Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
มีอนิเมะเรื่องนึง เคยพูดถึงคนญี่ปุ่นว่า "ฟันเฟืองอันไร้ความรู้สึก" เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีค่านิยมว่าต้องทุ่มเทตัวไปกับงาน งานก็เป็นงานที่หนักมากๆเข้าเช้า ออกเกือบเที่ยงคืน เพราะค่าแรงงานนั้นสูง ทำให้บริษัทมีจำนวนพนักงานน้อย แต่จำนวนงานกลับมากเป็นเท่าตัว ส่วนสาเหตุที่คนญี่ปุ่นเลือกที่จะไม่มีลูก เพราะว่าการใช้ชีวิตในญี่ปุ่น หากกินอยู่ตัวเดียว ก็พอดี แต่ถ้ามีเด็กเพิ่มมา ก็จะเป็นภาระทางการเงิน ถึงจะมีสวัสดิการช่วยจากรัฐก็ไม่เพียงพออยู่ดี และด้วยค่านิยมที่ว่าจะไม่ทำตัวรบกวนคนอื่น เวลามีปัญหาอะไรก็จะเงียบ ทำให้คนญี่ปุ่นมีความเครียดสูง แรงกดดันสูง จึงไม่เเปลกเลย ที่จะปลีกตัวออกจากสังคม เพราะการปลีกตัวออกจากสังคม ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย สบายใจ มากกว่าที่จะอยู่สังคม
ถ้าตัดพิธีรีตรอง ธรรมเนียมออกไปได้ ก็ทำงานน้อยลง
ผมสงสัยว่าถ้าเอาเงินที่ต้องจ้างคนๆเดียวแพงๆไปแบ่งเป็นจ้างสองคนมันทำไม่ได้เหรอครับ
@@gluesguitar ตามหลักแล้ว ค่าจ้างถูก แพง ขึ้นกับลักษณะงาน คุณค่าของงานค่ะ ถ้าบริษัทที่บริหารงานดีๆ เงินเดือนคนหนึ่งคน มันไม่ได้เป็น2 เท่าของคุณค่างานที่เค้าสร้าง มันจึงมาแบ่งจ้าง 2 คนไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าบริษัทมีลูกจ้างไร้ประสิทธิภาพแต่เงินเดือนสูง หากเลิกจ้าง แล้วไปจ้างคน2คนมาทำงานแทนแล้วได้งานมากกว่า ก็ถือว่าคุ้มค่ะ
👍
หลอกใช้จนเบรินเอ้าท์แล้วหาคนใหม่มาแทนโหดร้ายจัง
ญี่ปุ่นอาจต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรบ้าง การทำงานของคนญี่ปุ่นค่อนข้างหนักมากจริงๆ ทำให้คนกดดันแล้วกลายเป็นเบื่อหน่ายในการทำงานด้วย
ใช่ค่ะ
เห็นด้วยครับ
ใช่ครับ ผมคุยกับเพื่อนในธุรกิจเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกับผม แต่เป็นบริษัทฯยุโรป คนละเรื่องครับ เขาหยุดงานเป็นเดือน ไปเที่ยวได้
คงเปลี่ยนไม่ได้หรอกครับ ต้องอีกสัก ๒ เจน ถึงจะเปลี่ยนได้
@@TheSuperPR ถ้าเคยทำโรงงานฝรั่งกับญี่ปุ่นจะรู้ส่าต่างกัน
ผมเข้าใจชาวนีตนะ ชีวิตในฝันเลย แต่บ้านผมไม่รวยยังต้องออกมาทำงานเก็บเงิน หวังว่าซักวันจะใช้ชีวิตแบบนั้นได้ วิธีแก้ปัญหาของญี่ปุ่นคือเอางานให้ชาวนีตทำที่บ้าน งานออฟฟิศหลายอย่างมันไม่จำเป็นต้องทำที่อ๊อฟฟิตก็ได้ ช่วงโควิดที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่างานหลายอย่างทำที่บ้านก็ได้ ทำที่บ้านข้อดีหลายอย่าง แม้ชั่วโมงการทำงานจะเยอะ แต่มันผ่อนคลายกว่าอยู่ออฟฟิศเยอะเพราะมันเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่เสียเวลาเดินทางและไม่เสียค่าเดินทาง
จริงม้ากกกกก ไม่อยากไปออฟฟิศเลย
กูนี่แหละ ชาวนี๊ตมาก่อน ถามว่าอะไรเป็นสาเหตุ เหตุปัจจัยน่าจะมาจากหลายๆอย่างรวมกัน1. ความอดทนน้อย น้อยในที่นี้คือทนความกดดันจากปัญหาต่างๆในที่ทำงานได้น้อย ทำงานแล้วเครียดเลยเบื่อการไปทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ทางแก้ไข ต้องหางานที่สามารถทำคนเดียวได้เอง โดยทำจากที่บ้าน จะได้ไม่ต้องเจอคนหรือเจอความเครียดมากมาย 2. จากข้อ 1. แนวโน้มการเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย มีโลกส่วนตัวสูง อาจเรียกว่าเป็นกลุ่มคน Introvert การออกไปทำงานร่วมกับกลุ่มคนมากๆนั้น จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า "ชีวิตไม่มีอิสระ" เมื่อยังคิดอะไรไม่ออก ยังหางานที่รักหรืองานที่อยากจะทำยังไม่เจอ จึงอยากหนี อยากลาออก ออกมาอยู่บ้านเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่นไปทำงานก็ได้" ไม่ต้องมีใครมาบังคับ มากดดัน มาสั่ง ฯลฯ3. ความอดทนน้อย + ความขี้เบื่องาน เบื่อคน + ไม่อยากออกไปทำงาน = ความขี้เกียจลุกขึ้นมาสู้ชีวิต อยากหนีสังคม อยู่ในโลกของตัวเอง นานๆไปจะไม่ดี เพราะความรู้สึกการเป็นคนเรื่อยเปิ่อย คนโบราณเรียก "เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ" หรือ "หนักไม่เอา เบาไม่สู้" ทั้งหมดนี้จะเป็นความรู้สึกที่กัดกินใจอยู่ข้างในลึกๆจนกว่าวันนึงที่จะสามารถหางาน ที่เหมาะกับจริตของตนเองได้นั่นแหละ ถึงจะหลุดพ้นจากการเป็นคนไม่มีงาน หรือไม่อยากทำงาน โดยทั้งหมดนั้น งานจะต้องเป็นตัวที่เอื้อให้เกิดความรู้สึกของการมีอิสระ มีเวลาให้กับชีวิตตนเอง ชีวิตไม่ถูกบังคับด้วยงานประจำหรือเวลา แนวโน้มของงานที่เหมาะสม จะเป็นงานอิสระทั้งหมด คนประเภทนี้ไม่เหมาะกับงานประจำ ทำที่ไหนแล้วจะทนอยู่ได้ไม่นาน
เป็นเมนท์เดียวทนอ่านจนจบ...โอยปวดสมอง (เข้าขั้น Freeter ไปแล้ว)
เคย neet อยู่ประมาณ อายุ 20-25 ครับ ครอบครัวคนรอบข้าง สำคัญสุด เป็นคนที่หยิบยื่นโอกาส หากิจกรรมให้ทำ และต้องใจเย็นด้วยอย่างมาก
มีเพื่อนร่วมคลาสเป็นคนญี่ปุ่นอายุจะเลข 4 แล้ว พี่แกเปลี่ยนสายงานจากวิศวะมาเป็นธุรกิจละตระเวนทำงานไปทั่วโลก พอถามว่าเรียนจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน เค้าก็บอกจะไปอยู่เมกายาวๆ เลย พอตั้งตัวได้จะพาพ่อแม่ไปด้วย นี่เลยแอบคิดว่าส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะสังคมการทำงานที่กดดันมากๆ ของญี่ปุ่นก็ได้ ถ้าเก่งมากพอที่จะทำงานกับต่างชาติ เป็นเราคงไม่ทำงานอยู่ในที่ๆ กดดันชนิดที่ว่าองค์กรมาก่อนชีวิตส่วนตัวถ้ามีอีกหลายตัวเลือกที่เค้าให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวของบุคลากร
เรากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่ค่าของคนลดลงเรื่อยๆ ในอดีตคนมีค่า เพราะความรู้และเทคโนโลยีน้อย การจะทำอะไรจะต้องใช้ความร่วมมือกันจากคนจำนวนมาก แต่ปัจจุบันคนมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นประกอบกับมีเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้ความสามารถของแต่ละบุคคลสูงขึ้น ความจำเป็นในการพึ่งพาคนอื่นจึงน้อยลง ความสำคัญของคนอื่นจึงน้อยลงตาม คนที่ไม่สามารถสร้างคุณค่าของตนเองให้มากพอได้ จึงกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าต่อคนอื่น(ต่อสังคม) โดยปริยาย
จริงยิ่งกว่าจริงครับ มันน่าเศร้าแต่เลี่ยงไม่ได้เลย
ยุคนี้เทคโนโลยีเยอะขึ้น คนที่มีค่าก็คือคนที่รู้เรื่องเทคโนโลยี สังเกตุได้จากคนที่มีความรู้เรื่อง coding การเขียนโปรแกรม การออกแบบโปรแกรม ยุคนี้เป็นยุครุ่งเรืองของคนด้านไอทีเลยจริงๆ เด็กๆสมัยนี้นะ แนะนำให้เรียนพวก com sci พวกการเขียนโปรแกรม จบมาถ้าเก่งๆนะ เงินเดือนสูงมากๆ
คุณค่าอยุ่ที่ตัวเรา ถ้าเราคิดว่าเราไม่มีค่า เป็นที่มาของโรคซึมเศร้า และปัญหาสังคมอื่นๆ
ถูกต้องอย่างคุณพูดเลย
@@ohmiefluffy360 ไม่จำเป็นต้องด้านเทคโนโลยี อย่างเดียวครับ "คุณค่าอยุ่ที่ตัวเรา" รู้จักทำงาน ทำหน้าที่ รัลผิดชอบต่อตัวเอง สังคม ก็ดีมากแล้วครับ
เกิดจากการทำงานหนักเกินไปเลิกงานดึก มีความกดดันสูง นิสัยชาวญี่ปุ่นโลกส่วนตัวสูงรักสันโดษ ต้องปรับทำงานดีผ่อนคลายขึ้นครับ
คนเก็บตัวในญี่ปุ่นเขายังดีตรงที่ เมื่อออกมาแล้ว เขายังมีระเบียบวินัย ไม่หัวร้อน ไม่ทิ้งขยะสเปะสปะ ไม่ฝ่าฝืนป้าย ข้อห้ามต่างๆ ยังมีจิตสาธารณะอยู่
ใช่แล้วครับ!,,ไม่หัวร้อน!,,
@จีนปล่อยVirus ไม่แปลกค่ะ โดนส่งมาทำงานที่ไทย คนขับรถก็มี เงินเดือนก็ได้สองทาง ใครจะอยากกลับบบ
มีข่าวออกมาไล่ฟันคนอยู่
ญี่ปุ่นทำงานหนักๆ *"ได้พ่วงหรีด 3 พ่วง และ หลวงพ่อสวดอภิธรรม (กุสะลา ธัมมา) รับซอง 3 วัน 3 คืน"* 😂หลวงพ่อ และ สัปเหร่อ ..รวยๆๆ 😁ถ้า *"พนักงาน ทำงานหนักๆๆจนตาย จะได้เห็นนายจ้าง ตีหน้าเศร้าๆ แค่ 3 วัน"* เท่านั้น 😂😁😂😁จากนั้น.. นายจ้างเปิดรับสมัคร *"จ้างพนักงานใหม่.. มาทำงานแทน พนักงานที่ตาย"*
คนญี่ปุ่นไม่ได้เบื่อการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่ การทำงานหนักในวิถีทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ บทบาท วิสัยทัศน์ แนวความคิด ของผู้บริหารองค์ เปลี่ยนไปจากบรรพบุรุษยุคหลังสงครามโลก การอบรมจากรุ่นสู่รุ่นเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้บริหารยุคปัจจุบัน รักความสบาย ขาดการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบขาดและมีประสิทธิภาพ พูดตรงๆ คือ เด็กที่ถูกคนยุคสร้างประเทศ สปอย์จนทำอะไรไม่เป็น รู้แต่ว่าต้องทำงานให้มาก ให้หนักเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย แต่การทำงานหนักไม่ใช่คำตอบ กลับกลายไปว่าสร้างความเบื่อหน่ายให้กับคนทำงานในองค์กร GDP นั้นสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า กระบวนการทำงานนั้นขาดประสิทธิภาพที่ดี คือ ใส่ความขยัน ใส่แรง เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้ธุรกิจเติบโต ธุรกิจเรือธงของญี่ปุ่นโดนประเทศคู่แข่ง อย่าง เกาหลีใต้ จีน ตีอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ค่อยๆแพ้ไปเรื่อยๆ อย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าครัวเรือน โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ไอที ถ้าไม่จัดการเปลี่ยนแปลงระบบความคิด วิสัยทัศน์ ความทดถอยก็จะดำเนินต่อไป ธุรกิจเรือธงของญี่ปุ่นก็จะค่อยๆหายไปจากตลาดโลก ปัจจุบันอยู่ได้ด้วยผลบุญเก่า+ผลบุญใหม่บางส่วน ถ้าใครเคยทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นจะรู้ดีเรื่องนี้แบบผมผู้ที่กำลังจะออกจากองค์กรญี่ปุ่น
รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เครื่องเรือ ปั๊มพ์น้ำ เครื่องมือช่าง(Ryobi) ยังตีไม่ได้ ... เครื่องมือช่างของมังกร ... กากโคตรๆๆๆ ......................
กดดันตั้งแต่เรียนประถม ยันเรียนจบ บ้านเรายังดี มีอาชีพอิสระ ขายของ ทางโน้นแค่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็อยู่ยากแล้ว โดนกีดกันจากสังคม เพื่อนไม่คบ ที่ไทยจะเรียนหรือไม่เรียนไม่ใช่ประเด็น ตกงานเพราะอายุมากก็หาทางค้าขาย การเป็นพนักงานประจำ ไม่ใช่คำตอบเดียว
สังคมไทยยังเห็นใจกันอยู่มากแม้ไม่เต็มร้อยรักเมืองไทยทีทสุด....อยู่บ้านเราสบายที่สุด
เรียนหนัก แข่งขันหนัก ทำงานหนัก ชาติเจริญ ในยุคพื้ตัวหลังสงครมมันก็โอ แต่ปัจจุบันคงไม่ใช่คำตอบ คนรุ่นใหม่ยกธงยอมแพ้กันเป็นแถว
เพราะคนรุ่นใหม่ลำบากไม่เป็น 555
เกิดมาแล้ว ก็ต้องเข้ากรอบครอบครัว เข้ากรอบประเพณี เข้ากรอบ ต้องเป็นคนดี ต้องเรียนเก่ง ต้องรวย ทำเพื่อตระกูล เพื่อชื่อเสียง ต้องเชื่อฟัง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ต้องคิดดี ต้องทำดี ความจริง มันก็คือ คุกดีๆนี่เองหรือคุกแห่งความดี คุกสังคม คุกที่ขังชีวิต และ หัวใจจนไร้อิสระภาพของทุกคนบนโลกไว้ คนกลุ่มนี้คงสงสัยนั่นแหละ ว่ามันถูกหรือผิดกันแน่ และเขาก็ครุ่นคิดว่า แท้จริง การทำตามกัน อย่างคนรุ่นก่อนๆ ที่ตายไป ก็ทำแบบนี้ และก็ได้ชื่อว่า เป็นการทำดี มีชื่อจารึก แต่ถ้าคนไม่ต้องการความดี ไม่ต้องการรวย ไม่ต้องต่อสู้ แต่ ต้องการอิสระภาพ แห่งการดำรงค์อยู่ ซึ่งสิ่งนี้เขาก็ไม่รู้จะหาจากที่ไหนได้ นอกจากแยกตัวออกมาเฉยๆ สังเกตุไหมว่า สิ่งที่กล่าวมาท้้งหมด มันก็ออกมาจากความคิด ถูกสร้างมาจากความคิด แท้ที่จริง คุกนั้นก็คือความคิดนั่นเอง นั่นคือจุดเรื่มต้น ที่จะปลดแอกความคิด ไม่เชื่อมันอีกต่อไป สร้างช่องว่างระหว่างเรากับความคิดให้ห่างขึ้น เราก็เข้าไปอยู่ในโลกที่ไม่มีความคิด โลกที่ไร้สมมุติ โลกที่เป็นจริง และเป็นบ้านเดิมของเราทุกคน จนความคิดควบคุมเราไม่ได้ เราก็จะเป็นอิสระที่แท้จริง
เอาเข้าจริงไทยก็เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเพราะอัตราการเกิดต่ำ และจะส่งผลกับเศษฐกิจในอนาคตอันใกล้ แต่ของญี่ปุ่นเขาสังคมที่พอมีจะกินแล้วเป็นสังคมผู้สูงอายุ แต่ไทยโดยส่วนมากยังจนแล้วเข้าสู้สังคมผู้สูงอายุ
แต่ผู้สูงอายุสมัยก่อนหรือคนที่กำลังย่างเข้าอย่างที่คนพูด โดยเฉพาะผญ.เค้าจะประหยัดเก็บเงินเก่งนะ โดยเฉพาะคนเชื้อสายจีน เห็นเยอะมาก แต่ผช.อาจจะเสียไปกับดื่มเหล้า บุหรี่ เคล้านารี ถ้าจนน่าจะอยู่ตจว.ในพท.ที่ทุรกันดาร มาดูเจนใหม่ดีกว่า จะเสริมธุระกิจแค่ไหนอย่างรัย เทียบกับของยี่ปุ่นนี้เลยก็ได้ 20-40 อนึ่งค่าแรงขั้นต่ำที่สูงของญี่ปุ่นเลยเอื้อ ให้คนกลุ่มสองไม่ขยันแอคทีฟเท่าไหร่นะ
ความชิบหายกำลังจะเกิดขึ้น
แย่
เกาหลีกำลังตามญี่ปุ่นไป
สก๊อยออกลูกไม่เว้นวัน เอาไรมาอัตราเกิดต่ำ 55555
ต้องแก้ที่วัฒนธรรมองค์กร ลดความตรึงเครียด การศึกษาไม่ได้ช่วยเลย สุดท้ายจบมาก็เจอสังคมทำงานที่เคร่งเครียดอยู่ดี สถาบันครอบครัวสำคัญมาก รัฐอยากให้คนมีลูก แต่ปล่อยให้สังคมไม่มี work life balance ที่ดี ทุกคนต่างทำงานงกๆ ออกทำงานตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น กลับบ้านทีก็ตะวันตกดิน รัฐไปยึดติดกับพวกบริษัทชั้นนำ แล้วไม่สนับสนุน ธุรกิจเกิดใหม่ อนาคตถ้ายังปล่อยป่ะละเลย จะโดนเกาหลีใต้แซงหน้าเอา จีนจะค่อยๆแย่งตลาดที่ญี่ปุ่นเก่งไปเลื่อยๆด้วยการตัดราคาเช่นรถ แล้วเกาหลีจะแซงด้านเทคโนโลยี
เห็นด้วยมากๆเลยค่ะ
เกาหลีก็มีปัญหาเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ สมัยนี้คนรุ่นใหม่เกาหลี มีค่านิยม ออกไปทำงานต่างประเทศมากขึ้นแล้ว "นรกโชซอน" คำที่คนรุ่นใหม่ในเกาหลีใช้เรียกประเทศตัวเองในปัจจุบัน คือถ้าพูดถึงด้านเทคโนโลยี เกาหลีต้องยอมรับว่าพัฒนาไปไกลมาก อุปกรณ์ในชีวิตประจำวัน ไฮเทคขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับกัน ผมมองว่า ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่เจริญแต่วัตถุ แต่ด้านจิตใจนี่คนละเรื่องเลย วัฒนธรรมองค์กรนี่ เรียกได้ว่าล้าหลังมาก คนรุ่นใหม่เลยไม่ค่อยอยากอยู่ประเทศตัวเองกันแล้ว
ใช่ค่ะ เท่าที่ฟังเหมือนมันเกิดจากวัฒนธรรมที่ตึงเครียดและบีบบังคับให้ต้องทำตัวเหมือน ๆ กันตลอดเวลามากกว่า การเตรียมความพร้อมให้กับนรดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดเท่าไรเพราะไม่ใช่สังคมการทำงานที่เขาชอบ อย่างที่ไทยต่อให้มีบริษัทใหญ่เป็น conservative ก็ยังพอมีบริษัทเล็กโดยคนรุ่นใหญ่อยู่บ้าง เราเลยอาจจะยังไม่เจอปัญหานี้เท่าที่ญป
ที่ไทยก็มีนะ พ่อแม่ที่รักลูกมากๆ ลูกเรียนจบแล้วเริ่มไปทำงาน แต่ไม่อดทนกับระบบสังคมทำงานประจำมากพอ อีกทั้งไม่คิดทำงานอิสระ ตามความชอบ-ความสามารถของตัวเอง แล้วลาออกมาเกาะเงินบำเหน็จบำนาญชราภาพของพ่อแม่กินไปวันๆ ถ้าครอบครัวไหนไม่มีทรัพย์สมบัติเก่า หรือรายได้จากการลงทุนสินทรัพย์อื่นใด ก็จะใช้ชีวิตลำบากสรุป ทุกๆคนควรทำหน้าที่มีความรับผิดชอบต่อบทบาทของตัวเองให้ดีที่สุด อย่าไปสร้างภาระให้คนในครอบครัว
ลูกจะเกาะไม่เกาะ มันอยู่ที่พ่อแม่ สอน และสั่งสมระเบียบวินัย ให้ลูกแต่เด็กๆ ให้มีความรับผิดชอบ แต่เลี้ยงเป็นเทวดา ก่อจะเกิดปัญหาอย่างที่เห็น
มันขึ้นอยู่ความสามารถในการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ว่าสามารถทำให้ลูกค้นพบสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถนัดและส่งเสริมให้สามารถนำไปเป็นทักษะในการประกอบอาชีพได้หรือไม่ ไม่ใช่สักแต่เลี้ยงดูไม่สนใจให้ลูกลองผิดลองถูกเอาเอง หรือบังคับกำกับชีวิตทุกอย่างของลูก ผลลัพธ์คือความล้มเหลวซึ่งสะท้อนความล้มเหลวในการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ไปด้วย
งานในไทยที่กินเวลาชีวิตเลยก็มีอย่าทำเป็นมองไม่เห็นมีจริงๆมันยิ่งทำให้เราใช้พลังชีวิตหมดเหนื่อยจนไม่อยากทำอีก จะลาหยุดก็ไม่ได้เพราะไม่มีคนทำแทน ไม่อนุมัติมีทางเดียวคือไปลาออก ในขณะที่บริษัทอื่นที่ร่วมทำงานด้วยเป็นยุโรป คนของเขาลางานไป10วันได้ ยิ่งทำให้เปรียบเทียบ
@HESHIYA เราเคยทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นตอนที่เราอายุกลางคนแล้วเราก็ทำงานที่บริษัทดังๆของเอมริกามาแล้ว เราคิดว่าบริษัทญี่ปุ่นเขาต้องการความภักดีต่อองค์กร และต้องการคนที่ประสพความสำเร็จในการเรียน การสอบ และมีผลงานในเรื่องนวกรรมที่เป็นรูปเป็นธรรมที่สามารถถ่ายทอดให้เห็นได้เป็นเกนฑ์ คนงานธรรมดาที่ไม่ผ่านกฏเกนฑ์และเป็นพรรคพวกเขาจะโดนบังคับให้ลาออกไป
มีพี่ชายเป็นแบบนี้ค่ะ นางเรียนแบบเหมือนคนปกติช่วงม.3หลังจากนั้นก็เป็นทั้งNEET และฮิคิโคโมริเลยค่ะจนตอนนี้อายุ23แล้ว ตอนนี้ห่วงอนาคตตัวเองสุด กลัวแม่เสียไปแล้วต้องมานั่งเลี้ยงพี่ชายไม่เอาไหน แต่ตอนนี้นางมีแฟนแล้วตอนแรกก็ดีใจ คิดว่าจะไปดึงมันไปทางที่คนปกติใช้ชีวิตกัน สุดนางก็เป็นNEETเหมือนกัน วันๆไม่ทำอะไรอยู่แต่ในห้อง ต้องหาข้าวหาน้ำให้กิน งานบ้าน เอยอะไรเอยไม่ต้องพูดถึง- - เห้อ
โรคซึมเศร้า ท้อแท้ เพราะสังคมแข่งขัน นิยมคนที่ประสบความสำเร็จ นิยมวัตถุ ประเทศสิงคโปร์ และอีกหลายๆประเทศ กำลังจะมีคนแบบนี้มากขึ้นครับ โดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว ครับ การล่มสลายของสังคมโลกกำลังจะเกิดขึ้นทวีคูณ อีกทั้งภัยธรรมชาติ สงคราม ........ดูกันไปครับ แม้แต่ประเทศไทยเอง ครับ.
