Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
เอกสารประกอบการบรรยายdrive.google.com/file/d/1YvUTLxkV8QKviJz_ZpSKOmQtatGiHwIG/view?usp=drive_link
..
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิอานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอมยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเตเหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิอานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุดปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิอานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุดโย สาโร, โส ฐสฺสติผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖.คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใด ๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าวคำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้นเมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.
พระรับเงินเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา#ผมเชื่อว่า จริงครับ กราบสาธุ
คนที่ว่าพระ..ก็ทำลายพระพุทธศาสนา..ไม่ใช่เหรอ...พระรับเงิน..รับเงินเพื่อจุดประสงฆ์อะไรล่ะ..เพื่อกิจการของศาสนา..เพื่อทำประโยชน์ให้มนุษยชาติ..แล้วจะไปทำลายศาสนาตรงไหน..
@@ศรีสุดานาบํารุงที่ชื่อว่าทำลายก็เพราะจงใจล่วงสิกขาบทบัญญัติที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว
รับเงิน ผิดครับแต่พระพุทธองค์ ทรงตรัสแนวทางแก้ไขไว้ คือ ถ้ารับแล้วสละออกเพื่อประโยชน์อื่นๆ ไม่สะสม ถือว่าไม่ผิดอาบัติ
คำว่าทำลายศาสนามึงก็ไปดูสิว่า..เสื่อมเสียศรัทธาเป็นข่าวทั่วโลกไหม..เช่น หลวงตามหาบัวตั้งผ้าป่าช่วยชาติรับกับมือเลย มึงไม่ไปดูละ
@@ขงเบ้ง-ฉ7ณ วิธีการสละเงินที่รับมา จะต้องสละในท่ามกลางสงฆ์และแสดงอาบัติ ไม่ใช่เก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคารหรือในย่ามของตนแล้วค่อยทยอยเอาไปทำบุญ อย่างนี้ไม่ใช่การสละที่ถูกต้องตามพระวินัย จึงยังคงมีอาบัติติดตัว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสความที่ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวต้องไปสู่อบายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวนรกหรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉานสำหรับภิกษุผู้มีอาบัติติดตัว”
