เกิดสิ่งดีในชีวิต เเล้วมันต่างจากคนอินเดียในปัจจุบันอย่างไร คนในอินเดียยังเดินลงเเม่ น้ำคงคา เพื่องปลงบาป เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆๆ งง เเล้วถ้ายังเชื่อ จะไปนิพพานกันยังไงละทีนี้?????
ขอยกตัวอย่างอีกนิดครับ ผมได้ไปหาอ่านมาแล้ว ยาวหน่อย... เป็นพระสูตรที่ยาว พระพุทธเจ้าทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่อง ภิกษุเว้นขาดจากการทำ เดรัจฉานวิชา จึงขอตัดพระสูตรที่สำคัญมาเเสดงไว้ ไปหาอ่านได้ครับ......
[๑๒๐] ๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่
สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย
ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกัน
บ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธี
บวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยา
ถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา
ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
[๑๒๑] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลย
เพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัย
แต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว
ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุข
อันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึง
พร้อมด้วยศีล. จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ( สามัญญผลสูตร )..................ใช้สติ ใช้ปัญญา พิจารณาดูว่า ควรศรัทธา ควรเชื่อ และควรจะประพฤติปฏิบัติตามเเบบใด ขอบคุณครับ......
ไม่ได้ทำน้ำมนต์ไล่ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ไปไล่ใคร ท่านให้ไปเทศน์กับอมนุษย์และญาติโยม แค่นั้น น้ำมนต์ที่พรมหมายถึงสัญลักษณ์ว่าบุญที่อุทิศให้นี้ให้แล้วให้เลย จงรับบุญไปแล้วอย่าเบียดเบียนกัน
ครูบาพูดไวไปนิด55
มั่ว พระพุทธเจ้าท่านไม่มาทำของไร้สาระปัญญาอ่อนอย่างนี้หรอก
อ่านพระไตรปิฎกทั้งฉบับครับ อย่าบางส่วน
สมณะต้องเคร่งครัดในธรรมวินัย เรื่องทำน้ำมนต์ บูชาน้ำ บูชาไฟ พระองค์ตรัสว่าท่านไม่ทำ ดังนั้นผู้ที่เป็นสงฆ์จึงไม่ควรแถ ไม่ควรเลี่ยงบาลี และไม่ควรวินิจฉัยเอง อีกอย่างทำน้ำมนต์เพื่อประโยชน์อันใด การเข้าถึงธรรม ก็ต้องปฏบัติตามธรรมเท่านั้น พระที่เลี่ยงบาลีเช่นนี้ ถือว่าทำให้มหาชนหมดสุข เป็นสาวกนอกธรรมวินัย เป็นผู้ที่ทำลายพุทธศาสนา ตามที่พระศาสดาบัญญัติว่า ในกาลแห่งอนาคต ภิกษุสงฆ์จะไม่สนใจประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งคือ ผู้สอนธรรม มักจะเหมารวมเอาอรรถกถามายัดลงไป โดยอ้างว้าเป็นพุทธศาสนา ที่มหาเอามาอ้างนั้น เป็นอรรถกถาครับ ลองคิดดูสิ ในความเป็นจริง พระอานนท์จะไปไล่ผีหรือ ? จะไปรังแกผีหรือ? ผมขอเน้นว่า เรื่องของจริยธรรรมะ รวมถึงสัจธรรม อย่าอ้างอรรถกถาครับ สวนเรื่องห่มผ้าอะไรนั่นไม่ว่ากัน เพราะการห่มผ้าไม่เกี่ยวกับกฏแห่งกรรมท่าน
จริงๆผมคิดว่าควรจะอ้างได้หากอรรถกถามาจาก พระอริยะเจ้า
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 20
อันธรรมดาว่า การเรียนพระพุทธพจน์แม้มากมาย แล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ย่อมไม่มีแก่ปุถุชน
น้ำปริตร น้ำมนต์ แปลตรงๆก็คือ น้ำอัปมงคล..พระที่ทำน้ำมนต์ ก็เท่ากับทำน้ำอัปมงคล...อีกอย่าง สวดมนต์ ก็ไม่ไช่คำสอนพระศาสดา แต่เป็นของลัทธิอื่น เรียกว่า มันตระ มันตรา...เป็นพระอย่าเลี่ยงบาลี เพราะจะสร้างความเข้าใจผิดแก่มหาชน สงฆ์ประเภทนี้พระศาสดาเรียกว่า "สาวกชั่ว"
สาวกนอกวินัย ทำผิดวินัย มีเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นสาวกที่ไม่ควรกราบไหว้ เพราะไม่ไช่พระ เห็นพูดมาหลายคลิป และเอามาอ้าง..ก็เป็นคำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ เป็นคำกล่าวของสาวก ... แนะนำให้ท่านศึกษาคำสอนพระศาสดาเท่านั้น จะได้ไม่หลงทาง และหลงผิด
www.anakame.com/page/7_Book.htm
Duang wongprasit คุณละกิเลสของคุณได้หรือยัง
เรื่องกิเลส หากเป็นผู้มีปัญญา ก็ต้องพยายามละเลิก ส่วนผู้มีสายตามืดบอด ก็จะไม่สนใจ และมองไม่เห็น ยังเป็นปุถุชน ส่วนที่มองเห็นจะเป็นผู้ที่มีจิตน้อมหาพระศาสดา คุณมีจิตน้อมเข้าแล้วหรือยัง หากยังก็แสดงว่ามีความเสียงที่จะไปอบายตามที่พระศาสดาตรัสไว้
บอกแล้ว "ลัทธิพุทธวจน"
สาวกเต็มไปด้วย "มานะทิฏฐิ"
นี่แค่ เถรวาทด้วย ยังมองว่าเลว
หากต่างนิกาย ต่างศาสนา
"คงเลวหมด" ดีแต่สาวกคึกกลุ่มเดียว........ อย่าแบกไว้นัก "มานะ" มันหนัก....