ผมว่างงานจะ2ปีแล้ว เพราะทนทำงานวันละ12ช.ม. ไม่ไหว ปัจจุบันวางแผนสอบราชการจะได้มีงานมั่นคง รายได้ผมปันผลหุ้นเดือนละ5000 อยู่บ้านพ่อแม่ บำนาญ75000ต่อเดือน
ประเด็นที่ต้องแก้ไขเลยก็คือ 1วัฒนธรรมการรังแกกันในโรงเรียน โรงเรียนต้องมีการสแกนการรังแกทำร้ายร่างกายกันอย่างจริงจัง บทลงโทษควรชัดเจน ไม่มีการประนีประนอม ไม่เอาลูกท่านหลานเธอ คนทำผิดควรโดนลงโทษ เหยื่อต้องได้รับความยุติธรรม มีการอบรมกันเรื่องการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การอยู่ร่วมกันในสังคมโดยคิดพิจารณาการกระทำต่างๆก่อนจะเริ่มทำอะไร2วัฒนธรรมการคิดว่าองค์กรต้องมาก่อน ซึ่งไม่ได้ผิดแต่มันสุดโต่งเกินไปชนิดที่เรียกว่ากูไม่เอาลูกน้องใช้งานเหมือนเครื่องจักร แนวคิดนี้มันอาจใช้งานกับคนยุคเก่าได้ แต่ปัจจุบันโลกมันมีการเปิดกว้างเรื่องสิทธิมนุษยชนทำให้อะไรที่มันเกินไปคนก็ไม่อยากเข้าไปทำเข้าไปยุ่งให้มันเสียสุขภาพทั้งกายทั้งใจ ควรลดความเคร่งเครียดความขาดหวังลงมาให้มันพอๆดีไม่ขาดไม่เกิน3ภาครัฐก็ต้องออกมาแสดงเจตนารมย์ที่ชัดเจนว่าอยากให้บริษัทต่างๆลดการใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมลงเพื่อที่จะให้คนรุ่นใหม่ๆเข้ามาทำงาน โดยอาจจะเป็นการออกทุนช่วยเหลือบริษัทต่างๆที่เข้าร่วมโครงการโดยแต่ละบริษัทต้องทำรายงานสภาพวัฒนธรรมภายในองค์กรว่าได้มีการปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นจริงๆ หรือ ภาครัฐทำสื่อ ละคร หนัง การ์ตูนที่มีการแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นโดยพระเอกจะได้รับความยอมรับนับถือจากเพื่อนๆคนในสังคม ให้บริษัทต่างๆได้เห็น ควรอยู่ในความพอดีเพื่อเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมญี่ปุ่นในอนาคตทั้งหมดนี้เท่าที่ผมคิดได้ บางอย่างอาจไม่ถูกใจใครบางคน ยกตัวอย่างเช่นการเห็นออกเห็นใจคนอื่น อาจมีบางคนบอก "ทำไมกูต้องแคร์ความรู้สึกคนอื่น" จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ ไม่แคร์ไปนานๆคนไม่เข้ามาทำงานบริษัทก็เจ๊งอยู่ดี เพราะงั้นทุกอย่างในโลกมันควรมีความพอดี ไม่เยอะ ไม่น้อยจนเกินไป
ไม่อยากเชื่อเลยว่าที่ญี่ปุ่นมีการบูลลี่เเบบหนักๆ (ไทยก็คงไม่เเพ้กัน)
@@HUNTER-qn5ff หนักกว่าไทยอีกครับ แยงกี้ เด็กยากูซ่า หรืออันธพาลปกติเพียบ
@@HUNTER-qn5ff อันดับ 1 ของประเทศที่มีอัตราการแกล้งมากที่สุดคือญี่ปุ่นครับ แต่รองลงมาคือไทย คือดีที่ไม่ใช่ที่ 1 แต่ติดท็อป 3 ด้วย
คนญี่ปุ่นโดยแท้จริงไม่ใช่คนดีและเห็นอกเห็นใจ(ความเห็นส่วนตัว) ที่คนไทยชอบชม เพราะเจอและรู้จักแค่เปลือกของคนญี่ปุ่น แค่ไปเที่ยวมันก็ต้องได้รับการบริการที่ประทับใจอยู่แล้ว เพราะ เราเอาเงินไปจ่าย กลับกันถ้ารับต้องทำงานเพื่อแลกเงินมาก็จะโดนเรียกร้องจนมากมาย(เหมือนเราไปเป็นคนให้บริการคนอื่นแทน กลับกัน) การชอบบูลลี่ก็เป็นปัญหาของเด็กญี่ปุ่นอยู่แล้ว พอโตมานิสัยมันก็ยังอยู่ มาบูลลี่ที่ทำงานแทนแต่อาจเป็นลักษณะของผู้ใหญ่ สังคมเป็นแบบจอมปลอม การแอคชั่นจริตแบบญี่ปุ่นนี่ทำได้ยากจริงๆ อยู่มาสองปีกว่า จะพูดเลียนเเบบ ตอนขอโทษหรือแอคชั่นตกใจ ก็ทำแบบเป็นธรรมชาติไม่ได้ซักที เกิดมาไม่เคยมีจริตอย่างงี้
ก็ปกติของสังคมมนุษย์ครับ ไม่ใช่แต่คนญี่ปุ่น แต่แค่มันมีสื่อที่ทำให้เราเห็นมากกว่า ลองให้ไทยทำละครด่ารัฐดิ โดนแบนฉิบหายวายวอด เอาจริงสังคมญั่ปุ่นมันเครียดมาก จนอนิเมะหรือการ์ตูนแนวต่างโลกมันฮิตผุดเป็นดอกเห็ด (แนวต่างโลกตัวเอกจะตายก่อนที่จะไปอยู่ในโลกใหม่เพื่อใช้ชีวิตตามที่เขาปรารถนา ถ้าเคยดูอนิเมะแนวต่างโลก) คือผมว่าถ้ามีศาสนาคงมีศาสนาต่างโลกแล้วครับ
ชีวิตเค้าต้องสู้เพราะประเทศแพ้สงคราม ไม่งั้นประเทศเค้าจะเจริญขนาดนี้เหรอ
ทำไมเหมารวมทั้งประเทศเลยคับ
@@Theerawee_Thongkham จำได้เลยคมแฝกสมัยรัฐบาลก่อน โดนแบนจนเป็นกระแสในเน็ตไปพักนึงเลย
รู้สึกสะดุงเหมือนตัวเองเป็นอยู่ ไม่ได้ไปหาเพื่อนมานาน ติดโควิด จะหางานทำจริงๆก็กลัวเรื่องโรค เห้อ ชีวิต อยู่ยากจริงๆ
การแข่งขันมันสูงจน มนุษย์ท้อถอย จนไม่อยากจะสู้อะไรอีกแล้ว
ฉันก็เปนแต่ภาระหน้าที่สังคมยังผลักตัวเองออกมายากครับ ก็ขอได้ให้สุขภาพแข็งแรงกันน่ะครับ
จิง ธรรมชาติ/สังคม คัดสรร
อิสลามไม่แข่งขันหรอ
ทั้งๆที่ญี่ปุ่นมีปัญหานี้มาเป็น 10 ปี ทั่วโลกมีสารคดีเรื่องนี้ของญี่ปุ่น จำนวนneetมากขึ้นกว่าเดิม จนมันดูเหมือนการปฏิวัติทางสังคมแบบหนึ่งที่กำลังส่งเสียงบอกว่า "ในสังคมการทำงานญี่ปุ่นมีอะไรบางอย่างผิดพลาด" (หาอ่านเอาได้) แต่สังคมก็ยังนิ่งเฉยและสืบทอดวัฒนธรรมเดิมๆ เพราะแน่นอนว่ากลุ่ม neet ก็ไม่ได้มีแต่คนไม่เอาไหน ถ้ามีแต่พวกนั้นจำนวนคงไม่เยอะขนาดนี้ แต่มีคนธรรมดารวมอยู่ด้วย ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีการปฏิวัติวัฒนธรรมการทำงานและวัฒนธรรมทางสังคมที่ผลักดันให้ "ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่ชีวิตมนุษย์" และเปลี่ยนแปลงสักที
เขาสร้างคนให้ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างเดียวลืมไปว่าคนมีความรู้สึกมีกิเลสมีธรรมชาติต้องการความสุขสบายแต่ยิ่งทำยิ่งลำบากขึ้นใครจะอยากทำ เขาเคยมีนิยามว่าคนญี่ปุ่นเก่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจนี่แหละเวลาผ่านไปคนจึงกลายเป็นสีตค่ะ
เห็นด้วยกับคอมเม้นนี้มากค่ะ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่มาก แต่GDPคือทั้งเอเชียรวมกันเลย แสดงว่าการทำงานต้องกดดันสูงมาก ซึ่งวัฒนธรรมแบบนี้เป็นดาบสองคม ในระยะยาวถ้าในประเทศมีแต่ประชากรผู้สูงอายุ (ซึ่งมีแนวโน้วว่าจะเกืดขึ้นจริง) แล้วรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาแรงงานแบบนี่ได้ ล้มเป็นโดมิโน่แน่ๆค่ะ (ไทยเราก็ไม่ต่างกัน แต่ของเรามีปัญหาเยอะกว่าค่ะ จะไม่พูดถึงละกัน555)
ดีที่ culture การทำงานของไทยยังไม่เลวร้ายเท่าญี่ปุ่น แต่เมืองไทยคนรุ่นใหม่ก็เกิดน้อยลงก็น่ากลัวนะครับผมว่าคนสมัยนี้การต้องมีครอบครัวและมีลูกมากกว่า 1 คนได้มันเป็นภาระที่หนักเอาเรื่อง รายรับและรายจ่ายมันไม่เหลือมากพอที่จะมาเลี้ยงลูกดีๆได้อยากให้ลูกได้เรียนดีต้องไปโรงเรียนเอกชน รัฐไม่ได้สนับสนุนเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มากพออยากได้รับการรักษาดีๆ ก็ต้องไปเอกชนด้วยเช่นกันแค่ปัจจัยพื้นฐานในสังคม ก็มาเป็นภาระให้ประชาชนแล้ว แล้วไหนจะค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน รายได้ไม่มากพอจะมีเงินเก็บจนไปมีลูกบางครอบครัวเลยเลิกคิดอยู่กันแค่มีชีวิตอยู่เรียบง่ายไปวันๆไม่อดตายก็อาจจะพอใจแล้ว เรื่องมีลูกผมว่าครอบครัวไหนๆก็อยากจะมี แต่ประเมินดูแล้วลูกอาจจะมาเจอชีวิตที่ลำบากแบบตัวเอง ใครอยากจะทำแบบนั้น ลูกใครๆก็รักไม่อยากให้เมืองไทยเป็นสังคมคนแก่ รัฐต้องช่วยเยอะกว่านี้ ต้องไม่ให้คนในสังคมถูกไล่ต้อนจากสภาวะแบบนี้ แล้วยิ่งปล่อยนานไป หรือไปจนถึงที่สังคมป็นสังคมคนแก่แล้วก็จะยิ่งแก้ยาก
ไทยสไตล์การทำงานเฮฮาปาร์ตี้ เช้าชาม เย็นชามอยู่แล้วครับ ชิล กว่า ญป เยอะ เคยได้ยินว่า วิศวะ ญป มาทำงานที่ไทย พอถึงเวลาต้องกลับ ญป ร้องไห้เลย เพราะไม่อยากกลับไปเจอความกดดันที่ ญป
ไม่แน่ ....ตอนนี้เด็กที่จบมา จำนวนเยอะมาก ไม่มีงานทำ....ต่าง จ.ที่ตกงานจากที่ต่างๆๆก็ กลับมาต่างจังหวัดทับถมกันอีก ไปค้ายาก็มากกกกก
ปัญหาจริงๆ คือความเหลี่ยมล้ำครับ เพราะบริษัทใหญ่ต้องการแข่งขัน แต่ถามจริง ผู้บริหารสักกี่คนที่ต้องคิดจนเส้นเลือดสมองแตก มีแต่ลงกับลูกน้อง และถ้าเขาจะเจ๊ง เขาก็ขอความช่วยเหลือธนาคาร ขอความช่วยเหลือทางการเมือง มีสิทธิในการกีดกันบางอย่างเพื่อไม่ให้ใครมาแข่งง่ายๆ ดังนั้น จีนกำลังควบคุม บริษัทใหญ่ๆทั้งหลายไง เขามองปัญหาออก มากกว่าจะโทษคนขี้เกียจ (ขี้เกียจจริงๆ บนโลกมีไม่เยอะ แต่ในบรรดาคนที่ถูกมองว่าขี้เกียจ คือคนไร้เป้าหมายต่างหาก)
ขอแย้งครับ 1.ภาระการใช้จ่ายครับครัว ผมไปร้านขายมือถือ เจอกับตัว แม่พาลูกสาวรุ่น 14-16ปี ไปซื้อโทรศัพท์ ลูกอยากได้ไอโฟนตัวใหม่ล่าสุด แม่ใส่ชุดพนักงานทำความสะอาด บอกเงินไม่พอ ถามพนักงานมีการผ่อนชำระมั้ย 2. น้องที่ทำงาน จบปริญญาตรีจาก อเมริกา กับน้อง จบปริญญาตรีราชมงคล ในไทย ตอนนี้น้องจบไทย เงินเดือนมากกว่า คนจบจากอเมริกาครับ ตรงนี้ขึ้นกับ “ คน “ ตามกฏทฤษฎี #ชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin : พ.ศ.2352-2425) นักธรรมชาติวิทยา ชาวอังกฤษได้นำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการว่า “ วิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ ” ดาร์วินอธิบายว่า ตามสภาพธรรมชาติสิ่งมีชีวิตทมีความสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมไดดีกว่าพวกอื่น จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมต่อไป
@@andaananonline3577 อันนี้จริง ถามว่าทำไมขี้เกียจ เพราะทำไปก็ไม่คุ้มทุน ค่าแรงต่ำความขยันจะมาจากไหน มันไม่มีอะไรให้ดึงดูดความขยันเลย ก็เหมือนทาสในสมัยก่อนที่ต่างชาติว่ากันว่าทาสไทยขี้เกียจ ทำงานฟรี ข้าวน้ำวันหนึ่งได้กินกี่มื้อ ก็นั่นแหละตามอุปสงค์ อุปทาน ก็ทำงานไปวันๆไง
สังคมทำงานเกาหลีน่าจะหนักหนา และเครียดกว่าญี่ปุ่นนะคะ ส่วนตัวทำงานบริษัทญี่ปุ่นมา 20 กว่าปีแล้ว คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆ เลิกทำงานหนักกันแล้วค่ะ
จริงดิ ดีละครับเพราะเคยทำงานกับคน ญป 5-6ปีก่อน เนียบมาก เป๊ะมากก
ญี่ปุ่นเยอะมากบางคนไม่อยากทำงวานเลย กินเงินเดือนรัฐบาลบางคนไปทำงานเดียวขาดเดียวลาปวดหัวมั้ง ทำงานก็เรื่องมาก
น่าจะแล้วแต่องค์กร แล้วแต่หัวหน้า เจ้านาย มั้งคะ เพราะเคยทำงานกับคนญี่ปุ่นมาหลายๆที่ ไม่เหมือนกันสักที่ อารมณ์คงเหมือนไทยมั้งคะ บางที่เคร่งครัด บางที่ใจดี และอาจจะแล้วแต่สายงานด้วยค่ะ
@@egonu3062 ด้วยอีกคนผมจำจดตายเลย 5555555 ตอนนั้นภาพในฝันมันสวยหรูไป ทั้ง ๆ ที่ได้ยินคำร่ำลือมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดจนเจอเข้าจริง ก็หมับเข้าให้ 55555555
ใช่เหรอ ยังเห็นเป๊ะ อยู่เลย พวกไม่ถึง 30 แต่สกิลงานนี่ นึกว่า 50
หลังโควิด เมืองไทยก็กำลังเป็นแบบนี้ แต่คิดว่าแย่กว่า
เบื่อชีวิต โคตรจริงเลย ชีวิตมันต้องอดทนและดิ้นรนจนกว่าจะตาย
ผมเป็นชาว NEET ครับ อยู่คนเดียวมีความสุขกว่ามาก ติดโซล่าเซลล์ ปลูกผักเลี้ยงปลาในที่ดินตัวเอง ก็ไม่อดนะครับ ^_^
Neet คือไม่ทำงานอะไรเลยครับ