ศีลข้อ 2 เว้นขาดจากเอาสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ ดังนั้นเงินที่เขาให้แล้ว รับได้หมดเลยไม่ตกนรก แม้จะผิดศีลข้อ 10 ผู้ใดมีศีล 5 มั่นคงดีแล้วจะตกนรกนั้นย่อมไม่มี พระที่รับเงินก็เช่นกันไม่ตกนรก แต่ว่าความก้าวหน้าในสมาธิปัญญามรรคผลนิพพานย่อมไม่มีแก่ท่าน เพราะไม่ใช่ฐานะของผู้มีความโลภความยินดีในทรัพย์ สิ่งปลื้มใจ เพราะนั่นชื่อว่า กามฉันทะ เป็นนิวรณ์ขวางกั้นสมาธิ ฌานจึงเกิดไม่ได้ พระที่บวชมาแล้วไม่มุ่งหวังมรรคผลนิพพาน ไม่ปฏิบัติขัดเกลาตนเอง แต่มาบวชเพื่อหาเงินสะสมเงินเหมือนปุถุชน ทานที่ให้ท่านเหล่านั้นย่อมไม่มีผลมาก และพระรูปนั้นย่อมมีความโลภอยากได้ ยินดี เมื่ออยาก ยินดี ย่อมเกิดความหวงแหน ตระหนี่ จนเกิดปกป้อง การขัดแย้ง แย่งชิง คว้าท่อนฟืนอาวุธเข้าประหัตประหาร หรือทำชั่วทางกาย วาจาอย่างใดๆ นี่แหละเหตุที่จะพาลงนรก
เมื่อรู้ว่าบวชแปลว่าอะไร และจุดมุ่งหมายของการบวชเพื่ออะไร ย่อมบอกให้ญาติโยมใส่ปัจจัย ไปในตู้เฉพาะของวัด ไปเข้าบัญชีวัด เพื่อหมู่สงฆ์ เพื่อบำรุงศาสนาโดยไม่อาลัยพะวงอยากได้เพราะฝึกตามพระธรรมวินัยยินดีสลัดตัณหาในตน ต่างจากอลัชชีเปรต พึงยินดีในเงินทอง สะสมเงินปัจจัย แต่ละวันเดือนปีมีเงินสะสมในบัญชีส่วนตัวหรือฝากไว้ และแถพระธรรมวินัยอยู่ร่ำไป บวชมาแล้วหวังลาภสักการะ บวชนานทำเป็นดูดีมียศตำแหน่ง สร้างภาพ แต่คุณธรรมความรู้แจ้ง คุณวิเศษ ปฏิเวธธรรมหามีไม่ ผู้มีอภิญญาญาณเขารู้เห็นทั้งนั้นปิดไม่ได้เรื่องรับเงินเกี่ยวกับเงินลองไปดูสิวิถีชีวิตพระวัดป่าอมราวดี ในต่างประเทศเขาทำยังงัย เขาเคร่งครัดอย่างไรua-cam.com/video/hJj5z4k_p6w/v-deo.htmlsi=c2tROvoJbTd8WDGl
พระรับเงิน ยินดี สะสมเงิน สะสมกิเลสตัณหา ก้อคือคนปุถุชนปกติ เพียงแอบเอาห่มผ้าเหลือง ไม่ได้มีคุณค่าอะไรทางศาสนา หลอกศรัทธาสาธุชนไปวันๆนั่นเอง
@@สมหมายใจชอบ เอาเงินใส่ตู้ พระก็เอาไปใช้อยู่ดี พระขาดสิ่งใดก็ไปสังเกตุสังกาเอาเอง แล้วก็ไปจัดหามาให้ท่าน ไม่มีน้ำปะปาไฟฟ้า มีปัญญาก็ดูแลท่านไปตามฐานะ ถ้าไม่มีก็ให้อาหารปัจจัยที่จำเป็น เหมาะสมแก่สมณสารูปถามท่านได้ ไม่ใช่สัตว์อื่น คนเหมือนกัน ไม่มีไฟฟ้าก็จุดเทียน เสนาสนะไม่ต้องสวยงามหรูหราอลังการ ไม่ต้องมีศิลปะให้สิ้นเปลือง เรียบง่ายสมถะ สันโดษ ไม่มุ่งคลุกคลี ไม่ต้องอยู่กันเป็นหมู่ยินดีเป็นหมู่ # จะต้องเสียเวลาไปเที่ยวดูกิจธุระคนอื่นให้เสียเวลาทำไม ดูใจของตนนี่แหละ ใครจะดีจะชั่ว มันเรื่องของเขา ไม่ต้องไปข่มคนอื่น ธรรมะทั้งหลาย มีไว้ขัดเกลาตน ไม่ใช่ขัดเกลาคนอื่น
แสดงว่าถ้าของอะไรที่เขาให้พระแล้ว พระรับได้หมดทุกอย่าง อย่างงั้นหรือ ถ้าเขาถวายเหล้า ยาเสพติด เงิน ปืน เมีย ลูกสาว ทาส วัว ควาย พระก็รับได้อย่างหรือ ของที่เขาให้ เราไม่ได้โขมยมาก็จริง แต่ต้องไม่ขัดกับพระวินัยด้วย ไม่ใช่จะรับได้ทุกอย่าง
ในพระไตรปิฎก แสดงโทษของภิกษุที่ละเมิดพระวินัยว่าต้องตกนรกถ้าไม่ปลงอาบัติอย่างถูกต้อง พระภิกษุห้ามรับเงินและทองหรือยินดีในเงินและทอง พระรับเงินแล้วไม่ปลงอาบัติโดยถูกต้องโดยการสละเงินทองท่ามกลางสงฆ์ เมื่อตายไป ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูงมาก
กราบนมัสการ พระคุณเจ้า เทศเข้าใจง่าย ท่านเก่งจริง
เห็นด้วยกับคอมเม้นท์...ที่..1..2..แต่พระแบบที่...บวชมาเพื่อ...ต้องการ...ลาภสักการะ...ก็มีมาก...เข่นกัน...ที่เห็นฯมามาก....คือใช้เงินเกินความ...จำเป็น...ก็เห็นพระ...หลายต่อหลายรูป...ขอบที่จะเอาเงิน...ที่ญาติโยมทำบุญ...ไปใช้ในการ...ซื้อสิ่งอำนวย...ความสะดวก ..ในการใช้ขีวิต...ประจำวันของพระ...มากเกินความจำเป็น....มีให้เห็น...เยาะแยะ...ในบางวัด ..มีความสมบูรณ์...จนถึงขนาดที่ว่า...ใช้ของที่ญาติโยม...ได้นำมาถวาย...อย่างฟุ่มเฟือย...คือ..ใช้แบบทิ้งขว้าง...ซึ่งมองดูแล้ว...เสมือนว่าของเหล่านั้น....ดูข่างมีคุณค่า...น้อยมากเหลือเกิน....แถมตัวพระเอง...ยังใช้จ่าย...เงินทองที่...คนที่เขาเอาเงิน...มาทำบุญ..../ไปใช้จ่ายส่วนตัว....ซึ่งเป็นการบำรุง...กิเลศ...ในจิตวิณญาณ...ของพระรูปนั้นฯ...ถ้าเอาเงินวัดไปใข้...ส่วนตัว...โดยที่ญาติโยม...ไม่เห็นด้วย....และพระก็คิดว่า...คนเขาใส่ตู้มาแล้ว....พระก็ชอบที่จะเอาไปใช้....แบบสบายฯ..(เอาไปใช้เรื่องส่วนตัวมากที่สุด)...แบบนี้ญาติโยมที่...ไม่ศรัทธา...ก็ไม่ค่อยที่จะ...ศรัทธา...เพราะพระ...ติดลาภ...สักการะ...มากเกินไป
พระผู้รับทำใจเป็นกลางผู้รับเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ไม่บาป ไม่ตกนรก.❤❤❤❤❤❤ผู้ให้เจตนาอยากทำบุญทรัพย์ที่ได้มาเป็นทรัพย์บริสุทธิ์ ไม่ตกนรก ไม่บาป❤❤❤❤❤
พระอริยสงฆ์ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่มีทางล่วงละเมิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ พระวินัยห้ามภิกษุรับเงินทอง และห้ามยินดีในเงินและทอง พระโสดาบันไม่มีทางละเมิดพระวินัยนั้นเด็ดขาดเพราะท่านเคารพสูงสุดคือองค์พระบรมศาสดา
@@ธนะโชคชัยผุดสุวรรณ พระอริยะบุคคลไม่จงใจล่วงสิกขาบทหรอกน่ะ
@@Nissaranatta พระอริยะขั้นต้น พระโสดาบัน ยังทำธุรกิจค้าขายจับเงินได้ ถือเป็นการล่วงสิกขาบทไหมครับ เอ๊ะใจอะไรในจุดนี้ไหม?
@@anansathapanapong9932ถ้าท่านไม่ได้บวช ข้อห้ามนี้ก็ไม่เกี่ยวกับท่าน
@@tikki142th2 ถูกแค่ส่วนเดียวครับ พระโสดาบันจะบวชหรือไม่บวชก็คือพระครับ สิกขาบทข้อนี้ทำไมพระพุทธเจ้าต้องบัญญัติไว้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งจะเข้าใจครับ เข้าใจธรรมนะไม่ใช่ใช้ความคิดตัวเองเข้าใจ
พูดยากค่ะ สมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันค่ะ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ ฟังแล้ว ได้เข้าใจที่ถูกต้องแบบละเอียดมากๆเจ้าค่ะเป็นบุญจริงๆสาธุ สาธุ สาธุ
น้อมกราบบูชาโอวาทธรรมพระคุณเจ้าบรรยายลัดเจนยินดีในการให้ทาน🙏🙏🙏.❤สาธุค่ะ
สาธุจะถวายต่อไป
ขอกราบนมัสการ พระคุณเจ้า
น้อมกราบนมัสการเจ้า
ขอบคุณพระอาจารย์ที่ออกมาแถลงครับ กราบงามๆ เลยครับ