รู้เรยสาวกใคร
@@pim482 คนตายฟังธรรมบรรลุได้นั้นเหลอ
เห็นหลายๆคอมเม้นทีเดียว ที่ใช้คำว่าจะเอาแต่พุทธวจน อรรถกถาโดนนำมายัดบ้างเป็นคำแต่งใหม่บ้าง
...อันนี้เป็นคำสอนที่เกิดจากความไม่รู้ ของพระสงฆ์บางรูป ที่บวชเรียนมาปี 2 ปีก็ทำตนเสมือนตรัสรู้แล้ว
...ผมขี้เกียจพูดมาก เอาเป็นว่าถ้าคุณใช้พระไตรปิฎกที่แปลแล้ว เช่นพระไตรปิฎกภาษาไทย อังกฤษ พม่า นั่นคือคุณได้ใช้อรรถกถาไปแล้ว
สงสัยมหาจะบรรลุธรรมล่ะ สาทุ
น้ำมนต์ก็เหมือนของขลัง ถือว่าเป็นเดรัจฉานวิชา
ทำไมต้องลงท้ายด้วยคำว่า ครับ?เราเป็นพระนะครับ ควรใช้คำว่า นะโยมนะ จึงจะถูกต้อง
คนฟังไม่ได้มีเฉพาะโยมเนาะ จุดไหนที่พูดครับก็แสดงว่ามุ่งพูดกับภิกษุหรือสามเณร
คุณนี่ศึกษาถึงขั้นปรมัตรึยังที่จะไปตำหนิพระ ทำไมไม่บอกหลวงพ่อคูณห้ามพูดกูมึงล่ะ มันก็แค่ภาษา พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติ
มหาพูดเร็วฟังไม่ทัน พุทธศาสนามีแนวความคิดหลากหลาย สรุปไม่ได้
ทำไมเอาแต่อรรถกถามาพูด ควรจะเอาคำพระศาสดามาพูด
ท่านตอบคำถามกับผู้ที่สงสัยแล้วถามท่านตอบคำถาม
พระพูดช้า ๆ ชัด ๆ อันไหนทำได้ไม่ได้ บางทีก็ฟังไม่ชัด
สรุปเป็นของชาวบ้านไม่ใช่พุทธวจน
แถไปเรื่อย รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำมันทำให้ตัวเองและคนอื่นเข้าใกล้ธรรมมากขึ้นไหม ลองคิดเอาเอง
ปยอ.นะสาวกคึก
เอาดีๆ มหา หรือหมา แสดงสิ่งที่บิดาท่านบอกใว้ แล้วกัน เรื่องที่ถูกก็บอกตรงๆ อย่าบ้าบอ จากมหาเป็นหมาน่ะ
ปากเเซ่บจังขอให้เจอโค้งไวๆละไปอบาย
อ่านหลายคอมเม้นท์ที่ถกเถียงกันแล้วสนุกดีครับแต่ที่จริงแล้วพระภิกษุรูปนี้เพียงแต่พยายามอธิบายข้อความที่มีอยู่ในคัมภีร์ต่างทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเราเพื่อความเข้าใจกระจ่างแก่ผู้ที่ใฝ่รู้ใฝ่การศึกษาทั่วไปโดยอ้างที่มาตามแบบแผนซึ่งสามารถจะตรวจสอบเพิ่มเติมได้โดยที่ท่านเองก็ไม่ได้บัญญัติขึ้นใหม่หรือยกเมฆแต่อย่างใดซึ่งผู้ฟังอาจเห็นว่าผิดถูกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลก็เป็นไปตามหัวข้อเรื่องคือนานาวินิจฉัยนั่นเองแต่ผมกลับเห็นว่ามีประโยชน์มากครับเพราะไม่ต้องไปเสียเวลาค้นคว้าเองและดีกว่าต้องฟังคนที่ไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลยคิดเองเออเองแสดงความเห็นส่วนตัวโดยไม่มีหลักไม่มีที่มาซึ่งพลอยทำให้คนทั่วไปซึ่งไม่รู้อยู่แล้วพลอยสับสนลังเลหรือมั่วไปหมดเพราะไม่รู้จะเชื่อใครดีอนุโมทนาสาธุนะครับ
🙏🙏🙏
หนังสือที่บอกนี้ทั้งหมดทุกเรื่องขอได้ไหม
การรดนำมนต์มีมาแต่สมัยเมืองไผสาลีตอนเข้าหมากม้ากแพงอมนุตรกาดเกื่อนถ้าเขาต้องการก็ทำแต่ต้องไม่ขั้ดกับพระวินัยในฐานะผมก็เป้นมหาอีกคน
พระองคุลีมาลก็ทำน้ำมนต์ให้คนคลอดลูกง่ายกิน
อ้าว ไม่ใช่แค่กล่าวคำแค่นั้นหรอครับ เล่มไหนที่ว่าทำน้ำมนต์ ผมจะได้ไปอ่าน
ไม่ได้ทำอย่ามั่ว
ทำไมพุทธวจนบอกว่าน้ำมนต์คือเดรัจฉานวิชางงไปหมดแล้ว
ที่หลวงพี่อธิบาย.เป็นอรรคกถาครับ...ไม่ใช่คำที่ออกจากโอทพุทธองค์
ผู้หญิงทำน้ำมนต์ได้หรือไม่ต้องเป็นคนมีคุณธรรมจริงหรือไม่
ผู้รู้พุทธศาสน์แท้จริงคือปัญญาวิมุตฺและเจโตวิมุตฺปัญญาเท่านั้นนอกนั้นฯลฯอิๆๆๆๆๆ