@@chadchart6401 ก็ไม่ได้ทำงานอะไร (ที่มันได้เงิน) เลยครับ เกาะพ่อแม่กินด้วย เข้าข่ายนะผมหน่ะ 555
@@meekwamsook 555 จริง ผมก็เหมือนกันสายเกาะ😂
ถ้ามันไม่เดือดร้อนใคร มันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเลยนะ ดีกว่าอยู่ในระบบที่บิดเบี้ยวหมดความเป็นมนุษย์ไปวันๆ
ดีซะอีก ในเมื่อปชชไม่ต้องพึ่งรัฐ รอให้รัฐมันปรับตัวซะบ้าง
ตอนนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพื่อนที่อยู่ที่นั่นเล่าให้ฟัง เดี๋ยวนี้มีขโมยแล้ว เมื่อก่อนไม่มี ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนในญี่ปุ่นมีความกดดันสูง แข่งขันเอาตัวรอด หลายจังหวัดเหลือแต่ผู้สูงอายุ แถมเดี๋ยวนี้ต้องหางานทำด้วย ฟังแล้วนึกย้อนไปตอนไปอยู่ระยะนึง หน้ามือเป็นหลังมือเลย
พอพูดถึงคนประเภท "นีต" แล้วเนี่ยนะครับ ผมที่เป็นเด็กอายุ 16 ก็เหมือน "กำลัง" จะเข้าข่ายเลยนะครับ เพราะช่วงนี้รู้สึกเหมือนอดอะไรตายอยาก เฉื่อยๆ ก็เลยไปหันเล่นเกม แต่ผมก็โชคดีอย่างนึงที่มีบางสิ่งฉุดผมเอาไว้ เช่น เสียงดนตรีที่คอยเตือนสติ หรือภาพฝัน ที่อยากจะไขว่คว้ามาให้ได้ น่ะครับ
สู้ๆค่ะภาพฝันสำคัญ หาเป้าหมายให้เจอนะ
ต้องสู้ครับ
หาเพื่อนที่เราคุยแล้วสบายใจไม่จำเป็นต้องวัยเดียวกันเราอาจได้แง่คิดและมุมมองแปลกใหม่ที่เราไม่เคยรู้😁😉
อ่านหนังสือรอบแรกจบไปกลับมาอ่านซำ้รอบสองหรือสามมันจะต่างจากรอบแรกจริงๆนะมุมมองมันเปลี่ยนจับทิศทางได้ดีขึ้น😀
ความรู้สึกมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉงหรือหมดอาลัยตายอยาก มันจะมาเป็นพัก ๆ มันจะเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ไปเรื่อยๆ ไม่อยู่คงที่ สำคัญที่เราไม่ไปใส่ใจคิดคำนึงกับความรู้สึกแย่ ๆ พยายามรู้ทันมันไว้ พอรู้สึกแย่ปุ๊บรีบดีดตัวขึ้น กระโดด เต้น หรือวิ่งก็ได้ รีบหันไปดู/ทำอะไรที่ชอบและมีความสุข สักพักหนึ่งมันจะค่อยหายไปและไม่กลับมาเยี่ยมกรายอีกเลย เพราะเรารู้ตัวทุกครั้งที่มันมา และไม่ต้อนรับมัน ขออวยพรให้ไขว่คว้าสิ่งที่ฝันได้ สมกับความพยายามนะคับ
เคยทำงานกับ บ.ญี่ปุ่น เนี้ยบจริง เป๊ะจริง แต่บางทีก็ตรงแบบไม้บรรทัด ขอ 1-2-3 คุณก็จะได้ 1-2-3 จะไม่มีแถมให้นิดแบบซื้อใจ 1-2-3-4 ม่ายๆๆ 555 แต่เข้าใจเค้าได้ ว่านี่แหละญี่ปุ่น ส่วนแบบไทยๆ นี่พูดคุยกันได้ มีความยืดหยุ่น สบายใจกว่า แต่บางทียืดมากไปจนมั่วก็เยอะ และโดยรวมๆ ไร้ระเบียบกว่า เอาเป็นว่าข้อดีข้อเสียคนละแบบ 😊
คนไทยก็มีเยอะนะ แต่ไม่ได้เก็บตัว ยังออกมาเมา มาแว้นและกลีบไปทำร้ายคนในครอบครัวเหมือนที่เราเห็นในข่าวทั่วไป เลวร้ายกว่าเค้าเยอะ เป็นภาระทางสังคมอีก
ช่วงวัยเรียนผู้ใหญ่ต่างสอนให้เรามีฝันความหวัง ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่โตไปจะสามารถเป็นอะไรที่อยากเป็นก็ได้ แต่ในโลกทุนนิยมองค์กรที่มีค่านิยมที่ส่งเสริมให้อยู่แต่ในกรอบ ค่านิยมอาวุโส ค่านิยมซื่อสัตย์ต่อองค์กร ค่านิยมเผด็จการ มาในกดดันคนจนไม่มีความหวังกับชีวิต ไม่มีความฝันเป็นใครก็คงเข้าสู่ภาวะแช่แข็ง ไร้ค่า ซึมเศร้า ร้ายที่สุดก็เข้าขั้นจบชีวิตตัวเอง ไม่แปลกใจเลยจริงๆ
ผมเป็นคนที่ผิดหวังในการเรียน ใช้ชีวิต ความสัมพันธ์ แต่ทำงานปกติจนอายุเริ่มมาก ตอนนี้เก็บตัวไม่อยากติดต่อพูดคุยกับใคร
ญี่ปุ่นสังคมเหมือนเครื่องจักร เสร็จงานก็ต้องไปดื่มต่อตามรุ่นพี่ ไม่งั้นอยู่ยาก กว่าจะกลับก็รถไฟเที่ยวสุดท้าย เช้าทำงานต่อ คนญี่ปุ่นจึงชอบทำงานบริษัทที่ส่งตัวมาไทย ไม่ค่อยเคร่งเครียสเท่าไร แต่งานในเมืองไทยบางแห่งก็เริ่มเอาเวลาของเราไปบ้าง ไฃเลิกตามเวลามักจะโดนคำว่าไม่ทุ่มเท
ตราบใดที่ยังยังมีการกลั่นแกล้งบลูลี่ โรงเรียนหมกการปิดเรื่องร้ายไม่ทำการแก้ไขการเรียนที่หนักกับการแข่งขันที่สูง มันก็จะกระทบต่อการสังคมการทำงานและลุลามไปเรื่อยๆ ส่วนมากมักจะเกิดฝั่งค่าจิตใจของการเป็น นีท ตั้งแต่วัยเรียนเสียมากกว่าวัยทำงาน
เป็นกันเยอะ ๆ ดีแล้วครับผมจะได้สร้างตัวแบบมีคู่แข่งน้อย ๆ ลูก ๆ ผมจะได้สบายและสร้างตัวได้ง่ายขึ้น กวาดซื้อบ้านและที่ดินของพวก นีต ที่ไม่นอมทำงานแล้วปล่อยให้พวกนี้เช่าแทน มุดท้าสเดี๋ยวมันก็ทำงานมาจ่ายเงินให้ผมเอง จบ ๆ ไป อยากนีต ๆ ไป ผมลุย
ทุกอย่าง ต้องย้อนไปที่ ครอบครัว สิ่งแวดล้อมในญาติพี่น้องครับ ว่ามีการเลี้ยงดู การอบรม ความสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นแบบไหน และสำคัญที่ตัวของคนครับ ตามกฏทฤษฎี ชาร์ลส์ ดาร์วิน Charles Darwin นักธรรมชาติวิทยา ชาวอังกฤษได้นำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการว่า “ วิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ ” ดาร์วินอธิบายว่า ตามสภาพธรรมชาติสิ่งมีชีวิตทมีความสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมไดดีกว่าพวกอื่น จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมต่อไป
@@redqrc5688 +++ ให้ธรรมชาติมันคัดสรร พวกขี้แพ้ ก็ต้องตายไปในที่สุด
@@redqrc5688 คิดว่ามองแคบไปนะ
ใช้วิธีแบบ anti hero สิคับ คือ ฆ่าพวก bully ล้างโครตตระกูลล้างเผ่าพันธุ์ให้สิ้นซากไปเลยคับ แล้วก็ทำลายล้าง รร. และ มหาลัย ทิ้งไปสิคับ และก็ reboot ทุกอย่างเลยคับเฟี้ยวดี และ มีอิสระเสรีภาพด้วยคับ#ชู3นิ้วเสรีจักรวาล#ฝ่ายเสรีภาพอิสรภาพ#ฝ่ายสัมพันธมิตร#ฝ่ายเสรีคือธรรมมะ#freedom power
ไทยเราก็มีบุคคลประเภทนี้มานานแล้วค่ะ ..ที่เรียกว่าเลี้ยงลูกไม่ยอมโต
รัฐบาลมันแก้ปัญหาผิดจุดทำไมไม่แก้เรื่องทำงานหนักเกินเวลา
ผมเชื่อว่าชาวneetในเมืองไทยก็มีเยอะครับ
ผมคนนึงคับ อยู่บ้านกินแต่น้ำท่อม งานการไม่ยอมทำเพราะเรียนออนไลน์ 😂😂
ใช่ครับ ผมว่าอีกหน่อยนีตโตะในไทยมีมากขึ้นแน่นอน
ผมเป็น neet เพราะเจอแต่เพื่อนร่วมงานแย่ๆ สันดานชอบบูลลี่
เจ้าของเม้นป่ะ
@@ณัฎฐ์ชวาลธูสรานนท์ 5555 เหมือนกันนะเนี่ย
พี่ชายผมว่างงานมา2 ปีแล้ว ไม่ยอมไปหางาน พูดว่าให้ไปหางานทำก็เถียง น่าจะเข้าข่ายครับ มีน๊อตในบ้านลำบากมากครับ กินเยอะแถมพูดด้วยไม่ได้ บรรยากาศในบ้านไม่ดีเลย
ต้องทำแบบฝรั่งครับ พ่อแม่ไล่ออกเลย กลับมาบ้านก็ต้องจ่ายค่าเช่า
แค่เราไม่เป็นเหมือนเขาก็เก่งแล้วค่ะ
เพิ่งรู้ว่าคนญี่ปุ่นปัจจุบันเป็นแบบนี้ครับปกติญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องความขยัน อดทน ทุ่มเท กับทุกเรื่องอยากให้ลงคลิปเกี่ยวกับญี่ปุ่น ในมุมอื่น ๆ อีก สักคลิปครับ น่าสนใจดี
เสนอ อยากให้ทำกรณีของเกาหลีใต้ ภาวะขาดแคลนแรงงาน สภาพการแข่งขันสูง และการทำงานจนตายของเกาหลีใต้
อยากรู้มากเลยค่ะ เวลาดูซีรีย์ คนหางานยาก พนักงานกดดันที่เป็นพนักงานสัญญาจ้าง ศักดิ์ศรีต้อยต่ำ ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ ขนาดซื้อข้าวในโรงอาหาร ร้านกาแฟในบริษัท ยังไม่ได้ส่วนลด เพราะไม่ใช่พนักงานประจำ ทั้งที่ตัวเองก็ได้เงินเดือนน้อยกว่า
+++
มันไม่ใช่แต่ยี่ปุ่นหรอก มันก็มีทุกประเทศ ผมเองก็เหมือนกันไม่ทำงานเต็ม ทำๆหยุดๆ คนเราอาจจะคิดได้ว่าทำไปทำไม กิน3มื้อ นอน8ชม.เหมือนเดิม จงใช้เวลาไปในสิ่งที่ชอบเมื่อพร้อม
ปัญหาลักษณะนี้ในไทยก็มีนะ และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นด้วย บ้านเรามีภาคบริการหลายสาขาแต่ตอนนี้มีปัญหาโควิด หลายคนต้องหยุดงาน เป็นกำลังใจให้นะครับ ไทยเรามีการเก็บภาษีต่ำกว่าญี่ปุ่นเยอะ ทำให้สวัสดิการเราก็น้อยกว่า เราต้องหาทางดูแลตัวเรา/ครอบครัวเราก่อนพึ่งพาภาครัฐ เพราะรัฐฯ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ทุกอย่างเนอะ มีแรง มีกำลัง ทำงานหารายได้ดีกว่าครับ
คนไทยที่เสียภาษีไม่เคยได้อะไรจากรัฐ ต้องไม่เสียภาษีเท่านั้น ถึงได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ เพราะเข้าใจว่าคนที่เสียภาษีคือคนรวย คนไม่เสียคือคนจน
@@parl2440 แล้วมีประเทศไหน ที่ไม่เก็บภาษี ไม่ส่วย ค่าธรรมเนียม สำรับบริการส่วนร่วม ประเทศจะดำเนินไปได้ก็ต้องมีบริการส่วนการ คนที่เข้ามาบริการ คือ ข้าราชการ คนที่เข้ามาบริหาร คือ นักการเมือง (สภาผู้แทนราษฎร) และคนที่เลือกนักการเมือง คือ ประชาชน และตอนนี้ คนทุกคนในไทยก็เสียภาษีอยู่ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (เกือบทุกกิจกรรม ยกเว้น ทำบุญ ฯ) ภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าต่างประเทศ ดังนั้น ไม่ว่าคนจน หรือคนรวยก็เสียภาษี ส่งรายได้เข้ารัฐบาลกลาง แต่กลไกการเก็บภาษี นักการเมืองและข้าราการเป็นผู้กำหนด จึงไม่ถูกว่าคนจนไม่เสียภาษี ทุกชีวิตดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงชีพหรือทำให้คุณภาพชีวิตตัวเองและครอบครัวอยู่ดีมีสุข อย่าหวังพึ่งภาครัฐ/สังคมอย่างเดียว เพราะรัฐบาลและคนที่จะมาบริหารเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนไทยมีน้ำใจกัน แต่ยุคสมัยก็ทำให้น้ำใจคนไทยเปลี่ยนแปลง แนวคิดการไม่เสียภาษี ใช่ ความใจดำหรือไม่ หากภาษีสูง/เงื่อนไขไม่ดี ก็ว่ากันไป ไทยจะต้องพัฒนา อย่าจมปรักในความอิจฉา เกลียดชัง และการแบ่งแยก ตามแนวทางที่นักการเมืองบางกลุ่มปลูกฝัง เพราะง่ายต่อเขาเหล่านั้นในการได้คะแนนเสียงเลือกตั้ง
ไม่น่าเชื่อประเทศที่เจริญแล้ว เช่นนี้จะมีคนไม่ทำงาน อยู่ว่างๆ
ในขณะที่ประเทศอื่นมีความยืดหยุ่นในการทำงานสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ญี่ปุ่นยังเหมือนเดิม..
ที่เอมริกาสมัยเมื่อ ๕๐ ปีก่อนต้องมีเครื่องแบบแต่งตัว มีการตรวจระเบียบตั้งแต่เดินเข้าประตูมาเลย ใครหน้าตาไม่ดี ความรู้ไม่แน่นโดน"แห่"คือประจานไปทั่วในการประชุม การไล่ออกฐาน"โชว์โง่" มีให้เห็นประจำในองค์กรที่มีการเกี่ยวข้องกับการวิจัยค้นคว้าแข่งขัน การกำจัดความรู้และการควบคุมความเจริญของพนักงานในระดับสูง จำกัดอยู่ในกลุ่มคนที่มี"สายสัมพันธุ์" ปัจจุบันลดหย่อนลงไปมาก ผมนอนทำงานและสามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ในที่ทำงานตอนแก่ ใครฟ้องใครเล่นงานผมลับหลังผมก็กลับบ้านมานอน"กินบุญเก่า"
เหมือนจะมีคำตอบอยู่ในคลิปอยู่แล้ว เปลี่ยนค่านิยมของคนในองค์กรณ์ เรื่องทำงานหนัก เป็น 8-10ชม เกิน2 ทุ่มต้องไล่กลับบ้าน(ดคกครั้งคราวได้) คนอยู่ดึกประจำต้องประเมินแล้วว่าทคุณบริหารงานไม่เป็น หรือ ขาดกำลังคนกันแน่ วัดความสามารถที่ผลงาน ไม่ใช่อยู่ดึก
ญี่ปุ่นห้ามกลับบ้านก่อนหัวหน้างาน บางบริษัทหัวหน้าออกไปกินข้าวเย็น6โมง กลับเข้ามา1ทุ่มและนั่งถึง2ทุ่มจากนั้นก็ชวนไปดื่มจะเลิกที4ทุ่ม เป็นแบบที่แทบทุบวัน บางคนถึงบ้านเที่ยงคืน ได้นอนวันละ 4ชม.