ขออนุโมทนาครับผม 🙏
พระคุณเจ้า ชัดเจนมากครับ
วินิจฉัยพระรับเงินไม่อาบัติไม่บาปข้อ 2 เมื่อท่านได้เงินมาแล้วท่านสละออกโดยไปซื้อสิ่งของช่วยเหลือญาติโยมให้เงินบิดามารดาให้เด็กวัดให้สิ่งก่อสร้างจึงถือว่าสละตลอดเวลาข้อ 2 มีจริงไม่อาบัติและไม่บาป
พระภิกษุที่จงใจละเมิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยการรับเงินทองเป็นอาจิณ และไม่ได้แสดงโทษของตนด้วยการสละเงินทั้งหมดที่รับมาในท่ามกลางสงฆ์ แต่เก็บสะสมไว้ในบัญชีธนาคารในชื่อของตัวเองแล้วอ้างว่าเอาไปสละด้วยวิธีทำบุญบริจาคช่วยเหลือญาติโยม แต่ยังมีเหลือติดบัญชีหลายล้าน อย่างนี้ไม่เรียกว่าปลงอาบัติ ยังมีโทษอยู่ ตายไปต้องลงนรกเพราะกระทำผิดพระวินัย
กราบสาธุเจ้าค่ะ
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับ
ดูพระอาจารย์คม เป็นตัวอย่างนะครับ
น้อมกราบ อนุโมทนาสาธุ เจ้าคะ
พระพุทธองค์มิเคยตรัสบังคับให้ผู้ใดมิให้ละเมิดศีลแต่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้เห็นถึงโทษแก่ผู้ละเมิดแห่งศีล..สาธุกราบนมัสการเจ้าค่ะ..
❤สาธุสาธุสาธุค่ะ
สาธุ.สาธุ.สาธุครับ
อนุโมทนา🙏 สาธุ 🙏
สาธุ ๆ ๆ แจ่มแจ้งดีแท้ครับ
กราบกราบกราบเจ้าค่ะ สาธุอนุโมทามิเจ้าค่ะ
พุทโธ สาธุ
สาธุๆๆๆเจ้าค่ะ
สาธุๆๆ
สาธัจ้าถูดตัองแล่ว
พระอาจารย์เจ้าคะ สรุปย่อๆได้เลยเจ้าค่ะ ว่าบาปหรือไม่บาปเจ้าค่ะ
ถวายได้ แต่ห้ามถวายกับพระโดยตรง ต้องฝากไว้ที่โยมที่ดูแลพระ และพระเองก็ห้ามยินดีในตัวเงิน ยินดีได้แค่ปัจจัย 4 เท่านั้น พระร้องขอกับโยมที่ดูแลได้แค่ปัจจัย 4 เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเงิน ... ถ้าแบบนี้เป็นบุญ ผิดจากนี้เป็นบาป
@@Marioexo_Luckyถูกบางส่วน แต่ยังไม่คลอบคุม พระพุทธพจน์ไม่ได้มีเท่านี้ กรุณาค้นคว้าเพิ่มอีกนิด เกือบดีแล้วครับ
รับเงินมาสร้างวัด สาธารณ ประโยชน์ เป็นค่าใช้จ่ายของพระ ฯลฯ และพระนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของผู้ถวาย จึงเป็นการสละ ไม่ใช่สะสม ผิดพระวินัย เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เล็กน้อย ปลงได้ ทุกวันพระใหญ่ พระที่เข้าฟังปาฏิโมกข์ ก็ต้องปลงอาบัติก่อนเป็นอาบัติ ที่ทำผิดพระวินัย แต่ไม่บาปครับ เหมือนคนขับรถฝ่าไฟแดง ด้วยเหตุจำเป็น เช่น ไปหาหมอ ฯลฯ ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้แสดงว่าเขาเป็นคนชั่วครับ
@@papasu51 การสละเงินทองที่รับมา จะต้องสละเงินนั้นทั้งหมดท่ามกลางสงฆ์ในเวลาที่แสดงอาบัติ ไม่ใช่เก็บไว้ในบัญชีธนาคารในชื่อตัวเองและทยอยเอาไปทำบุญพอเป็นพิธี
@@papasu51 ปลงอาบัติได้ แต่ไม่ใช่จงใจละเมิดพระวินัยของพระพุทธเจ้าทุกวันๆๆ และวิธีปลงอาบัติจะต้องสละเงินนั้นท่ามกลางสงฆ์ ไม่ใช่เก็บไว้ในบัญชีธนาคารในชื่อของตัวเอง ถึงแม้จะเอาไปทยอยทำบุญ แต่ยังเหลืออีกหลายล้านหรือเป็นสิบล้านหรือร้อยล้าน ในบัญชี อย่างนี้ไม่ชื่อว่าปลงอาบัติถูกต้อง