ที่อยู่กันจนเลทเห็นว่าเป็นเพราะอยากได้เงินโอที
การทำงานมีส่วนจริงๆ ขนาดงานที่ไทยงานเครียดๆ ทำงานหนักจนบางทีก็น่าเบื่อ ยิ่งญี่ปุ่นนี่เคร่งเครียดกันมากจนแบบไม่อยากไปทำงานแบบนั้นเลย
ผมทำงานบริษัทญี่ปุ่นมา10กว่าปี หนักจริง และหนักมาก แล้วตอนนี้ก็อยู่ในตำแหน่งที่สูงพอสมควร เครียดจริงครับ
เพื่อนญี่ปุ่นบอกว่าทำงานที่ญี่ปุ่นเครียดและกดดันมากๆได้เงินหลายแสน พอย้ายมาไทยได้สามสี่หมื่นนางแฮ้ปปี้มีความสุขมากๆ
เราก็เป็นชาว NEET มาสองปีละ ตกงาน
มีเพื่อนคนญี่ปุ่นเล่าว่าสมัยเรียนมัธยม เป็นสังคมเเห่งการบูลลี่เลยละ การนับรุ่นเป็นอะไรที่สำคัญมาก ไม่มีสิทธิในการปฎิเสธหากมีรุ่นพี่มาคุยด้วย เเม่เราไม่ชอบหน้ามัน เราก็ต้องคุย ไม่งั้นมันจะเล่นพรรคเล่นพวก มาบลูลลี่เรา ไม่ได้สวยงามเหมือนในหนังหรือ การตูนเลย
เหมือนในอีกาเลยครับ ถ้ามีคนมาแล้วไม่คุยด้วย มันซัดเอาหน้าแหก
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ การจะเลือกแบบใด ทำแบบไหน ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตัวเราครับ หากจะให้ปัจจัยภายนอกเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหรือวิธีคิดของเรานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ แต่กระนั้น เราก็ต้องประคองตัวเองให้อยู่ในลู่ทางที่คาดหวังไว้ครับ
ระบบราชการไทยนี่!,,,,,,,,,,,,,,ก็คือ ชาวนีท,ชาวฟรีเตอร์ เราดีดีนี่เอง!,,(เช้าชามเย็นชาม),,หนักหน่อยก็แต่งตัวไปเซ็นต์ชื่อเข้างาน,,,แล้วออกไปสังสรรกับเพื่อนเพื่อน! สิ้นเดือนรับเงินภาษีของชาวบ้านเอาไปเลี้ยงครอบครัว!,,ไม่มีสถิติ ว่ามีจำนวนมากเท่าใร????,,,
กระทรวงอะไรครับ
ผมเจอบ่าย 2 ครึ่ง แต่งหน้าเตรียมกลับบ้านแล้ว
แล้ว เรา เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่บ้าน เรียก นิสมัยคะ😊😊😊👸🏻👧🏻🧒🏻👦🏻👍🏻👍🏻👍🏻
ไม่น่านับครับ คุณจำเป็นต้องอยู่บ้านด้วยเหตุจำเป็น เเต่ชาวนีทนั้นอยู่บ้านด้วยความไม่จำเป็นเพราะตนเองก็ยังมีเเรงทำงานได้ เพียงเเต่ไม่ทำเนื่องจากเเรงกดดันในสังคม จึงเป็นเหตุให้เป็นนีท
อยู่ไป วันๆ ผมก็ ไม่ ค่อย ขยันทำงาน ทำคลิป สอนเลข และ รอ ตาย ไม่ยึ่ดมั่นถือมั่น สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรา สิ่งนี้ไม่ใช่ ตัวตนของเรา
อันนี้เรียกทำงานแล้วนะ ไม่ได้ใช้แรงแต่ใช้สมอง
อันนี้เห็นด้วย อย่าลืมทำบุญด้วยน่ะ
เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ น เมโสอัตตา
ท่องเที่ยวบ้างนะคะ
เพิ่งเห็นข่าวนักดับเพลิงญี่ปุ่นโดนทำโทษทางวินัยเพราะไปสตีมเกมแล้วทำเงินได้เป็นล้านเยนในระยะเวลาสั้นๆแล้ว ผมคิดว่าคงไม่แปลกนักที่คนรุ่นใหม่เลือกจะเป็นนีตกันมากขึ้นชีวิตการทำงานโคตรขาดความยืดหยุ่น กระทบยันเวลาชีวิตส่วนตัวขนาดนี้
3 ทศวรรษที่หายไปกระจอกไปเลยเมื่อมาเทียบกับ 7 ปี เราจะทำตามสัญญา สงสารคนไทย
3 ทศวรรษ คือ 30 ปีนะครับ แต่บ้านเราคง 60 ปีที่หายไป เจริญช้าและพัฒนายาก
@@Theerawee_Thongkham ผมว่าเจริญขึ้นเรื่อยๆนะ
สังคมรุ่นใหม่ เกิดสถานการณ์นี้ทั่วโลก ในไทยก็เห็นมีอยู่
ไปเรียกกลุ่มคนที่รับจ้างทั่วไปฟรีเตอร์ว่าเป็นปัญหานี่ก็ดูถูกความเป็นมนุษย์เหยียดงานกันเกินไปนะ คืองานทั่วไปไม่มีคนกลุ่มนี้ทำแล้วใครจะทำแรงงานต่างชาติก็ไม่ค่อยจะรับ ยังไปเหยียดกันอีก
เคยไปฝึกงานญี่ปุ่น คำว่า เลิกงานไม่มีอยู่จริง เลิกงาน แล้วก็ไปต่อ ร้านเหล้า ก็ยังคุยเรื่องงาน โทรศัพท์ ก็จับไม่ได้ เครียดเกิน เครียดตลอดเวลา
เลิกงานไม่มีอยู่จริง โคตรจริง5555
เสมือนเป็นเจ้าของบริษัทให้ทำงานเบอร์นี้
จริงค่ะ เหนื่อยมาทั้งวัน อยากรีบกลับไปพักผ่อนก็ไม่ได้ แถมยังนั่งรมควันบุหรี่ตลอดเวลาที่กินข้าว กินไปคุยไป น้ำลายกระเด็นเยอะมาก5555 จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่กำเนิดญี่ปุ่นแล้วละมั้ง เขาถือว่าเป็นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างคนงานนายจ้างจะได้สนิทกัน
นอนหลับยังเอางานไปทำในฝันแถมถูกด่า_ชะมะ
เคยทำงานบริบษัทญี่ปุ่น เน้นขยันแต่ไม่สนับสนุนไอเดีย ไม่ผ่อนคลายเอาแต่ควบคุม เน้นระบบโซตัส น่าเบื่อค่ะ
เหมือนผมเลย ไม่กล้าออกไปไหน ขนาดร้านค้าข้างบ้านยังไม่กล้าไป คือผมไม่ชอบทีคนเยอะๆ
👋👋👋
ในเมื่อวิถีเก่ามันไม่ทำให้ชีวิต สว.ในปัจจุบันดีขึ้น ยังมีความเครียดอยู่เหมือนเดิมหลังจากตรากตรำมาทั้งชีวิตแล้วเด็กเค้าจะไปเดินซ้ำรอยเดิมไปทำไม เค้าเลยเลือกหนทางที่ฉลาดกว่าคือ งดเว้นการมีครอบครัว และสังคมออกไปเลย หาและใช้แค่เท่าที่จำเป็นจริงๆ มันก็เป็นเหตุเป็นผลกันอยู่ในสังคมญี่ปุ่นเองนั่นแหละ
โอ้โห อย่างงี้ไทยมีเพี้ยบเลย เกะพ่อแม่จนแก่เฒ่า แค่ขาดการสำรวจเท่านั้นเอง ขี้ยานี่ร้ายแรงกว่านี้อีก ทุบตีพ่อแม่ ขโมยเงินพ่อแม่ ภาระทั้งนั้น
พ่อแม่ก็ไม่กล้าบอกใคร
ผมก็เป็นชาวneetเหมือนกันครับปลูกต้นไม้ทำสวนเลี้ยงไก่เลี้ยงปลาคนเดียวครับ.ผูกเปลนอนตอนบ่ายๆใต้ร่มไม้.ชาสักถ้วยหนังสือดีๆสักเล่ม.แล้วค่อยไปตัดหญ้าต่อ.
ผมชอบแนวคิดของจีน ที่ชลอบริษัทเทคโนโลยี่ รร.กวดวิชา ร้านเกม เพราะเมื่อนานวันก้อจะเกิดปัญหาตามมา
ชะลอยังไงคะ
ผมว่าจีนเขาจับตามองญี่ปุ่นมาตลอด เพราะการจะเป็นพี่ใหญ่ในเอเชียนั้น ต้องผ่านญี่ปุ่นให้ได้ก่อน อะไรที่คือตัวปัญหาฉุดให้ชาติไม่พัฒนาหรือเป็นระบบนายทุนผูกขาดมากเกิน จีนรีบตัดทันที
เห็นด้วยเลยครับ แถมมีนโยบาย การให้มีลูกเพิ่มด้วยการควบคุมการเล่นเกม หรือการกวดวิชา ที่อาจจะทำให้เด็ก มีเวลากับครอบครัวมากขึ้น
@@ynpl8238 ก็นะ คอมมิวนิสต์มันสามารถควบคุมประชาชนโดยช่างแม่งสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว เราก็ไปคาดหวังว่ามันจะดีจนลืมไปว่าจีนไม่ใช่ประชาธิปไตยหรือสังคมนิยมที่ดี แต่เป็นรัฐเผด็จที่ดูไม่เป็นเผด็จการ
เป็นเรื่องน่าเศร้านะ แต่ผมก็ไม่ชอบสังคมปัจจุบันสักเท่าไหร่
เป็นสังคมที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ คนที่อยู่ได้โดยผาสุกและชอบระบบนี้ แปลว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของความบิดเบี้ยวนี้ไปแล้ว
@@mijnzh24 ใช้ครับผมทุกข์ใจมากรู้สึกไม่ยอมรับการ กระทำของคนอื่นในสังคมที่เขาชอบพูดว่าใครๆก็ทำกันแล้วมาด่าว่าเราคือไอโง่ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องชั่วๆที่พวกเขาทำ และต่อต้านมัน โดนทั้งการกลั่นแกล้งสารพัดวิธี เราทำสิที่ตัวเองรับผมชอบเสร็จแล้ว แล้วทำไมเราต้องไปรับผิดชอบการกระทำของผู้อื่นด้วย ตอนนี้ผมโคตรเสียความมั่นใจในตัวเองสุดๆจนสุดท้ายก็ด่าว่าตัวเองทำไมมีแค่เราที่ไม่ยอมรับเรื่องแย่ๆและทำเรื่องแย่ๆได้หน้าตาเฉยแบบคนอื่นเขา ผมนี้ปวดใจสุดๆเลยระยะหลังๆมานี้
ถ้าเลือกได้ ผมก็จะไม่ทำงาน สังคมทุกวันนี้มันเน่าเฟะมากจริงๆ
ใช่คับ สังคมทุกวันนี้เน่าเฟะมากคับ เพราะ มีแต่การกดขี่ข่มเหงรังแกกันอะคับ ว่าง่ายๆ คือ สังคมมันจะเริ่มกลายเป็นสังคมสลิ่มและเผด็จการแล้วล่ะคับ
ล้านคนที่เป็น Neet ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ใช่ปัญหา แต่ ปัญหาฟรีเตอร์ น่าคำนวนกว่าเยอะ แต่ คล้ายๆ เมืองไทยเลย เด็กๆไม่อยากทำงานรับจ้าง อ้างเงินน้อย การจ้างงานเลยต้องพึ่งต่างด้าว แล้วเด็กๆก็มาอ้างว่า ต่างด้าวมาแย่งงาน แต่ตัวเองก็อ้างไปเรื่อยไม่ยอมหางานอยู่ดี
ใช่เลยเห็นคนพม่า กัมพูชาทำงานในไทยเยอะมาก ทั้งที่เงินเดือนน้อย แต่เค้าก็อยู่ได้
ภาวนาเป็นงานที่ไม่ได้เงิน ทุกวันนี้เราทำงานที่ได้เงินกันจนลืม NEET กำลังพาตัวเองเข้าสู่สังฆมลทล
เพราะระบบ มันทำให้ชีวิตไร้ความฝันไงล่ะ บางคนก็กลัวความล้มเหลว บางก็ถูกเอาเปรียบกลั้นแกล้ง บางคนก็โดนสังคมที่มันเหมือนดูดีแต่ทุเรศ จนทุกคนมองเป็นเรื่องปกติ ไม่แก้ไขมัน เรียนจบมาที่เราเรียนมามันใช่ทางเราจริงๆหรอใช่สิ่งที่เราต้องการไหม แล้วที่ทำงานเป็นแบบที่เราคิดไหมเจอกับมนุษย์ประเภทไหน แล้วบางคนไปคนเดียวทำคนเดียว เดินคนเดียวกลับคนเดียว มันดูแย่นะ เดินแบบสิ้นหวัง แม้แต่ครอบครัวก็ไม่มีใครเข้าใจ ต้อวถามก่อนพวกเค้าเจออะไรมา บางคนมันฝังใจ พวกผูกขาดตลาดอีก นายทุนอีก เปิดอะไรสักอย่างของตัวเองจะสู้พวกเค้าได้ป่าว หรือ ทำงานเป็นลูกจ้างตลอดไป รอวันโดนบีบ ตอนใกล้ดเกรีษณ เพื่อไม่ได้เงินก้อนโต อนาคตจะเป็นยังไง มันดูไร้ค่า
ผมก้อเปนนีตมาสี่ปีแล้ววันๆก้อเล่นเกมกับดูซีรี่ โชคดีที่พ่อแม่มีบำนาญ และตอนทำงานเอกชนมีเงินเก็บเยอะอยู่ ในอนาคตถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้วอาจต้องขายที่ดินมรดกเอา
สงสารพ่อแม่ค่ะ เลิกเกาะเขากินได้แล้ว ให้เขาได้นอนตายตากลับได้ใช้เงินบำนาญของเขาบ้างค่ะ ไม่นานเขาก็ตายแล้ว ยังต้องตายตาไม่หลับมานั่งห่วงลูก
เมืองไทยก็มี อย่าว่าแต่คนญี่ปุ่นเลยครับ แต่ไม่ใช่เพราะงานหนัก เป็นเพราะความขี้เกียจ ไม่ตระหนักหน้าที่ตัวเองก็มีเยอะ
ใช่คับ
มันเป็นปัญหาเฉพาะทางโครงสร้างทางสังคมด้วย คับ อย่าโทษแต่ขี้เกียจ
การโทษคนมันง่ายและไม่ต้องใช้ความคิดอะไร
รัฐแก้ปัญหาไม่ถูกทาง เกาไม่ถูกที่คัน ต้นเหตุอยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่
มาเปลี่ยนเป็นสไตล์ สบายๆไทยแลนด์ซิ การนัดที่ไม่ตรงเวลา ก็สิ่งที่ดีเหมือนกัน พวกคุณเคร่งเครียดเกินไป ให้เวลาเป็นโซ่มัดตรึงพวกคุณไว้ ชีวิตเลยเคร่งเครียด ญี่ปุ่นมาอยู่เมืองไทยแล้ว ไม่อยากจะกลับประเทศตัวเอง เพราะไทยแลนด์มันสบายๆ ชิวๆ
รักสบายจนมักง่าย ทำงานเช้าชามเย็นชาม บางทีก็ไม่ไหว
ทุกวันนี้สังคมไทยมีเยอะ เรียกว่า ชาวเกาะ
ดูแล้วยี่ปุ่นน่าจะถดถอยลงเรี่อยๆ
ภาระ และค่าครองชีพที่สูงเกินไป ทำให้คนรุ่นใหม่มีเส้นทางชีวิตที่มืดมน
ถ้าค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นสูงมาดูไทยครับ ยิ่งกว่า ถ้าเทียบรายได้และรายจ่าย
ถ้าเทียบรายรับรายจ่าย อยู่กรุงเทพลำบากกว่าโตเกียวเยอะครับ
คนไทยตกงานเละเทะครับ แต่ไทยไม่นับว่าตกงาน เพราะกลับบ้านนอกขายลูกชิ้น ถือว่ามีงานทำแล้ว
ประเทศที่บอกว่าพัฒนาแล้ว.คนอีกรุ่นจะรักสบาย.ใช้ชีวิตอิสระ.ชอบกินดีๆ.อยู่สบายๆ.ท่องเที่ยว.มีเงินใช้.ทำงานอิสระที่ได้เงินมากๆเวลาทำงานน้อยๆไม่ลำบากไม่ต้องอดทนได้ผลสำเร็จเร็ว.ไม่ต้องรับผิดชอบ.ไม่ต้องทำงานเลยอันนี้สุดยอด
ตกงานครับ มาฟังแล้วสะดุ้งเลย พอดีก็พอมีอาชีพที่บ้านแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า อยากจะไปสอบข้าราชการก็ช่วงโควิดหนักๆพอดี เห้อ เซ็งชีวิต
ลองปัญหาแนวนี้ของไทยมีบ้างไหมครับเห็นว่าไทยอีก10ข้างหน้าผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้น อัตราเด็กเกิดใหหม่น้อยกว่า20ปีที่ผ่านมา
พ่อแม่มีลูก7คน รุ่นผมมีลูกบ้านละคนสองคน
เศรษฐกิจพอเพียงแบบไทย ดีสุดแล้ว มีความสุข
เคยเม้นท์มาก่อนว่าช่องนี้ดีมากๆ แล้วก็โดนด่าด้วย 55 ปัจจัยหนึ่งที่คนตกงานหรือไม่ทำงาน เพราะสู้ technology ไม่ได้ คนไม่สามารถแข่งกับเครื่องจักร คุณค่าคนลดต่ำลงมาก แม้ส่วนตัว ผมจะเลือกเครื่องจักรมากกว่าคน เพราะคนคาดการไม่ได้เลย...