อยากรู้จริงขอให้เข้ามาบวชจะรู้เอง
สมัยก่อน ทำไร่ทำนาหาของป่ามาดำรงชีพ เงิน ทอง ไม่ได้มีกันทุกคน สมัยนี้ ทำงาน ได้เงินเป็นค่าตอบแทน ดังนั่นเวลาให้ทาน ใส่บาตร ก็ใส่ด้วยเงิน เป็นดังนี้ครับ
สาธุสาธุสาธุ
นมัสการครับ🙏
พระองค์ก่อนปรินิพพาน ได้ตรัสว่า ขุททกสิกปทานิ ภิกขะเว มะมัสจะเยนะ สมูหะนะตุ ในกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ปราถนาก็ถอนสิกขาบทเล็กน้แยได้ บัญหาว่าเล็กน้อยคืออะไร
@@ขําพิบูลย์-ฮ3ฅ #เรื่องสิกขาบทเล็กน้อย [๖๒๐] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ชี้แจงต่อพระเถระทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า… “ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้” พระเถระทั้งหลายถามว่า ท่านพระอานนท์ ก็ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ท่าน พระอานนท์ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้น สังฆาทิเสส ๑๓ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ นอกนั้น เป็นสิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้น สังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ นอกนั้น เป็นสิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้น สังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ นอกนั้นเป็น สิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิย์ปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฎิเทสนียะ ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย. 84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=7440&Z=7459
เหล่าพระอรหันต์หลายร้อยรูปที่มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎก มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ได้สรุปแล้วว่าจะไม่มีการยกเลิกแก้ไขแต่งเติมพระวินัย
เล็กน้อย.คือภิกษุอาจเอาเมียได้เพียงเล็กน้อย ไม่เกินสองสามทีต่อวัน ถ้ามากกว่านั้นถือว่าผิดวินัยสงฆ์ ..เพราะจะทำให้ไม่สามารถออกบินบาดหากินได้ในวันต่อไป😂😂😂 สมอง..สติ..ปัญญา❤❤❤
กิเลส คือ ะไร บวช เพื่อแสวงหา ความหลุดพ้น
ในวิกิพีเดีย จะมีสำนักนึง(บ้านธรรมะ) นำพระธรรมคำสอนไปใส่ไว้เยอะ ถ้าผู้มีความรู้ทางพระไตรปิฎกคอยตรวจสอบความถูกต้องจะดีมากค่ะ
เอ๋อของยัยอ.สุจินต์ใช่มัยคะ
พระอาจารยพุดถุกต้องครับ
พระวินัยข้อ รับเงินทอง เป็นอาบัติ ควรยกเลิก หรือ แก้ไข เพราะข้อนี้แหละเป็นเหตุให้สงฆ์แตกเป็น ธรรมยุติ มหานิกาย อย่ามีทิฐฐิโดยไม่คำนึงถึง ความสามัคคีของหมู่สงฆ์