ชาวนีตบ้านเราก็คือชาวเกาะ ฟรีเตอร์บ้านเราเรียกอารมณ์ศิลปิน อยากทำก็ทำถ้าจำเป็นก็อาจทำ แล้วแต่อารมณ์ด้วย ถ้าเสียอารมณ์ก็ไปดื้อๆเหมือนกันเอากับเค้าสิ
ไม่น่าเชื่อเลย ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับประเทศที่มีความเจริญทั้งเทคโนโลยีและวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ประเทศไทยกำลังจะเดินไปสู่จุดนั้น
อยากรู้เรื่องneetที่ประเทศไทยครับ ว่ามีเยอะไหม🙏
ไทย ผมว่า ไม่น่า มีนะครับ มีแต่ หางาน ไม่ได้ มากกว่า
มีครับผมไงวันๆอยู่แต่ในห้อง70-80%กินของกินก็ทิ้งในห้องเล่นมือถือในห้องไม่อยากทำงานเบื่อชีวิตจนคนในบ้านด่าและไม่อยากมีครอบครัวไม่อยากรับผิดชอบใดๆอยากขอเงินใช้ไปเลื่อยๆ
@@สมบัติสัตยาอภิธาน-ภ4ธ มีนะครับ
เยอะนะ พวกแว้นเฒ่าโตแล้วไม่หางานทำขอเงินพ่อแม่ขี่รถเที่ยวไปวัน ยังไม่นับพวกขี้ยาเกาะเมียเกาะพ่อแม่กิน ยิ่งสมัยนี้ยาบ้าถูกกระท่อทถูกกฎหมายพวกนี้ยิ่งเยอะ
@@จอมเพด็จการโจเซฟสตาลิน ไม่เสียดายเวลาทีผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย
เหมือนแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะที่คนไม่อยากทำงานเพราะวัฒนธรรมการทำงานที่เคร่งเกินไปหรือเปล่า
ไม่ต้องเพิ่มวิชาแล้วค่ะ หันมาดูสุขภาพจิตอนาคตของชาติก่อน ไหนจะอัตราการฆ่าตัวตายอีก
ติดตามเพจนี้ตลอดนะครับ ได้ความรู้ สาระดี
เพื่อนที่เกิดมาเป็น NEET ในโตเกียว ส่วนใหญ่โชคดีที่เกิดมาแบบถูกสปอยล์ ตั้งแต่เด็กจนเรียนมหาลัย ส่วนประเทศไทยไม่เกิดขึ้นเกิน 5% ของประชากรหรอกค่ะ เพราะพวกเราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้รักศักดิ์ศรี กตัญญูต่อบุพการี อดทนต่อสรรพสิ่งดิ้นร้นจนถึงที่สุด ดังนั้นใครมีลูกมีหลานจงสอนเขาให้มี adaptive skills ตั้งแต่เล็กๆ ไม่ว่าจะเจอวิกฤตใด สังคมแบบไหน เขาจะเอาตัวรอด และไม่โตไปเป็น NEET ค่ะ
ฟรีแลนซ์ไทยก็มากขึ้นเหมือนกัน
ดู reality TERRACE HOUSE เปลี่ยนความคิดเรื่องทัศนคติการทำงาน เป้าหมายในขีวิต ของคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ อย่างมากเลย
ผมว่ารัฐบาลต้องออกกฎหมาย ปรับเปลี่ยนเรื่องเวลาการทำงาน การบังคับการลาพักร้อน เด็กๆเค้าเห็นการทำงานแบบตะวันตก แล้วเค้าอยากทำแบบนั้น
กฏหมายเวลาทำงาน การบังคับลาพักร้อนมีอยู่แล้วค่ะ แต่ด้วยวัฒนธรรมญี่ปุ่นเค้าไม่ลาพักร้อนเองค่ะ ส่วนตัวใช้วันลาพักร้อนเกือบหมดแม็กซ์ทุกปีค่ะ แต่ช่วงโควิด2ปีที่ผ่านมา เดินทางไปตปท ค่อนข้างลำบาก ก็เลยใช้วันลาพักร้อนน้อยลง
มีเพื่อนคนญี่ปุ่นหลายคน-เขาพูดว่าหลังๆรายจ่ายประเทศญี่ปุ่นสูงขึ้นการไปโรงเรียนค่อนข้างค่าใช้จ่ายสูงและแรงกดดันทางสังคมเยอะ-และหลายคนอยากทำงานอิสระเป็นเจ้านายตัวเองเยอะขึ้น
ระบบเสียง สามารถ ดีได้กว่านี้อีกครับ ชอบครับ
ผมเคยไม่ทำงานยุหลายปี ไม่เข้าสังคม จนถึงวันที่บ้านลำบาก ผมเลยต้องหาเลี้ยงชีวิต
ให้พวกแมร่งเปลี่ยนค่านิยมในการทำงานให้ได้ก่อน ส่วนบ้านเรา ก็กำจัดค่านิยมรักสบายให้ได้ก่อน
มีอนิเมะเรื่องนึง เคยพูดถึงคนญี่ปุ่นว่า "ฟันเฟืองอันไร้ความรู้สึก" เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีค่านิยมว่าต้องทุ่มเทตัวไปกับงาน งานก็เป็นงานที่หนักมากๆเข้าเช้า ออกเกือบเที่ยงคืน เพราะค่าแรงงานนั้นสูง ทำให้บริษัทมีจำนวนพนักงานน้อย แต่จำนวนงานกลับมากเป็นเท่าตัว ส่วนสาเหตุที่คนญี่ปุ่นเลือกที่จะไม่มีลูก เพราะว่าการใช้ชีวิตในญี่ปุ่น หากกินอยู่ตัวเดียว ก็พอดี แต่ถ้ามีเด็กเพิ่มมา ก็จะเป็นภาระทางการเงิน ถึงจะมีสวัสดิการช่วยจากรัฐก็ไม่เพียงพออยู่ดี และด้วยค่านิยมที่ว่าจะไม่ทำตัวรบกวนคนอื่น เวลามีปัญหาอะไรก็จะเงียบ ทำให้คนญี่ปุ่นมีความเครียดสูง แรงกดดันสูง จึงไม่เเปลกเลย ที่จะปลีกตัวออกจากสังคม เพราะการปลีกตัวออกจากสังคม ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย สบายใจ มากกว่าที่จะอยู่สังคม
ถ้าตัดพิธีรีตรอง ธรรมเนียมออกไปได้ ก็ทำงานน้อยลง
ผมสงสัยว่าถ้า
เอาเงินที่ต้องจ้างคนๆเดียวแพงๆ
ไปแบ่งเป็นจ้างสองคน
มันทำไม่ได้เหรอครับ
@@gluesguitar ตามหลักแล้ว ค่าจ้างถูก แพง ขึ้นกับลักษณะงาน คุณค่าของงานค่ะ ถ้าบริษัทที่บริหารงานดีๆ เงินเดือนคนหนึ่งคน มันไม่ได้เป็น2 เท่าของคุณค่างานที่เค้าสร้าง มันจึงมาแบ่งจ้าง 2 คนไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าบริษัทมีลูกจ้างไร้ประสิทธิภาพแต่เงินเดือนสูง หากเลิกจ้าง แล้วไปจ้างคน2คนมาทำงานแทนแล้วได้งานมากกว่า ก็ถือว่าคุ้มค่ะ
👍
หลอกใช้จนเบรินเอ้าท์แล้วหาคนใหม่มาแทนโหดร้ายจัง
ญี่ปุ่นอาจต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรบ้าง การทำงานของคนญี่ปุ่นค่อนข้างหนักมากจริงๆ ทำให้คนกดดันแล้วกลายเป็นเบื่อหน่ายในการทำงานด้วย
ใช่ค่ะ
เห็นด้วยครับ
ใช่ครับ ผมคุยกับเพื่อนในธุรกิจเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกับผม แต่เป็นบริษัทฯยุโรป คนละเรื่องครับ เขาหยุดงานเป็นเดือน ไปเที่ยวได้
คงเปลี่ยนไม่ได้หรอกครับ ต้องอีกสัก ๒ เจน ถึงจะเปลี่ยนได้
@@TheSuperPR ถ้าเคยทำโรงงานฝรั่งกับญี่ปุ่นจะรู้ส่าต่างกัน
ผมเข้าใจชาวนีตนะ ชีวิตในฝันเลย แต่บ้านผมไม่รวยยังต้องออกมาทำงานเก็บเงิน หวังว่าซักวันจะใช้ชีวิตแบบนั้นได้ วิธีแก้ปัญหาของญี่ปุ่นคือเอางานให้ชาวนีตทำที่บ้าน งานออฟฟิศหลายอย่างมันไม่จำเป็นต้องทำที่อ๊อฟฟิตก็ได้ ช่วงโควิดที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่างานหลายอย่างทำที่บ้านก็ได้ ทำที่บ้านข้อดีหลายอย่าง แม้ชั่วโมงการทำงานจะเยอะ แต่มันผ่อนคลายกว่าอยู่ออฟฟิศเยอะเพราะมันเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่เสียเวลาเดินทางและไม่เสียค่าเดินทาง
จริงม้ากกกกก ไม่อยากไปออฟฟิศเลย
กูนี่แหละ ชาวนี๊ตมาก่อน ถามว่าอะไรเป็นสาเหตุ เหตุปัจจัยน่าจะมาจากหลายๆอย่างรวมกัน
1. ความอดทนน้อย น้อยในที่นี้คือทนความกดดันจากปัญหาต่างๆในที่ทำงานได้น้อย ทำงานแล้วเครียดเลยเบื่อการไปทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ทางแก้ไข ต้องหางานที่สามารถทำคนเดียวได้เอง โดยทำจากที่บ้าน จะได้ไม่ต้องเจอคนหรือเจอความเครียดมากมาย
2. จากข้อ 1. แนวโน้มการเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย มีโลกส่วนตัวสูง อาจเรียกว่าเป็นกลุ่มคน Introvert การออกไปทำงานร่วมกับกลุ่มคนมากๆนั้น จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า "ชีวิตไม่มีอิสระ" เมื่อยังคิดอะไรไม่ออก ยังหางานที่รักหรืองานที่อยากจะทำยังไม่เจอ จึงอยากหนี อยากลาออก ออกมาอยู่บ้านเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่นไปทำงานก็ได้" ไม่ต้องมีใครมาบังคับ มากดดัน มาสั่ง ฯลฯ
3. ความอดทนน้อย + ความขี้เบื่องาน เบื่อคน + ไม่อยากออกไปทำงาน = ความขี้เกียจลุกขึ้นมาสู้ชีวิต อยากหนีสังคม อยู่ในโลกของตัวเอง นานๆไปจะไม่ดี เพราะความรู้สึกการเป็นคนเรื่อยเปิ่อย คนโบราณเรียก "เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ" หรือ "หนักไม่เอา เบาไม่สู้" ทั้งหมดนี้จะเป็นความรู้สึกที่กัดกินใจอยู่ข้างในลึกๆ
จนกว่าวันนึงที่จะสามารถหางาน ที่เหมาะกับจริตของตนเองได้นั่นแหละ ถึงจะหลุดพ้นจากการเป็นคนไม่มีงาน หรือไม่อยากทำงาน โดยทั้งหมดนั้น งานจะต้องเป็นตัวที่เอื้อให้เกิดความรู้สึกของการมีอิสระ มีเวลาให้กับชีวิตตนเอง ชีวิตไม่ถูกบังคับด้วยงานประจำหรือเวลา แนวโน้มของงานที่เหมาะสม จะเป็นงานอิสระทั้งหมด คนประเภทนี้ไม่เหมาะกับงานประจำ ทำที่ไหนแล้วจะทนอยู่ได้ไม่นาน
เป็นเมนท์เดียวทนอ่านจนจบ...โอยปวดสมอง (เข้าขั้น Freeter ไปแล้ว)
เคย neet อยู่ประมาณ อายุ 20-25 ครับ ครอบครัวคนรอบข้าง สำคัญสุด เป็นคนที่หยิบยื่นโอกาส หากิจกรรมให้ทำ และต้องใจเย็นด้วยอย่างมาก
มีเพื่อนร่วมคลาสเป็นคนญี่ปุ่นอายุจะเลข 4 แล้ว พี่แกเปลี่ยนสายงานจากวิศวะมาเป็นธุรกิจละตระเวนทำงานไปทั่วโลก พอถามว่าเรียนจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน เค้าก็บอกจะไปอยู่เมกายาวๆ เลย พอตั้งตัวได้จะพาพ่อแม่ไปด้วย นี่เลยแอบคิดว่าส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะสังคมการทำงานที่กดดันมากๆ ของญี่ปุ่นก็ได้ ถ้าเก่งมากพอที่จะทำงานกับต่างชาติ เป็นเราคงไม่ทำงานอยู่ในที่ๆ กดดันชนิดที่ว่าองค์กรมาก่อนชีวิตส่วนตัวถ้ามีอีกหลายตัวเลือกที่เค้าให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวของบุคลากร
เรากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่ค่าของคนลดลงเรื่อยๆ ในอดีตคนมีค่า เพราะความรู้และเทคโนโลยีน้อย การจะทำอะไรจะต้องใช้ความร่วมมือกันจากคนจำนวนมาก แต่ปัจจุบันคนมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นประกอบกับมีเครื่องมือเครื่องใช้ ทำให้ความสามารถของแต่ละบุคคลสูงขึ้น ความจำเป็นในการพึ่งพาคนอื่นจึงน้อยลง ความสำคัญของคนอื่นจึงน้อยลงตาม คนที่ไม่สามารถสร้างคุณค่าของตนเองให้มากพอได้ จึงกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าต่อคนอื่น(ต่อสังคม) โดยปริยาย
จริงยิ่งกว่าจริงครับ มันน่าเศร้าแต่เลี่ยงไม่ได้เลย
ยุคนี้เทคโนโลยีเยอะขึ้น คนที่มีค่าก็คือคนที่รู้เรื่องเทคโนโลยี สังเกตุได้จากคนที่มีความรู้เรื่อง coding การเขียนโปรแกรม การออกแบบโปรแกรม ยุคนี้เป็นยุครุ่งเรืองของคนด้านไอทีเลยจริงๆ เด็กๆสมัยนี้นะ แนะนำให้เรียนพวก com sci พวกการเขียนโปรแกรม จบมาถ้าเก่งๆนะ เงินเดือนสูงมากๆ
คุณค่าอยุ่ที่ตัวเรา ถ้าเราคิดว่าเราไม่มีค่า เป็นที่มาของโรคซึมเศร้า และปัญหาสังคมอื่นๆ
ถูกต้องอย่างคุณพูดเลย
@@ohmiefluffy360 ไม่จำเป็นต้องด้านเทคโนโลยี อย่างเดียวครับ "คุณค่าอยุ่ที่ตัวเรา" รู้จักทำงาน ทำหน้าที่ รัลผิดชอบต่อตัวเอง สังคม ก็ดีมากแล้วครับ
เกิดจากการทำงานหนักเกินไปเลิกงานดึก มีความกดดันสูง นิสัยชาวญี่ปุ่นโลกส่วนตัวสูงรักสันโดษ ต้องปรับทำงานดีผ่อนคลายขึ้นครับ
คนเก็บตัวในญี่ปุ่นเขายังดีตรงที่ เมื่อออกมาแล้ว เขายังมีระเบียบวินัย ไม่หัวร้อน ไม่ทิ้งขยะสเปะสปะ ไม่ฝ่าฝืนป้าย ข้อห้ามต่างๆ ยังมีจิตสาธารณะอยู่
ใช่แล้วครับ!,,ไม่หัวร้อน!,,
@จีนปล่อยVirus ไม่แปลกค่ะ โดนส่งมาทำงานที่ไทย คนขับรถก็มี เงินเดือนก็ได้สองทาง ใครจะอยากกลับบบ
มีข่าวออกมาไล่ฟันคนอยู่
ญี่ปุ่นทำงานหนักๆ *"ได้พ่วงหรีด 3 พ่วง และ หลวงพ่อสวดอภิธรรม (กุสะลา ธัมมา) รับซอง 3 วัน 3 คืน"* 😂
หลวงพ่อ และ สัปเหร่อ ..รวยๆๆ 😁
ถ้า *"พนักงาน ทำงานหนักๆๆจนตาย จะได้เห็นนายจ้าง ตีหน้าเศร้าๆ แค่ 3 วัน"* เท่านั้น 😂😁😂😁
จากนั้น.. นายจ้างเปิดรับสมัคร *"จ้างพนักงานใหม่.. มาทำงานแทน พนักงานที่ตาย"*
คนญี่ปุ่นไม่ได้เบื่อการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่ การทำงานหนักในวิถีทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ บทบาท วิสัยทัศน์ แนวความคิด ของผู้บริหารองค์ เปลี่ยนไปจากบรรพบุรุษยุคหลังสงครามโลก การอบรมจากรุ่นสู่รุ่นเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้บริหารยุคปัจจุบัน รักความสบาย ขาดการตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบขาดและมีประสิทธิภาพ พูดตรงๆ คือ เด็กที่ถูกคนยุคสร้างประเทศ สปอย์จนทำอะไรไม่เป็น รู้แต่ว่าต้องทำงานให้มาก ให้หนักเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย แต่การทำงานหนักไม่ใช่คำตอบ กลับกลายไปว่าสร้างความเบื่อหน่ายให้กับคนทำงานในองค์กร GDP นั้นสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า กระบวนการทำงานนั้นขาดประสิทธิภาพที่ดี คือ ใส่ความขยัน ใส่แรง เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้ธุรกิจเติบโต ธุรกิจเรือธงของญี่ปุ่นโดนประเทศคู่แข่ง อย่าง เกาหลีใต้ จีน ตีอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ค่อยๆแพ้ไปเรื่อยๆ อย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าครัวเรือน โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ไอที ถ้าไม่จัดการเปลี่ยนแปลงระบบความคิด วิสัยทัศน์ ความทดถอยก็จะดำเนินต่อไป ธุรกิจเรือธงของญี่ปุ่นก็จะค่อยๆหายไปจากตลาดโลก ปัจจุบันอยู่ได้ด้วยผลบุญเก่า+ผลบุญใหม่บางส่วน ถ้าใครเคยทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นจะรู้ดีเรื่องนี้แบบผมผู้ที่กำลังจะออกจากองค์กรญี่ปุ่น
รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เครื่องเรือ ปั๊มพ์น้ำ เครื่องมือช่าง(Ryobi) ยังตีไม่ได้ ... เครื่องมือช่างของมังกร ... กากโคตรๆๆๆ ......................
ญี่ปุ่นทำงานหนักๆ *"ได้พ่วงหรีด 3 พ่วง และ หลวงพ่อสวดอภิธรรม (กุสะลา ธัมมา) รับซอง 3 วัน 3 คืน"* 😂
หลวงพ่อ และ สัปเหร่อ ..รวยๆๆ 😁
ถ้า *"พนักงาน ทำงานหนักๆๆจนตาย จะได้เห็นนายจ้าง ตีหน้าเศร้าๆ แค่ 3 วัน"* เท่านั้น 😂😁😂😁
จากนั้น.. นายจ้างเปิดรับสมัคร *"จ้างพนักงานใหม่.. มาทำงานแทน พนักงานที่ตาย"*
กดดันตั้งแต่เรียนประถม ยันเรียนจบ บ้านเรายังดี มีอาชีพอิสระ ขายของ ทางโน้นแค่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็อยู่ยากแล้ว โดนกีดกันจากสังคม เพื่อนไม่คบ ที่ไทยจะเรียนหรือไม่เรียนไม่ใช่ประเด็น ตกงานเพราะอายุมากก็หาทางค้าขาย การเป็นพนักงานประจำ ไม่ใช่คำตอบเดียว
สังคมไทยยังเห็นใจกันอยู่มากแม้ไม่เต็มร้อย
รักเมืองไทยทีทสุด....อยู่บ้านเราสบายที่สุด
เรียนหนัก แข่งขันหนัก ทำงานหนัก ชาติเจริญ ในยุคพื้ตัวหลังสงครมมันก็โอ แต่ปัจจุบันคงไม่ใช่คำตอบ คนรุ่นใหม่ยกธงยอมแพ้กันเป็นแถว
เพราะคนรุ่นใหม่ลำบากไม่เป็น 555
เกิดมาแล้ว ก็ต้องเข้ากรอบครอบครัว เข้ากรอบประเพณี เข้ากรอบ ต้องเป็นคนดี ต้องเรียนเก่ง ต้องรวย ทำเพื่อตระกูล เพื่อชื่อเสียง ต้องเชื่อฟัง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ต้องคิดดี ต้องทำดี ความจริง มันก็คือ คุกดีๆนี่เองหรือคุกแห่งความดี คุกสังคม คุกที่ขังชีวิต และ หัวใจจนไร้อิสระภาพของทุกคนบนโลกไว้ คนกลุ่มนี้คงสงสัยนั่นแหละ ว่ามันถูกหรือผิดกันแน่ และเขาก็ครุ่นคิดว่า แท้จริง การทำตามกัน อย่างคนรุ่นก่อนๆ ที่ตายไป ก็ทำแบบนี้ และก็ได้ชื่อว่า เป็นการทำดี มีชื่อจารึก แต่ถ้าคนไม่ต้องการความดี ไม่ต้องการรวย ไม่ต้องต่อสู้ แต่ ต้องการอิสระภาพ แห่งการดำรงค์อยู่ ซึ่งสิ่งนี้เขาก็ไม่รู้จะหาจากที่ไหนได้ นอกจากแยกตัวออกมาเฉยๆ สังเกตุไหมว่า สิ่งที่กล่าวมาท้้งหมด มันก็ออกมาจากความคิด ถูกสร้างมาจากความคิด แท้ที่จริง คุกนั้นก็คือความคิดนั่นเอง นั่นคือจุดเรื่มต้น ที่จะปลดแอกความคิด ไม่เชื่อมันอีกต่อไป สร้างช่องว่างระหว่างเรากับความคิดให้ห่างขึ้น เราก็เข้าไปอยู่ในโลกที่ไม่มีความคิด โลกที่ไร้สมมุติ โลกที่เป็นจริง และเป็นบ้านเดิมของเราทุกคน จนความคิดควบคุมเราไม่ได้ เราก็จะเป็นอิสระที่แท้จริง
เอาเข้าจริงไทยก็เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเพราะอัตราการเกิดต่ำ และจะส่งผลกับเศษฐกิจในอนาคตอันใกล้ แต่ของญี่ปุ่นเขาสังคมที่พอมีจะกินแล้วเป็นสังคมผู้สูงอายุ แต่ไทยโดยส่วนมากยังจนแล้วเข้าสู้สังคมผู้สูงอายุ
แต่ผู้สูงอายุสมัยก่อนหรือคนที่กำลังย่างเข้าอย่างที่คนพูด โดยเฉพาะผญ.เค้าจะประหยัดเก็บเงินเก่งนะ โดยเฉพาะคนเชื้อสายจีน เห็นเยอะมาก แต่ผช.อาจจะเสียไปกับดื่มเหล้า บุหรี่ เคล้านารี ถ้าจนน่าจะอยู่ตจว.ในพท.ที่ทุรกันดาร มาดูเจนใหม่ดีกว่า จะเสริมธุระกิจแค่ไหนอย่างรัย เทียบกับของยี่ปุ่นนี้เลยก็ได้ 20-40 อนึ่งค่าแรงขั้นต่ำที่สูงของญี่ปุ่นเลยเอื้อ ให้คนกลุ่มสองไม่ขยันแอคทีฟเท่าไหร่นะ
ความชิบหายกำลังจะเกิดขึ้น
แย่
เกาหลีกำลังตามญี่ปุ่นไป
สก๊อยออกลูกไม่เว้นวัน เอาไรมาอัตราเกิดต่ำ 55555
ต้องแก้ที่วัฒนธรรมองค์กร ลดความตรึงเครียด การศึกษาไม่ได้ช่วยเลย สุดท้ายจบมาก็เจอสังคมทำงานที่เคร่งเครียดอยู่ดี สถาบันครอบครัวสำคัญมาก รัฐอยากให้คนมีลูก แต่ปล่อยให้สังคมไม่มี work life balance ที่ดี ทุกคนต่างทำงานงกๆ ออกทำงานตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น กลับบ้านทีก็ตะวันตกดิน รัฐไปยึดติดกับพวกบริษัทชั้นนำ แล้วไม่สนับสนุน ธุรกิจเกิดใหม่ อนาคตถ้ายังปล่อยป่ะละเลย จะโดนเกาหลีใต้แซงหน้าเอา จีนจะค่อยๆแย่งตลาดที่ญี่ปุ่นเก่งไปเลื่อยๆด้วยการตัดราคาเช่นรถ แล้วเกาหลีจะแซงด้านเทคโนโลยี
เห็นด้วยมากๆเลยค่ะ
เกาหลีก็มีปัญหาเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ สมัยนี้คนรุ่นใหม่เกาหลี มีค่านิยม ออกไปทำงานต่างประเทศมากขึ้นแล้ว "นรกโชซอน" คำที่คนรุ่นใหม่ในเกาหลีใช้เรียกประเทศตัวเองในปัจจุบัน คือถ้าพูดถึงด้านเทคโนโลยี เกาหลีต้องยอมรับว่าพัฒนาไปไกลมาก อุปกรณ์ในชีวิตประจำวัน ไฮเทคขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับกัน ผมมองว่า ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่เจริญแต่วัตถุ แต่ด้านจิตใจนี่คนละเรื่องเลย วัฒนธรรมองค์กรนี่ เรียกได้ว่าล้าหลังมาก คนรุ่นใหม่เลยไม่ค่อยอยากอยู่ประเทศตัวเองกันแล้ว
ใช่ค่ะ เท่าที่ฟังเหมือนมันเกิดจากวัฒนธรรมที่ตึงเครียดและบีบบังคับให้ต้องทำตัวเหมือน ๆ กันตลอดเวลามากกว่า การเตรียมความพร้อมให้กับนรดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดเท่าไรเพราะไม่ใช่สังคมการทำงานที่เขาชอบ อย่างที่ไทยต่อให้มีบริษัทใหญ่เป็น conservative ก็ยังพอมีบริษัทเล็กโดยคนรุ่นใหญ่อยู่บ้าง เราเลยอาจจะยังไม่เจอปัญหานี้เท่าที่ญป
ที่ไทยก็มีนะ พ่อแม่ที่รักลูกมากๆ ลูกเรียนจบแล้วเริ่มไปทำงาน แต่ไม่อดทนกับระบบสังคมทำงานประจำมากพอ อีกทั้งไม่คิดทำงานอิสระ ตามความชอบ-ความสามารถของตัวเอง แล้วลาออกมาเกาะเงินบำเหน็จบำนาญชราภาพของพ่อแม่กินไปวันๆ
ถ้าครอบครัวไหนไม่มีทรัพย์สมบัติเก่า หรือรายได้จากการลงทุนสินทรัพย์อื่นใด ก็จะใช้ชีวิตลำบาก
สรุป ทุกๆคนควรทำหน้าที่มีความรับผิดชอบต่อบทบาทของตัวเองให้ดีที่สุด อย่าไปสร้างภาระให้คนในครอบครัว
ลูกจะเกาะไม่เกาะ มันอยู่ที่พ่อแม่ สอน และสั่งสมระเบียบวินัย ให้ลูกแต่เด็กๆ ให้มีความรับผิดชอบ แต่เลี้ยงเป็นเทวดา ก่อจะเกิดปัญหาอย่างที่เห็น
มันขึ้นอยู่ความสามารถในการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ว่าสามารถทำให้ลูกค้นพบสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถนัดและส่งเสริมให้สามารถนำไปเป็นทักษะในการประกอบอาชีพได้หรือไม่ ไม่ใช่สักแต่เลี้ยงดูไม่สนใจให้ลูกลองผิดลองถูกเอาเอง หรือบังคับกำกับชีวิตทุกอย่างของลูก ผลลัพธ์คือความล้มเหลวซึ่งสะท้อนความล้มเหลวในการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ไปด้วย
งานในไทยที่กินเวลาชีวิตเลยก็มีอย่าทำเป็นมองไม่เห็นมีจริงๆมันยิ่งทำให้เราใช้พลังชีวิตหมดเหนื่อยจนไม่อยากทำอีก จะลาหยุดก็ไม่ได้เพราะไม่มีคนทำแทน ไม่อนุมัติมีทางเดียวคือไปลาออก ในขณะที่บริษัทอื่นที่ร่วมทำงานด้วยเป็นยุโรป คนของเขาลางานไป10วันได้ ยิ่งทำให้เปรียบเทียบ
@HESHIYA เราเคยทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นตอนที่เราอายุกลางคนแล้วเราก็ทำงานที่บริษัทดังๆของเอมริกามาแล้ว เราคิดว่าบริษัทญี่ปุ่นเขาต้องการความภักดีต่อองค์กร และต้องการคนที่ประสพความสำเร็จในการเรียน การสอบ และมีผลงานในเรื่องนวกรรมที่เป็นรูปเป็นธรรมที่สามารถถ่ายทอดให้เห็นได้เป็นเกนฑ์ คนงานธรรมดาที่ไม่ผ่านกฏเกนฑ์และเป็นพรรคพวกเขาจะโดนบังคับให้ลาออกไป
มีพี่ชายเป็นแบบนี้ค่ะ นางเรียนแบบเหมือนคนปกติช่วงม.3หลังจากนั้นก็เป็นทั้งNEET และฮิคิโคโมริเลยค่ะจนตอนนี้อายุ23แล้ว ตอนนี้ห่วงอนาคตตัวเองสุด กลัวแม่เสียไปแล้วต้องมานั่งเลี้ยงพี่ชายไม่เอาไหน แต่ตอนนี้นางมีแฟนแล้วตอนแรกก็ดีใจ คิดว่าจะไปดึงมันไปทางที่คนปกติใช้ชีวิตกัน สุดนางก็เป็นNEETเหมือนกัน วันๆไม่ทำอะไรอยู่แต่ในห้อง ต้องหาข้าวหาน้ำให้กิน งานบ้าน เอยอะไรเอยไม่ต้องพูดถึง- - เห้อ
โรคซึมเศร้า ท้อแท้ เพราะสังคมแข่งขัน นิยมคนที่ประสบความสำเร็จ นิยมวัตถุ ประเทศสิงคโปร์ และอีกหลายๆประเทศ กำลังจะมีคนแบบนี้มากขึ้นครับ โดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว ครับ การล่มสลายของสังคมโลกกำลังจะเกิดขึ้นทวีคูณ อีกทั้งภัยธรรมชาติ สงคราม ........ดูกันไปครับ แม้แต่ประเทศไทยเอง ครับ.