คุณเป็นใครถึงจะมาบอกให้ยกเลิกพุทธบัญญัติเหล่าพระอรหันต์ยังไม่มีใครกล้ายกเลิกเลยถ้าไม่เคารพในพุทธบัญญัติ ก๋ควรไปนับถือศาสนาอื่น เพราะคนที่ไม่เคารพในพระธรรมวินัย คือผู้ที่สร้างความแตกแยกในพระพุทธศาสนา
จะแก้พระวินัยได้ยังไง เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนดพระวินัย ถ้าแก้นั่นหมายถึงแก้คำสั่งของพระพุทธเจ้า คิดดู สาธุ
@@alicehohnstine7791 พระไตรปิฎกภาษาไทย สยามรัฐ พระวินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ เล่ม 7 หน้า 250พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า ดูกรอานนท์ เมื่อ เราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้
การรับเงิน ต้องใช้ปัญญาไม่จับก็ดี ถูกต้องแต่บ้างครั้งจำเป็นก็ต้องจับ
จริงมากกกก การปรับตัวให้เข้ากับบริบทสังคมปัจจุบัน เป็นสิ่งจำเป็น ทุกอย่างก็สามารถเดินหน้าได้
🙏🙏🙏พอจ. คะ ถ้ามีคำศัพท์ ขอรบกวน พอจ. แปลเป็นภาษาไทย ให้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากคะ🙏🙏🙏🙏🙏🙏
สาธุสาธุคาะ
สาธุๆๆอนุโมทามิ
อยากฟังเจ้าค่ะ
ถวายค่ารถ ค่ายารักษาโรค ค่าน้ำค่าไฟในวัด คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นค่ะ
ถวายได้ แต่ต้องถวายให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ดูคลิปที่พระคุณเจ้าอธิบายจนจบ ก่อนอื่นต้องชื่นชมว่ามีความรู้ มีหลักฐานอ้างอิง พูดเป็นธรรม พูดตามธรรมตามวินัย ซึ่งก็มีวัดที่สามารถจัดได้ทำได้ ต้องขออนุโมทนาอย่างยิ่ง ส่วนวัดที่ไม่สามารถจัดทำได้ ก็อาจมีเหตุที่ขัดข้อง เช่นไม่มีคนที่จะมาทำหน้าที่คอยดูแลเรื่อง แปรธาตุการเงินให้เป็นปัจจัย๔ เนื่องจากไม่สะดวกมีภาระมากมายส่วนต้ว สุดท้ายก็ต้องดูแลตัวเองครับ@@Nissaranatta
นิมนต์พระไปงานทำบุญ ไม่มีน้ำมันจะไปได้ไหมนิมนพระไปชวยงานฝังลูกนิมิตไม่มีน้ำมันไปได้ไม เพราะสมัยนี้กับสมัยก่อนมัต่างกัน
สมัยพระพุทธเจ้า มาจากพระมหากษัติ ได้รับความอุปถัมจากพระประยูรญาติมากมายในการสร้างวัดและการเลี้ยงดูอย่างยิ่งใหม่มากมายจึงไม่มีปัญหาในด้านปัจจัยสี่ความเป้นอยู่ ต่างจากปัจจุบันที่บิณบาตรก็แทบไม่ได้
ควรตรวจในพุทธวจนครับ
ต้องรบกวน ตรวจสอบ ใน พุทธวจน จะได้ทราบ ความจริงนะครับ สาธุๆๆ
0:34
ขอกราบนมัสการขอความคิดเห็นให้พระอาจารย์บอกชัดเจนแนเจ้าค่ะเพราะว่าโยมชอบเอาเงินใส่บาตรให้พระทุกๆวีนพระพร้อมดอกบัวมีคนบอกกะบ่เชื่อเขาว่ามันบาปแต่กะอยากทำบุญเจ้าค่ะกะย่านบาปคือกันแต่ว่าเคยใส่ประจำเจ้าค่ะบ่กล้าถาม
ถวายแล้วสบายใจก็จบ
กราบสาธุธรรม-///
ปัญหาโลกแตกเพราะสิ่งเหล่านี้ยังไม่มึในสมัยพุทธกาล เช่น พระนอนในทึ่นอนทำด้วยวัสดุดีๆสดวกสบายเช่นฟูกได้ไหม นั่งรถนั่งเครือ่งบินได้ไหม นอนห้องแอร์ได้ไหม ดูทีวีภาพยนต์ฟังวิทยุไดไ้ไหม เล่นมือถือคอมพิวเตอร์ได้ไหม เป็นต้น...คำถามเหล่านี้ใครจะตอบได้?