ผมว่างงานจะ2ปีแล้ว เพราะทนทำงานวันละ12ช.ม. ไม่ไหว ปัจจุบันวางแผนสอบราชการจะได้มีงานมั่นคง รายได้ผมปันผลหุ้นเดือนละ5000 อยู่บ้านพ่อแม่ บำนาญ75000ต่อเดือน
ประเด็นที่ต้องแก้ไขเลยก็คือ
1วัฒนธรรมการรังแกกันในโรงเรียน โรงเรียนต้องมีการสแกนการรังแกทำร้ายร่างกายกันอย่างจริงจัง บทลงโทษควรชัดเจน ไม่มีการประนีประนอม ไม่เอาลูกท่านหลานเธอ คนทำผิดควรโดนลงโทษ เหยื่อต้องได้รับความยุติธรรม มีการอบรมกันเรื่องการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การอยู่ร่วมกันในสังคมโดยคิดพิจารณาการกระทำต่างๆก่อนจะเริ่มทำอะไร
2วัฒนธรรมการคิดว่าองค์กรต้องมาก่อน ซึ่งไม่ได้ผิดแต่มันสุดโต่งเกินไปชนิดที่เรียกว่ากูไม่เอาลูกน้องใช้งานเหมือนเครื่องจักร แนวคิดนี้มันอาจใช้งานกับคนยุคเก่าได้ แต่ปัจจุบันโลกมันมีการเปิดกว้างเรื่องสิทธิมนุษยชนทำให้อะไรที่มันเกินไปคนก็ไม่อยากเข้าไปทำเข้าไปยุ่งให้มันเสียสุขภาพทั้งกายทั้งใจ ควรลดความเคร่งเครียดความขาดหวังลงมาให้มันพอๆดีไม่ขาดไม่เกิน
3ภาครัฐก็ต้องออกมาแสดงเจตนารมย์ที่ชัดเจนว่าอยากให้บริษัทต่างๆลดการใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมลงเพื่อที่จะให้คนรุ่นใหม่ๆเข้ามาทำงาน โดยอาจจะเป็นการออกทุนช่วยเหลือบริษัทต่างๆที่เข้าร่วมโครงการโดยแต่ละบริษัทต้องทำรายงานสภาพวัฒนธรรมภายในองค์กรว่าได้มีการปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นจริงๆ หรือ ภาครัฐทำสื่อ ละคร หนัง การ์ตูนที่มีการแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นโดยพระเอกจะได้รับความยอมรับนับถือจากเพื่อนๆคนในสังคม ให้บริษัทต่างๆได้เห็น ควรอยู่ในความพอดีเพื่อเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมญี่ปุ่นในอนาคต
ทั้งหมดนี้เท่าที่ผมคิดได้ บางอย่างอาจไม่ถูกใจใครบางคน ยกตัวอย่างเช่นการเห็นออกเห็นใจคนอื่น อาจมีบางคนบอก "ทำไมกูต้องแคร์ความรู้สึกคนอื่น" จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ ไม่แคร์ไปนานๆคนไม่เข้ามาทำงานบริษัทก็เจ๊งอยู่ดี เพราะงั้นทุกอย่างในโลกมันควรมีความพอดี ไม่เยอะ ไม่น้อยจนเกินไป
ไม่อยากเชื่อเลยว่าที่ญี่ปุ่นมีการบูลลี่เเบบหนักๆ (ไทยก็คงไม่เเพ้กัน)
@@HUNTER-qn5ff หนักกว่าไทยอีกครับ แยงกี้ เด็กยากูซ่า หรืออันธพาลปกติเพียบ
@@HUNTER-qn5ff อันดับ 1 ของประเทศที่มีอัตราการแกล้งมากที่สุดคือญี่ปุ่นครับ แต่รองลงมาคือไทย คือดีที่ไม่ใช่ที่ 1 แต่ติดท็อป 3 ด้วย
คนญี่ปุ่นโดยแท้จริงไม่ใช่คนดีและเห็นอกเห็นใจ(ความเห็นส่วนตัว) ที่คนไทยชอบชม เพราะเจอและรู้จักแค่เปลือกของคนญี่ปุ่น แค่ไปเที่ยวมันก็ต้องได้รับการบริการที่ประทับใจอยู่แล้ว เพราะ เราเอาเงินไปจ่าย กลับกันถ้ารับต้องทำงานเพื่อแลกเงินมาก็จะโดนเรียกร้องจนมากมาย(เหมือนเราไปเป็นคนให้บริการคนอื่นแทน กลับกัน) การชอบบูลลี่ก็เป็นปัญหาของเด็กญี่ปุ่นอยู่แล้ว พอโตมานิสัยมันก็ยังอยู่ มาบูลลี่ที่ทำงานแทนแต่อาจเป็นลักษณะของผู้ใหญ่ สังคมเป็นแบบจอมปลอม การแอคชั่นจริตแบบญี่ปุ่นนี่ทำได้ยากจริงๆ อยู่มาสองปีกว่า จะพูดเลียนเเบบ ตอนขอโทษหรือแอคชั่นตกใจ ก็ทำแบบเป็นธรรมชาติไม่ได้ซักที เกิดมาไม่เคยมีจริตอย่างงี้
ก็ปกติของสังคมมนุษย์ครับ ไม่ใช่แต่คนญี่ปุ่น แต่แค่มันมีสื่อที่ทำให้เราเห็นมากกว่า ลองให้ไทยทำละครด่ารัฐดิ โดนแบนฉิบหายวายวอด เอาจริงสังคมญั่ปุ่นมันเครียดมาก จนอนิเมะหรือการ์ตูนแนวต่างโลกมันฮิตผุดเป็นดอกเห็ด (แนวต่างโลกตัวเอกจะตายก่อนที่จะไปอยู่ในโลกใหม่เพื่อใช้ชีวิตตามที่เขาปรารถนา ถ้าเคยดูอนิเมะแนวต่างโลก) คือผมว่าถ้ามีศาสนาคงมีศาสนาต่างโลกแล้วครับ
ชีวิตเค้าต้องสู้เพราะประเทศแพ้สงคราม ไม่งั้นประเทศเค้าจะเจริญขนาดนี้เหรอ
ทำไมเหมารวมทั้งประเทศเลยคับ
@@Theerawee_Thongkham จำได้เลยคมแฝกสมัยรัฐบาลก่อน โดนแบนจนเป็นกระแสในเน็ตไปพักนึงเลย
รู้สึกสะดุงเหมือนตัวเองเป็นอยู่ ไม่ได้ไปหาเพื่อนมานาน ติดโควิด จะหางานทำจริงๆก็กลัวเรื่องโรค เห้อ ชีวิต อยู่ยากจริงๆ
การแข่งขันมันสูงจน มนุษย์ท้อถอย จนไม่อยากจะสู้อะไรอีกแล้ว
ฉันก็เปนแต่ภาระหน้าที่สังคมยังผลักตัวเองออกมายากครับ ก็ขอได้ให้สุขภาพแข็งแรงกันน่ะครับ
จิง ธรรมชาติ/สังคม คัดสรร
อิสลามไม่แข่งขันหรอ
ทั้งๆที่ญี่ปุ่นมีปัญหานี้มาเป็น 10 ปี ทั่วโลกมีสารคดีเรื่องนี้ของญี่ปุ่น จำนวนneetมากขึ้นกว่าเดิม จนมันดูเหมือนการปฏิวัติทางสังคมแบบหนึ่งที่กำลังส่งเสียงบอกว่า "ในสังคมการทำงานญี่ปุ่นมีอะไรบางอย่างผิดพลาด" (หาอ่านเอาได้) แต่สังคมก็ยังนิ่งเฉยและสืบทอดวัฒนธรรมเดิมๆ เพราะแน่นอนว่ากลุ่ม neet ก็ไม่ได้มีแต่คนไม่เอาไหน ถ้ามีแต่พวกนั้นจำนวนคงไม่เยอะขนาดนี้ แต่มีคนธรรมดารวมอยู่ด้วย ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีการปฏิวัติวัฒนธรรมการทำงานและวัฒนธรรมทางสังคมที่ผลักดันให้ "ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่ชีวิตมนุษย์" และเปลี่ยนแปลงสักที
เขาสร้างคนให้ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างเดียวลืมไปว่าคนมีความรู้สึกมีกิเลสมีธรรมชาติต้องการความสุขสบายแต่ยิ่งทำยิ่งลำบากขึ้นใครจะอยากทำ เขาเคยมีนิยามว่าคนญี่ปุ่นเก่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจนี่แหละเวลาผ่านไปคนจึงกลายเป็นสีตค่ะ
เห็นด้วยกับคอมเม้นนี้มากค่ะ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่มาก แต่GDPคือทั้งเอเชียรวมกันเลย แสดงว่าการทำงานต้องกดดันสูงมาก ซึ่งวัฒนธรรมแบบนี้เป็นดาบสองคม ในระยะยาวถ้าในประเทศมีแต่ประชากรผู้สูงอายุ (ซึ่งมีแนวโน้วว่าจะเกืดขึ้นจริง) แล้วรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาแรงงานแบบนี่ได้ ล้มเป็นโดมิโน่แน่ๆค่ะ (ไทยเราก็ไม่ต่างกัน แต่ของเรามีปัญหาเยอะกว่าค่ะ จะไม่พูดถึงละกัน555)
ดีที่ culture การทำงานของไทยยังไม่เลวร้ายเท่าญี่ปุ่น แต่เมืองไทยคนรุ่นใหม่ก็เกิดน้อยลงก็น่ากลัวนะครับ
ผมว่าคนสมัยนี้การต้องมีครอบครัวและมีลูกมากกว่า 1 คนได้มันเป็นภาระที่หนักเอาเรื่อง รายรับและรายจ่ายมันไม่เหลือมากพอที่จะมาเลี้ยงลูกดีๆได้
อยากให้ลูกได้เรียนดีต้องไปโรงเรียนเอกชน รัฐไม่ได้สนับสนุนเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มากพอ
อยากได้รับการรักษาดีๆ ก็ต้องไปเอกชนด้วยเช่นกัน
แค่ปัจจัยพื้นฐานในสังคม ก็มาเป็นภาระให้ประชาชนแล้ว แล้วไหนจะค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน รายได้ไม่มากพอจะมีเงินเก็บจนไปมีลูกบางครอบครัวเลยเลิกคิด
อยู่กันแค่มีชีวิตอยู่เรียบง่ายไปวันๆไม่อดตายก็อาจจะพอใจแล้ว เรื่องมีลูกผมว่าครอบครัวไหนๆก็อยากจะมี แต่ประเมินดูแล้วลูกอาจจะมาเจอชีวิตที่ลำบากแบบตัวเอง ใครอยากจะทำแบบนั้น ลูกใครๆก็รัก
ไม่อยากให้เมืองไทยเป็นสังคมคนแก่ รัฐต้องช่วยเยอะกว่านี้ ต้องไม่ให้คนในสังคมถูกไล่ต้อนจากสภาวะแบบนี้ แล้วยิ่งปล่อยนานไป หรือไปจนถึงที่สังคมป็นสังคมคนแก่แล้วก็จะยิ่งแก้ยาก
ไทยสไตล์การทำงานเฮฮาปาร์ตี้ เช้าชาม เย็นชามอยู่แล้วครับ ชิล กว่า ญป เยอะ เคยได้ยินว่า วิศวะ ญป มาทำงานที่ไทย พอถึงเวลาต้องกลับ ญป ร้องไห้เลย เพราะไม่อยากกลับไปเจอความกดดันที่ ญป
ไม่แน่ ....ตอนนี้เด็กที่จบมา จำนวนเยอะมาก ไม่มีงานทำ....ต่าง จ.ที่ตกงานจากที่ต่างๆๆก็ กลับมาต่างจังหวัดทับถมกันอีก ไปค้ายาก็มากกกกก
ปัญหาจริงๆ คือความเหลี่ยมล้ำครับ เพราะบริษัทใหญ่ต้องการแข่งขัน แต่ถามจริง ผู้บริหารสักกี่คนที่ต้องคิดจนเส้นเลือดสมองแตก มีแต่ลงกับลูกน้อง และถ้าเขาจะเจ๊ง เขาก็ขอความช่วยเหลือธนาคาร ขอความช่วยเหลือทางการเมือง มีสิทธิในการกีดกันบางอย่างเพื่อไม่ให้ใครมาแข่งง่ายๆ ดังนั้น จีนกำลังควบคุม บริษัทใหญ่ๆทั้งหลายไง เขามองปัญหาออก มากกว่าจะโทษคนขี้เกียจ (ขี้เกียจจริงๆ บนโลกมีไม่เยอะ แต่ในบรรดาคนที่ถูกมองว่าขี้เกียจ คือคนไร้เป้าหมายต่างหาก)
ขอแย้งครับ 1.ภาระการใช้จ่ายครับครัว ผมไปร้านขายมือถือ เจอกับตัว แม่พาลูกสาวรุ่น 14-16ปี ไปซื้อโทรศัพท์ ลูกอยากได้ไอโฟนตัวใหม่ล่าสุด แม่ใส่ชุดพนักงานทำความสะอาด บอกเงินไม่พอ ถามพนักงานมีการผ่อนชำระมั้ย
2. น้องที่ทำงาน จบปริญญาตรีจาก อเมริกา กับน้อง จบปริญญาตรีราชมงคล ในไทย ตอนนี้น้องจบไทย เงินเดือนมากกว่า คนจบจากอเมริกาครับ
ตรงนี้ขึ้นกับ “ คน “ ตามกฏทฤษฎี #ชาร์ลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin : พ.ศ.2352-2425) นักธรรมชาติวิทยา ชาวอังกฤษได้นำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการว่า “ วิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ ” ดาร์วินอธิบายว่า ตามสภาพธรรมชาติสิ่งมีชีวิตทมีความสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมไดดีกว่าพวกอื่น จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมต่อไป
@@andaananonline3577 อันนี้จริง ถามว่าทำไมขี้เกียจ เพราะทำไปก็ไม่คุ้มทุน ค่าแรงต่ำความขยันจะมาจากไหน มันไม่มีอะไรให้ดึงดูดความขยันเลย ก็เหมือนทาสในสมัยก่อนที่ต่างชาติว่ากันว่าทาสไทยขี้เกียจ ทำงานฟรี ข้าวน้ำวันหนึ่งได้กินกี่มื้อ ก็นั่นแหละตามอุปสงค์ อุปทาน ก็ทำงานไปวันๆไง
สังคมทำงานเกาหลีน่าจะหนักหนา และเครียดกว่าญี่ปุ่นนะคะ ส่วนตัวทำงานบริษัทญี่ปุ่นมา 20 กว่าปีแล้ว คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆ เลิกทำงานหนักกันแล้วค่ะ
จริงดิ ดีละครับ
เพราะเคยทำงานกับคน ญป 5-6ปีก่อน เนียบมาก เป๊ะมากก
ญี่ปุ่นเยอะมากบางคนไม่อยากทำงวานเลย กินเงินเดือนรัฐบาลบางคนไปทำงานเดียวขาดเดียวลาปวดหัวมั้ง ทำงานก็เรื่องมาก
น่าจะแล้วแต่องค์กร แล้วแต่หัวหน้า เจ้านาย มั้งคะ เพราะเคยทำงานกับคนญี่ปุ่นมาหลายๆที่ ไม่เหมือนกันสักที่ อารมณ์คงเหมือนไทยมั้งคะ บางที่เคร่งครัด บางที่ใจดี และอาจจะแล้วแต่สายงานด้วยค่ะ
@@egonu3062 ด้วยอีกคนผมจำจดตายเลย 5555555 ตอนนั้นภาพในฝันมันสวยหรูไป ทั้ง ๆ ที่ได้ยินคำร่ำลือมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดจนเจอเข้าจริง ก็หมับเข้าให้ 55555555
ใช่เหรอ ยังเห็นเป๊ะ อยู่เลย พวกไม่ถึง 30 แต่สกิลงานนี่ นึกว่า 50
หลังโควิด เมืองไทยก็กำลังเป็นแบบนี้ แต่คิดว่าแย่กว่า
เบื่อชีวิต โคตรจริงเลย ชีวิตมันต้องอดทนและดิ้นรนจนกว่าจะตาย
ผมเป็นชาว NEET ครับ อยู่คนเดียวมีความสุขกว่ามาก ติดโซล่าเซลล์ ปลูกผักเลี้ยงปลาในที่ดินตัวเอง ก็ไม่อดนะครับ ^_^
Neet คือไม่ทำงานอะไรเลยครับ
@@chadchart6401 ก็ไม่ได้ทำงานอะไร (ที่มันได้เงิน) เลยครับ เกาะพ่อแม่กินด้วย เข้าข่ายนะผมหน่ะ 555
@@meekwamsook 555 จริง ผมก็เหมือนกันสายเกาะ😂
ถ้ามันไม่เดือดร้อนใคร มันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเลยนะ ดีกว่าอยู่ในระบบที่บิดเบี้ยวหมดความเป็นมนุษย์ไปวันๆ
ดีซะอีก ในเมื่อปชชไม่ต้องพึ่งรัฐ รอให้รัฐมันปรับตัวซะบ้าง
ตอนนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพื่อนที่อยู่ที่นั่นเล่าให้ฟัง เดี๋ยวนี้มีขโมยแล้ว เมื่อก่อนไม่มี ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนในญี่ปุ่นมีความกดดันสูง แข่งขันเอาตัวรอด หลายจังหวัดเหลือแต่ผู้สูงอายุ แถมเดี๋ยวนี้ต้องหางานทำด้วย ฟังแล้วนึกย้อนไปตอนไปอยู่ระยะนึง หน้ามือเป็นหลังมือเลย
พอพูดถึงคนประเภท "นีต" แล้วเนี่ยนะครับ ผมที่เป็นเด็กอายุ 16 ก็เหมือน "กำลัง" จะเข้าข่ายเลยนะครับ เพราะช่วงนี้รู้สึกเหมือนอดอะไรตายอยาก เฉื่อยๆ ก็เลยไปหันเล่นเกม แต่ผมก็โชคดีอย่างนึงที่มีบางสิ่งฉุดผมเอาไว้ เช่น เสียงดนตรีที่คอยเตือนสติ หรือภาพฝัน ที่อยากจะไขว่คว้ามาให้ได้ น่ะครับ
สู้ๆค่ะภาพฝันสำคัญ หาเป้าหมายให้เจอนะ
ต้องสู้ครับ
หาเพื่อนที่เราคุยแล้วสบายใจ
ไม่จำเป็นต้องวัยเดียวกัน
เราอาจได้แง่คิดและมุมมองแปลกใหม่ที่เราไม่เคยรู้😁😉
อ่านหนังสือรอบแรกจบไป
กลับมาอ่านซำ้รอบสองหรือสาม
มันจะต่างจากรอบแรกจริงๆนะ
มุมมองมันเปลี่ยนจับทิศทางได้ดีขึ้น😀
ความรู้สึกมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉงหรือหมดอาลัยตายอยาก มันจะมาเป็นพัก ๆ มันจะเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ไปเรื่อยๆ ไม่อยู่คงที่ สำคัญที่เราไม่ไปใส่ใจคิดคำนึงกับความรู้สึกแย่ ๆ พยายามรู้ทันมันไว้ พอรู้สึกแย่ปุ๊บรีบดีดตัวขึ้น กระโดด เต้น หรือวิ่งก็ได้ รีบหันไปดู/ทำอะไรที่ชอบและมีความสุข สักพักหนึ่งมันจะค่อยหายไปและไม่กลับมาเยี่ยมกรายอีกเลย เพราะเรารู้ตัวทุกครั้งที่มันมา และไม่ต้อนรับมัน ขออวยพรให้ไขว่คว้าสิ่งที่ฝันได้ สมกับความพยายามนะคับ
เคยทำงานกับ บ.ญี่ปุ่น เนี้ยบจริง เป๊ะจริง แต่บางทีก็ตรงแบบไม้บรรทัด ขอ 1-2-3 คุณก็จะได้ 1-2-3 จะไม่มีแถมให้นิดแบบซื้อใจ 1-2-3-4 ม่ายๆๆ 555
แต่เข้าใจเค้าได้ ว่านี่แหละญี่ปุ่น
ส่วนแบบไทยๆ นี่พูดคุยกันได้ มีความยืดหยุ่น สบายใจกว่า แต่บางทียืดมากไปจนมั่วก็เยอะ และโดยรวมๆ ไร้ระเบียบกว่า เอาเป็นว่าข้อดีข้อเสียคนละแบบ 😊
คนไทยก็มีเยอะนะ แต่ไม่ได้เก็บตัว ยังออกมาเมา มาแว้นและกลีบไปทำร้ายคนในครอบครัวเหมือนที่เราเห็นในข่าวทั่วไป เลวร้ายกว่าเค้าเยอะ เป็นภาระทางสังคมอีก
ช่วงวัยเรียนผู้ใหญ่ต่างสอนให้เรามีฝันความหวัง ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่โตไปจะสามารถเป็นอะไรที่อยากเป็นก็ได้ แต่ในโลกทุนนิยมองค์กรที่มีค่านิยมที่ส่งเสริมให้อยู่แต่ในกรอบ ค่านิยมอาวุโส ค่านิยมซื่อสัตย์ต่อองค์กร ค่านิยมเผด็จการ มาในกดดันคนจนไม่มีความหวังกับชีวิต ไม่มีความฝันเป็นใครก็คงเข้าสู่ภาวะแช่แข็ง ไร้ค่า ซึมเศร้า ร้ายที่สุดก็เข้าขั้นจบชีวิตตัวเอง ไม่แปลกใจเลยจริงๆ
ผมเป็นคนที่ผิดหวังในการเรียน ใช้ชีวิต ความสัมพันธ์ แต่ทำงานปกติจนอายุเริ่มมาก ตอนนี้เก็บตัวไม่อยากติดต่อพูดคุยกับใคร
ญี่ปุ่นสังคมเหมือนเครื่องจักร เสร็จงานก็ต้องไปดื่มต่อตามรุ่นพี่ ไม่งั้นอยู่ยาก กว่าจะกลับก็รถไฟเที่ยวสุดท้าย เช้าทำงานต่อ คนญี่ปุ่นจึงชอบทำงานบริษัทที่ส่งตัวมาไทย ไม่ค่อยเคร่งเครียสเท่าไร แต่งานในเมืองไทยบางแห่งก็เริ่มเอาเวลาของเราไปบ้าง ไฃเลิกตามเวลามักจะโดนคำว่าไม่ทุ่มเท
ตราบใดที่ยังยังมีการกลั่นแกล้งบลูลี่ โรงเรียนหมกการปิดเรื่องร้ายไม่ทำการแก้ไขการเรียนที่หนักกับการแข่งขันที่สูง มันก็จะกระทบต่อการสังคมการทำงานและลุลามไปเรื่อยๆ ส่วนมากมักจะเกิดฝั่งค่าจิตใจของการเป็น นีท ตั้งแต่วัยเรียนเสียมากกว่าวัยทำงาน
เป็นกันเยอะ ๆ ดีแล้วครับผมจะได้สร้างตัวแบบมีคู่แข่งน้อย ๆ ลูก ๆ ผมจะได้สบายและสร้างตัวได้ง่ายขึ้น กวาดซื้อบ้านและที่ดินของพวก นีต ที่ไม่นอมทำงานแล้วปล่อยให้พวกนี้เช่าแทน มุดท้าสเดี๋ยวมันก็ทำงานมาจ่ายเงินให้ผมเอง จบ ๆ ไป อยากนีต ๆ ไป ผมลุย
ทุกอย่าง ต้องย้อนไปที่ ครอบครัว สิ่งแวดล้อมในญาติพี่น้องครับ ว่ามีการเลี้ยงดู การอบรม ความสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นแบบไหน และสำคัญที่ตัวของคนครับ
ตามกฏทฤษฎี ชาร์ลส์ ดาร์วิน Charles Darwin นักธรรมชาติวิทยา ชาวอังกฤษได้นำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการว่า “ วิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ ” ดาร์วินอธิบายว่า ตามสภาพธรรมชาติสิ่งมีชีวิตทมีความสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมไดดีกว่าพวกอื่น จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ และถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมต่อไป
@@redqrc5688 +++ ให้ธรรมชาติมันคัดสรร พวกขี้แพ้ ก็ต้องตายไปในที่สุด
@@redqrc5688 คิดว่ามองแคบไปนะ
ใช้วิธีแบบ anti hero สิคับ คือ ฆ่าพวก bully ล้างโครตตระกูลล้างเผ่าพันธุ์ให้สิ้นซากไปเลยคับ แล้วก็ทำลายล้าง รร. และ มหาลัย ทิ้งไปสิคับ และก็ reboot ทุกอย่างเลยคับ
เฟี้ยวดี และ มีอิสระเสรีภาพด้วยคับ
#ชู3นิ้วเสรีจักรวาล
#ฝ่ายเสรีภาพอิสรภาพ
#ฝ่ายสัมพันธมิตร
#ฝ่ายเสรีคือธรรมมะ
#freedom power
ไทยเราก็มีบุคคลประเภทนี้มานานแล้วค่ะ ..ที่เรียกว่าเลี้ยงลูกไม่ยอมโต
รัฐบาลมันแก้ปัญหาผิดจุด
ทำไมไม่แก้เรื่องทำงานหนักเกินเวลา
ผมเชื่อว่าชาวneetในเมืองไทยก็มีเยอะครับ
ผมคนนึงคับ อยู่บ้านกินแต่น้ำท่อม งานการไม่ยอมทำเพราะเรียนออนไลน์ 😂😂
ใช่ครับ ผมว่าอีกหน่อยนีตโตะในไทยมีมากขึ้นแน่นอน
ผมเป็น neet เพราะเจอแต่เพื่อนร่วมงานแย่ๆ สันดานชอบบูลลี่
เจ้าของเม้นป่ะ
@@ณัฎฐ์ชวาลธูสรานนท์ 5555 เหมือนกันนะเนี่ย
พี่ชายผมว่างงานมา2 ปีแล้ว ไม่ยอมไปหางาน พูดว่าให้ไปหางานทำก็เถียง น่าจะเข้าข่ายครับ มีน๊อตในบ้านลำบากมากครับ กินเยอะแถมพูดด้วยไม่ได้ บรรยากาศในบ้านไม่ดีเลย
ต้องทำแบบฝรั่งครับ พ่อแม่ไล่ออกเลย กลับมาบ้านก็ต้องจ่ายค่าเช่า
แค่เราไม่เป็นเหมือนเขาก็เก่งแล้วค่ะ
เพิ่งรู้ว่าคนญี่ปุ่นปัจจุบันเป็นแบบนี้ครับ
ปกติญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องความขยัน อดทน ทุ่มเท กับทุกเรื่อง
อยากให้ลงคลิปเกี่ยวกับญี่ปุ่น ในมุมอื่น ๆ อีก สักคลิปครับ น่าสนใจดี
เสนอ อยากให้ทำกรณีของเกาหลีใต้ ภาวะขาดแคลนแรงงาน สภาพการแข่งขันสูง และการทำงานจนตายของเกาหลีใต้
อยากรู้มากเลยค่ะ เวลาดูซีรีย์ คนหางานยาก พนักงานกดดันที่เป็นพนักงานสัญญาจ้าง ศักดิ์ศรีต้อยต่ำ ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ ขนาดซื้อข้าวในโรงอาหาร ร้านกาแฟในบริษัท ยังไม่ได้ส่วนลด เพราะไม่ใช่พนักงานประจำ ทั้งที่ตัวเองก็ได้เงินเดือนน้อยกว่า
+++
มันไม่ใช่แต่ยี่ปุ่นหรอก มันก็มีทุกประเทศ ผมเองก็เหมือนกันไม่ทำงานเต็ม ทำๆหยุดๆ คนเราอาจจะคิดได้ว่าทำไปทำไม กิน3มื้อ นอน8ชม.เหมือนเดิม จงใช้เวลาไปในสิ่งที่ชอบเมื่อพร้อม
ปัญหาลักษณะนี้ในไทยก็มีนะ และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นด้วย บ้านเรามีภาคบริการหลายสาขาแต่ตอนนี้มีปัญหาโควิด หลายคนต้องหยุดงาน เป็นกำลังใจให้นะครับ ไทยเรามีการเก็บภาษีต่ำกว่าญี่ปุ่นเยอะ ทำให้สวัสดิการเราก็น้อยกว่า เราต้องหาทางดูแลตัวเรา/ครอบครัวเราก่อนพึ่งพาภาครัฐ เพราะรัฐฯ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเราได้ทุกอย่างเนอะ มีแรง มีกำลัง ทำงานหารายได้ดีกว่าครับ
คนไทยที่เสียภาษีไม่เคยได้อะไรจากรัฐ ต้องไม่เสียภาษีเท่านั้น ถึงได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ เพราะเข้าใจว่าคนที่เสียภาษีคือคนรวย คนไม่เสียคือคนจน
@@parl2440 แล้วมีประเทศไหน ที่ไม่เก็บภาษี ไม่ส่วย ค่าธรรมเนียม สำรับบริการส่วนร่วม ประเทศจะดำเนินไปได้ก็ต้องมีบริการส่วนการ คนที่เข้ามาบริการ คือ ข้าราชการ คนที่เข้ามาบริหาร คือ นักการเมือง (สภาผู้แทนราษฎร) และคนที่เลือกนักการเมือง คือ ประชาชน และตอนนี้ คนทุกคนในไทยก็เสียภาษีอยู่ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (เกือบทุกกิจกรรม ยกเว้น ทำบุญ ฯ) ภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าต่างประเทศ ดังนั้น ไม่ว่าคนจน หรือคนรวยก็เสียภาษี ส่งรายได้เข้ารัฐบาลกลาง แต่กลไกการเก็บภาษี นักการเมืองและข้าราการเป็นผู้กำหนด จึงไม่ถูกว่าคนจนไม่เสียภาษี ทุกชีวิตดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงชีพหรือทำให้คุณภาพชีวิตตัวเองและครอบครัวอยู่ดีมีสุข อย่าหวังพึ่งภาครัฐ/สังคมอย่างเดียว เพราะรัฐบาลและคนที่จะมาบริหารเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนไทยมีน้ำใจกัน แต่ยุคสมัยก็ทำให้น้ำใจคนไทยเปลี่ยนแปลง แนวคิดการไม่เสียภาษี ใช่ ความใจดำหรือไม่ หากภาษีสูง/เงื่อนไขไม่ดี ก็ว่ากันไป ไทยจะต้องพัฒนา อย่าจมปรักในความอิจฉา เกลียดชัง และการแบ่งแยก ตามแนวทางที่นักการเมืองบางกลุ่มปลูกฝัง เพราะง่ายต่อเขาเหล่านั้นในการได้คะแนนเสียงเลือกตั้ง
ไม่น่าเชื่อประเทศที่เจริญแล้ว เช่นนี้จะมีคนไม่ทำงาน อยู่ว่างๆ
ในขณะที่ประเทศอื่นมีความยืดหยุ่นในการทำงานสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ญี่ปุ่นยังเหมือนเดิม..
ที่เอมริกาสมัยเมื่อ ๕๐ ปีก่อนต้องมีเครื่องแบบแต่งตัว มีการตรวจระเบียบตั้งแต่เดินเข้าประตูมาเลย ใครหน้าตาไม่ดี ความรู้ไม่แน่นโดน"แห่"คือประจานไปทั่วในการประชุม การไล่ออกฐาน"โชว์โง่" มีให้เห็นประจำในองค์กรที่มีการเกี่ยวข้องกับการวิจัยค้นคว้าแข่งขัน การกำจัดความรู้และการควบคุมความเจริญของพนักงานในระดับสูง จำกัดอยู่ในกลุ่มคนที่มี"สายสัมพันธุ์" ปัจจุบันลดหย่อนลงไปมาก ผมนอนทำงานและสามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ในที่ทำงานตอนแก่ ใครฟ้องใครเล่นงานผมลับหลังผมก็กลับบ้านมานอน"กินบุญเก่า"
เหมือนจะมีคำตอบอยู่ในคลิปอยู่แล้ว เปลี่ยนค่านิยมของคนในองค์กรณ์ เรื่องทำงานหนัก เป็น 8-10ชม เกิน2 ทุ่มต้องไล่กลับบ้าน(ดคกครั้งคราวได้) คนอยู่ดึกประจำต้องประเมินแล้วว่าทคุณบริหารงานไม่เป็น หรือ ขาดกำลังคนกันแน่ วัดความสามารถที่ผลงาน ไม่ใช่อยู่ดึก
ญี่ปุ่นห้ามกลับบ้านก่อนหัวหน้างาน บางบริษัทหัวหน้าออกไปกินข้าวเย็น6โมง กลับเข้ามา1ทุ่มและนั่งถึง2ทุ่มจากนั้นก็ชวนไปดื่มจะเลิกที4ทุ่ม เป็นแบบที่แทบทุบวัน บางคนถึงบ้านเที่ยงคืน ได้นอนวันละ 4ชม.
ที่อยู่กันจนเลทเห็นว่าเป็นเพราะอยากได้เงินโอที
การทำงานมีส่วนจริงๆ ขนาดงานที่ไทยงานเครียดๆ ทำงานหนักจนบางทีก็น่าเบื่อ ยิ่งญี่ปุ่นนี่เคร่งเครียดกันมากจนแบบไม่อยากไปทำงานแบบนั้นเลย
ผมทำงานบริษัทญี่ปุ่นมา10กว่าปี หนักจริง และหนักมาก แล้วตอนนี้ก็อยู่ในตำแหน่งที่สูงพอสมควร เครียดจริงครับ
เพื่อนญี่ปุ่นบอกว่าทำงานที่ญี่ปุ่นเครียดและกดดันมากๆได้เงินหลายแสน พอย้ายมาไทยได้สามสี่หมื่นนางแฮ้ปปี้มีความสุขมากๆ
เราก็เป็นชาว NEET มาสองปีละ ตกงาน
มีเพื่อนคนญี่ปุ่นเล่าว่าสมัยเรียนมัธยม เป็นสังคมเเห่งการบูลลี่เลยละ การนับรุ่นเป็นอะไรที่สำคัญมาก ไม่มีสิทธิในการปฎิเสธหากมีรุ่นพี่มาคุยด้วย เเม่เราไม่ชอบหน้ามัน เราก็ต้องคุย ไม่งั้นมันจะเล่นพรรคเล่นพวก มาบลูลลี่เรา ไม่ได้สวยงามเหมือนในหนังหรือ การตูนเลย
เหมือนในอีกาเลยครับ ถ้ามีคนมาแล้วไม่คุยด้วย มันซัดเอาหน้าแหก
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ การจะเลือกแบบใด ทำแบบไหน ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตัวเราครับ หากจะให้ปัจจัยภายนอกเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหรือวิธีคิดของเรานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ แต่กระนั้น เราก็ต้องประคองตัวเองให้อยู่ในลู่ทางที่คาดหวังไว้ครับ
ระบบราชการไทยนี่!,,,,,,,,,,,,,,ก็คือ ชาวนีท,ชาวฟรีเตอร์ เราดีดีนี่เอง!,,(เช้าชามเย็นชาม),,หนักหน่อยก็แต่งตัวไปเซ็นต์ชื่อเข้างาน,,,แล้วออกไปสังสรรกับเพื่อนเพื่อน! สิ้นเดือนรับเงินภาษีของชาวบ้านเอาไปเลี้ยงครอบครัว!,,ไม่มีสถิติ ว่ามีจำนวนมากเท่าใร????,,,
กระทรวงอะไรครับ
ผมเจอบ่าย 2 ครึ่ง แต่งหน้าเตรียมกลับบ้านแล้ว
แล้ว เรา เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอยู่บ้าน เรียก นิสมัยคะ😊😊😊👸🏻👧🏻🧒🏻👦🏻👍🏻👍🏻👍🏻
ไม่น่านับครับ คุณจำเป็นต้องอยู่บ้านด้วยเหตุจำเป็น เเต่ชาวนีทนั้นอยู่บ้านด้วยความไม่จำเป็นเพราะตนเองก็ยังมีเเรงทำงานได้ เพียงเเต่ไม่ทำเนื่องจากเเรงกดดันในสังคม จึงเป็นเหตุให้เป็นนีท
อยู่ไป วันๆ ผมก็ ไม่ ค่อย ขยันทำงาน ทำคลิป สอนเลข และ รอ ตาย ไม่ยึ่ดมั่นถือมั่น สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรา สิ่งนี้ไม่ใช่ ตัวตนของเรา
อันนี้เรียกทำงานแล้วนะ ไม่ได้ใช้แรงแต่ใช้สมอง
อันนี้เห็นด้วย อย่าลืมทำบุญด้วยน่ะ
เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ น เมโสอัตตา
ท่องเที่ยวบ้างนะคะ
เพิ่งเห็นข่าวนักดับเพลิงญี่ปุ่นโดนทำโทษทางวินัยเพราะไปสตีมเกมแล้วทำเงินได้เป็นล้านเยนในระยะเวลาสั้นๆแล้ว ผมคิดว่าคงไม่แปลกนักที่คนรุ่นใหม่เลือกจะเป็นนีตกันมากขึ้น
ชีวิตการทำงานโคตรขาดความยืดหยุ่น กระทบยันเวลาชีวิตส่วนตัวขนาดนี้
3 ทศวรรษที่หายไปกระจอกไปเลยเมื่อมาเทียบกับ 7 ปี เราจะทำตามสัญญา สงสารคนไทย
3 ทศวรรษ คือ 30 ปีนะครับ แต่บ้านเราคง 60 ปีที่หายไป เจริญช้าและพัฒนายาก
@@Theerawee_Thongkham ผมว่าเจริญขึ้นเรื่อยๆนะ
สังคมรุ่นใหม่ เกิดสถานการณ์นี้ทั่วโลก ในไทยก็เห็นมีอยู่
ไปเรียกกลุ่มคนที่รับจ้างทั่วไปฟรีเตอร์ว่าเป็นปัญหานี่ก็ดูถูกความเป็นมนุษย์เหยียดงานกันเกินไปนะ คืองานทั่วไปไม่มีคนกลุ่มนี้ทำแล้วใครจะทำแรงงานต่างชาติก็ไม่ค่อยจะรับ ยังไปเหยียดกันอีก
เคยไปฝึกงานญี่ปุ่น คำว่า เลิกงานไม่มีอยู่จริง เลิกงาน แล้วก็ไปต่อ ร้านเหล้า ก็ยังคุยเรื่องงาน โทรศัพท์ ก็จับไม่ได้ เครียดเกิน เครียดตลอดเวลา
เลิกงานไม่มีอยู่จริง โคตรจริง5555
เสมือนเป็นเจ้าของบริษัทให้ทำงานเบอร์นี้
จริงค่ะ เหนื่อยมาทั้งวัน อยากรีบกลับไปพักผ่อนก็ไม่ได้ แถมยังนั่งรมควันบุหรี่ตลอดเวลาที่กินข้าว กินไปคุยไป น้ำลายกระเด็นเยอะมาก5555 จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่กำเนิดญี่ปุ่นแล้วละมั้ง เขาถือว่าเป็นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างคนงานนายจ้างจะได้สนิทกัน
นอนหลับยังเอางานไปทำในฝันแถมถูกด่า_ชะมะ
เคยทำงานบริบษัทญี่ปุ่น เน้นขยันแต่ไม่สนับสนุนไอเดีย ไม่ผ่อนคลายเอาแต่ควบคุม เน้นระบบโซตัส น่าเบื่อค่ะ
เหมือนผมเลย ไม่กล้าออกไปไหน ขนาดร้านค้าข้างบ้านยังไม่กล้าไป คือผมไม่ชอบทีคนเยอะๆ
👋👋👋
ในเมื่อวิถีเก่ามันไม่ทำให้ชีวิต สว.ในปัจจุบันดีขึ้น ยังมีความเครียดอยู่เหมือนเดิมหลังจากตรากตรำมาทั้งชีวิต
แล้วเด็กเค้าจะไปเดินซ้ำรอยเดิมไปทำไม เค้าเลยเลือกหนทางที่ฉลาดกว่าคือ งดเว้นการมีครอบครัว และสังคมออกไปเลย หาและใช้แค่เท่าที่จำเป็นจริงๆ มันก็เป็นเหตุเป็นผลกันอยู่ในสังคมญี่ปุ่นเองนั่นแหละ
โอ้โห อย่างงี้ไทยมีเพี้ยบเลย เกะพ่อแม่จนแก่เฒ่า แค่ขาดการสำรวจเท่านั้นเอง ขี้ยานี่ร้ายแรงกว่านี้อีก ทุบตีพ่อแม่ ขโมยเงินพ่อแม่ ภาระทั้งนั้น
พ่อแม่ก็ไม่กล้าบอกใคร
ผมก็เป็นชาวneetเหมือนกันครับ
ปลูกต้นไม้ทำสวนเลี้ยงไก่เลี้ยงปลาคนเดียวครับ.ผูกเปลนอนตอนบ่ายๆใต้ร่มไม้.ชาสักถ้วยหนังสือดีๆสักเล่ม.แล้วค่อยไปตัดหญ้าต่อ.
ผมชอบแนวคิดของจีน ที่ชลอบริษัทเทคโนโลยี่ รร.กวดวิชา ร้านเกม เพราะเมื่อนานวันก้อจะเกิดปัญหาตามมา
ชะลอยังไงคะ
ผมว่าจีนเขาจับตามองญี่ปุ่นมาตลอด เพราะการจะเป็นพี่ใหญ่ในเอเชียนั้น ต้องผ่านญี่ปุ่นให้ได้ก่อน อะไรที่คือตัวปัญหาฉุดให้ชาติไม่พัฒนาหรือเป็นระบบนายทุนผูกขาดมากเกิน จีนรีบตัดทันที
เห็นด้วยเลยครับ แถมมีนโยบาย การให้มีลูกเพิ่มด้วย
การควบคุมการเล่นเกม หรือการกวดวิชา ที่อาจจะทำให้เด็ก มีเวลากับครอบครัวมากขึ้น
@@ynpl8238 ก็นะ คอมมิวนิสต์มันสามารถควบคุมประชาชนโดยช่างแม่งสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว เราก็ไปคาดหวังว่ามันจะดีจนลืมไปว่าจีนไม่ใช่ประชาธิปไตยหรือสังคมนิยมที่ดี แต่เป็นรัฐเผด็จที่ดูไม่เป็นเผด็จการ
เป็นเรื่องน่าเศร้านะ แต่ผมก็ไม่ชอบสังคมปัจจุบันสักเท่าไหร่
เป็นสังคมที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ คนที่อยู่ได้โดยผาสุกและชอบระบบนี้ แปลว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของความบิดเบี้ยวนี้ไปแล้ว
@@mijnzh24 ใช้ครับผมทุกข์ใจมากรู้สึกไม่ยอมรับการ กระทำของคนอื่นในสังคมที่เขาชอบพูดว่าใครๆก็ทำกันแล้วมาด่าว่าเราคือไอโง่ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องชั่วๆที่พวกเขาทำ และต่อต้านมัน โดนทั้งการกลั่นแกล้งสารพัดวิธี เราทำสิที่ตัวเองรับผมชอบเสร็จแล้ว แล้วทำไมเราต้องไปรับผิดชอบการกระทำของผู้อื่นด้วย ตอนนี้ผมโคตรเสียความมั่นใจในตัวเองสุดๆจนสุดท้ายก็ด่าว่าตัวเองทำไมมีแค่เราที่ไม่ยอมรับเรื่องแย่ๆและทำเรื่องแย่ๆได้หน้าตาเฉยแบบคนอื่นเขา ผมนี้ปวดใจสุดๆเลยระยะหลังๆมานี้
ถ้าเลือกได้ ผมก็จะไม่ทำงาน สังคมทุกวันนี้มันเน่าเฟะมากจริงๆ
ใช่คับ สังคมทุกวันนี้เน่าเฟะมากคับ เพราะ มีแต่การกดขี่ข่มเหงรังแกกันอะคับ ว่าง่ายๆ คือ สังคมมันจะเริ่มกลายเป็นสังคมสลิ่มและเผด็จการแล้วล่ะคับ
ล้านคนที่เป็น Neet ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ใช่ปัญหา แต่ ปัญหาฟรีเตอร์ น่าคำนวนกว่าเยอะ แต่ คล้ายๆ เมืองไทยเลย เด็กๆไม่อยากทำงานรับจ้าง อ้างเงินน้อย การจ้างงานเลยต้องพึ่งต่างด้าว แล้วเด็กๆก็มาอ้างว่า ต่างด้าวมาแย่งงาน แต่ตัวเองก็อ้างไปเรื่อยไม่ยอมหางานอยู่ดี
ใช่เลยเห็นคนพม่า กัมพูชาทำงานในไทยเยอะมาก ทั้งที่เงินเดือนน้อย แต่เค้าก็อยู่ได้
ภาวนาเป็นงานที่ไม่ได้เงิน ทุกวันนี้เราทำงานที่ได้เงินกันจนลืม NEET กำลังพาตัวเองเข้าสู่สังฆมลทล
เพราะระบบ มันทำให้ชีวิตไร้ความฝันไงล่ะ บางคนก็กลัวความล้มเหลว บางก็ถูกเอาเปรียบกลั้นแกล้ง บางคนก็โดนสังคมที่มันเหมือนดูดีแต่ทุเรศ จนทุกคนมองเป็นเรื่องปกติ ไม่แก้ไขมัน เรียนจบมาที่เราเรียนมามันใช่ทางเราจริงๆหรอใช่สิ่งที่เราต้องการไหม แล้วที่ทำงานเป็นแบบที่เราคิดไหมเจอกับมนุษย์ประเภทไหน แล้วบางคนไปคนเดียวทำคนเดียว เดินคนเดียวกลับคนเดียว มันดูแย่นะ เดินแบบสิ้นหวัง แม้แต่ครอบครัวก็ไม่มีใครเข้าใจ ต้อวถามก่อนพวกเค้าเจออะไรมา บางคนมันฝังใจ พวกผูกขาดตลาดอีก นายทุนอีก เปิดอะไรสักอย่างของตัวเองจะสู้พวกเค้าได้ป่าว หรือ ทำงานเป็นลูกจ้างตลอดไป รอวันโดนบีบ ตอนใกล้ดเกรีษณ เพื่อไม่ได้เงินก้อนโต อนาคตจะเป็นยังไง มันดูไร้ค่า
ผมก้อเปนนีตมาสี่ปีแล้ววันๆก้อเล่นเกมกับดูซีรี่ โชคดีที่พ่อแม่มีบำนาญ และตอนทำงานเอกชนมีเงินเก็บเยอะอยู่ ในอนาคตถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้วอาจต้องขายที่ดินมรดกเอา
สงสารพ่อแม่ค่ะ เลิกเกาะเขากินได้แล้ว ให้เขาได้นอนตายตากลับได้ใช้เงินบำนาญของเขาบ้างค่ะ ไม่นานเขาก็ตายแล้ว ยังต้องตายตาไม่หลับมานั่งห่วงลูก
เมืองไทยก็มี อย่าว่าแต่คนญี่ปุ่นเลยครับ แต่ไม่ใช่เพราะงานหนัก เป็นเพราะความขี้เกียจ ไม่ตระหนักหน้าที่ตัวเองก็มีเยอะ
ใช่คับ
มันเป็นปัญหาเฉพาะทางโครงสร้างทางสังคมด้วย คับ อย่าโทษแต่ขี้เกียจ
การโทษคนมันง่ายและไม่ต้องใช้ความคิดอะไร
รัฐแก้ปัญหาไม่ถูกทาง เกาไม่ถูกที่คัน ต้นเหตุอยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่
มาเปลี่ยนเป็นสไตล์ สบายๆไทยแลนด์ซิ การนัดที่ไม่ตรงเวลา ก็สิ่งที่ดีเหมือนกัน พวกคุณเคร่งเครียดเกินไป ให้เวลาเป็นโซ่มัดตรึงพวกคุณไว้ ชีวิตเลยเคร่งเครียด ญี่ปุ่นมาอยู่เมืองไทยแล้ว ไม่อยากจะกลับประเทศตัวเอง เพราะไทยแลนด์มันสบายๆ ชิวๆ
รักสบายจนมักง่าย ทำงานเช้าชามเย็นชาม บางทีก็ไม่ไหว
ทุกวันนี้สังคมไทยมีเยอะ เรียกว่า ชาวเกาะ
ดูแล้วยี่ปุ่นน่าจะถดถอยลงเรี่อยๆ
ภาระ และค่าครองชีพที่สูงเกินไป ทำให้คนรุ่นใหม่มีเส้นทางชีวิตที่มืดมน
ถ้าค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นสูง
มาดูไทยครับ ยิ่งกว่า ถ้าเทียบรายได้และรายจ่าย
ถ้าเทียบรายรับรายจ่าย อยู่กรุงเทพลำบากกว่าโตเกียวเยอะครับ
คนไทยตกงานเละเทะครับ แต่ไทยไม่นับว่าตกงาน เพราะกลับบ้านนอกขายลูกชิ้น ถือว่ามีงานทำแล้ว
ประเทศที่บอกว่าพัฒนาแล้ว.คนอีกรุ่นจะรักสบาย.ใช้ชีวิตอิสระ.ชอบกินดีๆ.อยู่สบายๆ.ท่องเที่ยว.มีเงินใช้.ทำงานอิสระที่ได้เงินมากๆเวลาทำงานน้อยๆไม่ลำบากไม่ต้องอดทนได้ผลสำเร็จเร็ว.ไม่ต้องรับผิดชอบ.ไม่ต้องทำงานเลยอันนี้สุดยอด
ตกงานครับ มาฟังแล้วสะดุ้งเลย พอดีก็พอมีอาชีพที่บ้านแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า อยากจะไปสอบข้าราชการก็ช่วงโควิดหนักๆพอดี เห้อ เซ็งชีวิต
ลองปัญหาแนวนี้ของไทยมีบ้างไหมครับ
เห็นว่าไทยอีก10ข้างหน้าผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้น อัตราเด็กเกิดใหหม่น้อยกว่า20ปีที่ผ่านมา
พ่อแม่มีลูก7คน รุ่นผมมีลูกบ้านละคนสองคน
เศรษฐกิจพอเพียงแบบไทย ดีสุดแล้ว มีความสุข
เคยเม้นท์มาก่อนว่าช่องนี้ดีมากๆ แล้วก็โดนด่าด้วย 55 ปัจจัยหนึ่งที่คนตกงานหรือไม่ทำงาน เพราะสู้ technology ไม่ได้ คนไม่สามารถแข่งกับเครื่องจักร คุณค่าคนลดต่ำลงมาก แม้ส่วนตัว ผมจะเลือกเครื่องจักรมากกว่าคน เพราะคนคาดการไม่ได้เลย...
ชาวนีตบ้านเราก็คือชาวเกาะ ฟรีเตอร์บ้านเราเรียกอารมณ์ศิลปิน อยากทำก็ทำถ้าจำเป็นก็อาจทำ แล้วแต่อารมณ์ด้วย ถ้าเสียอารมณ์ก็ไปดื้อๆเหมือนกันเอากับเค้าสิ
ไม่น่าเชื่อเลย ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับประเทศที่มีความเจริญทั้งเทคโนโลยีและวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ประเทศไทยกำลังจะเดินไปสู่จุดนั้น
อยากรู้เรื่องneetที่ประเทศไทยครับ ว่ามีเยอะไหม🙏
ไทย ผมว่า ไม่น่า มีนะครับ มีแต่ หางาน ไม่ได้ มากกว่า
มีครับผมไงวันๆอยู่แต่ในห้อง70-80%กินของกินก็ทิ้งในห้องเล่นมือถือในห้องไม่อยากทำงานเบื่อชีวิตจนคนในบ้านด่าและไม่อยากมีครอบครัวไม่อยากรับผิดชอบใดๆอยากขอเงินใช้ไปเลื่อยๆ
@@สมบัติสัตยาอภิธาน-ภ4ธ มีนะครับ
เยอะนะ พวกแว้นเฒ่าโตแล้วไม่หางานทำขอเงินพ่อแม่ขี่รถเที่ยวไปวัน ยังไม่นับพวกขี้ยาเกาะเมียเกาะพ่อแม่กิน ยิ่งสมัยนี้ยาบ้าถูกกระท่อทถูกกฎหมายพวกนี้ยิ่งเยอะ
@@จอมเพด็จการโจเซฟสตาลิน ไม่เสียดายเวลาทีผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย
เหมือนแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะที่คนไม่อยากทำงานเพราะวัฒนธรรมการทำงานที่เคร่งเกินไปหรือเปล่า
ไม่ต้องเพิ่มวิชาแล้วค่ะ หันมาดูสุขภาพจิตอนาคตของชาติก่อน ไหนจะอัตราการฆ่าตัวตายอีก
ติดตามเพจนี้ตลอดนะครับ ได้ความรู้ สาระดี
เพื่อนที่เกิดมาเป็น NEET ในโตเกียว ส่วนใหญ่โชคดีที่เกิดมาแบบถูกสปอยล์ ตั้งแต่เด็กจนเรียนมหาลัย ส่วนประเทศไทยไม่เกิดขึ้นเกิน 5% ของประชากรหรอกค่ะ เพราะพวกเราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้รักศักดิ์ศรี กตัญญูต่อบุพการี อดทนต่อสรรพสิ่งดิ้นร้นจนถึงที่สุด ดังนั้นใครมีลูกมีหลานจงสอนเขาให้มี adaptive skills ตั้งแต่เล็กๆ ไม่ว่าจะเจอวิกฤตใด สังคมแบบไหน เขาจะเอาตัวรอด และไม่โตไปเป็น NEET ค่ะ
ฟรีแลนซ์ไทยก็มากขึ้นเหมือนกัน
ดู reality TERRACE HOUSE เปลี่ยนความคิดเรื่องทัศนคติการทำงาน เป้าหมายในขีวิต ของคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ อย่างมากเลย
ผมว่ารัฐบาลต้องออกกฎหมาย ปรับเปลี่ยนเรื่องเวลาการทำงาน การบังคับการลาพักร้อน เด็กๆเค้าเห็นการทำงานแบบตะวันตก แล้วเค้าอยากทำแบบนั้น
กฏหมายเวลาทำงาน การบังคับลาพักร้อนมีอยู่แล้วค่ะ แต่ด้วยวัฒนธรรมญี่ปุ่นเค้าไม่ลาพักร้อนเองค่ะ ส่วนตัวใช้วันลาพักร้อนเกือบหมดแม็กซ์ทุกปีค่ะ แต่ช่วงโควิด2ปีที่ผ่านมา เดินทางไปตปท ค่อนข้างลำบาก ก็เลยใช้วันลาพักร้อนน้อยลง
มีเพื่อนคนญี่ปุ่นหลายคน-เขาพูดว่าหลังๆรายจ่ายประเทศญี่ปุ่นสูงขึ้นการไปโรงเรียนค่อนข้างค่าใช้จ่ายสูงและแรงกดดันทางสังคมเยอะ-และหลายคนอยากทำงานอิสระเป็นเจ้านายตัวเองเยอะขึ้น
ระบบเสียง สามารถ ดีได้กว่านี้อีกครับ ชอบครับ
ผมเคยไม่ทำงานยุหลายปี ไม่เข้าสังคม จนถึงวันที่บ้านลำบาก ผมเลยต้องหาเลี้ยงชีวิต
ให้พวกแมร่งเปลี่ยนค่านิยมในการทำงานให้ได้ก่อน ส่วนบ้านเรา ก็กำจัดค่านิยมรักสบายให้ได้ก่อน