ห้ามจับต้อง กันขโมย เป็นนโยบาย
ฟันธงพระรับเงินไม่ตกนรก เพราะการมีชีวิตอยู่ต้องมีค่าใช้จ่ายนอกจากอาหารบิณทบาตร
ท่านสอนไว้ละเอียดยิ่ง คิดเอง นึกเอง ปัญญาหยั่งไม่ถึง หาฟังได้ยากมากครับกระผม
พระรับเงินไม่บาปแต่ถ้าเอาเงินไปเล่นการพนันหรือไปซื้อเหล้าน่านบาป
เฉียบ คมมาก
เห็นมีพระที่บอกไม่จับเงิน แต่ให้โยมเอาเข้าบัญชีธนาคารให้ มีเงินในธนาคารเป็นล้าน แบบนี้เหรอพระไม่จับเงิน น่าจะเรียกว่าพยายามเลี่ยงบาลี มากกว่า
พระรับเงินทอดกฐินยอดสูงมาก
ตกนารกไม่ตกแต่หมดความก้าวหน้าไม่มักน้อยโลภมากรับมากมากสะสมกิเหลดรับมาให้ต่อให้ผู้ลำบากน้ำท่วม....ดี..แต่อย่ารับดีกว่ามันมีภาระเป็นอันตรายครอบครองแก้วแหวนเงินทอง
เห็นพระยืนถอนเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มธนาคาร ข้างๆก็มีฆราวาสเปรียบเทียบได้ระหว่างทางโลกกับทางธรรม😂
😂
@@panmobile4492อันนี้ ก็หยาบไป ควรให้ญาติสายโลหิต หรือญาติธรรมจัดการ
อยู่ที่ระดับจิตของพระว่าขั้นไหน ถ้าเป็นพระธรรมดาหรือพระบ้านก็ไม่ตกนรกอะไรหรอก ท่านต้องมีหน้าที่สร้างวัด รักษาวัด ตามหน้าที่ ที่ท่านรับหน้าที่มา ท่านเป็นฝ่ายคันธุระ ต้องจ่ายค่านำ้ ค่าไฟ ค่าสถานที่ค่ารถยานพาหนะ ส่วนพระที่ท่านปฏิบัติ ถึงขั้นอริยะบุคล ตั้งแต่โสดาบัณ ขึ้นไป เงินคืองูพิษ ที่จะทำให้จิตตกตำ่ไม่ก้าวหน้า คอยฉกกัดสารพัด จิตจะตกตำ่ลง แต่ไม่ตกนรกหรอกแค่ปาจิตตีย์ เมื่อปลงอาบัติแล้วจิตกลับมาบริสุทธิ์เหมือนดิม ก็จะปกติ ยกเว้นไปสร้างคดีทางโลก ก็ต้องรับกรรมทางโลก
พระที่ไหนมีหน้าที่สร้างวัดกันเหรอ ไม่มีหรอก พระบวชมาแล้วอาศัยข้าวจากชาวบ้านใส่บาตรให้ ต้องปฏิบัติตามมรรค 8 จึงชื่อว่าสุปฏิปันโน เป็นนายุบุญ ทานที่ให้จึงมีผลมาก ความเป็นพระสงฆ์เป็นอย่างนี้อย่างเดียว นอกนั้นไม่ใช่พระเป็นปุถุชน เป็นชาวบ้านในคราบผ้าเหลือง ถ้าทำผิดศีล 5 ก็ตกนรกเหมือนกัน อานิสงค์จากการบวชแบบนี้ ไม่มี ทานที่ให้ท่านเหล่านี้ไม่มีผลมาก
วินิจฉัยข้อ 3แม้พระภิกษุสงฆ์จะถือเงินไว้กับตัวแต่มันมีเวลารอการสละตลอดเวลาหมายถึงเงินนั้นจะต้องสละตลอดเวลาในการเดินทางหรือใช้จ่ายถือว่าไม่อาบัติเพราะมีเจตนาจะสละตลอดเวลามิได้เก็บไว้
เจริญพร..โยมเรียนมาจากสำนักไหน ใครเป็นอาจารย์ของโยม
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
ผมเห็นพระนอนห้องแอร์ บ้านผมไม่มีแอร์ครับ ผมเห็นพระมีทีวีสี สเตอริโอ บ้านผมไม่มีครับ ผมเห็นหมาวัดยังกินดีกว่าผมอีกครับ (ผมอายุ 12 ขวบ) พูดตามที่ผมเห็นครับ
เข้ามาบวชครับ ช่วงนี้หาคนบวชยาก
บวชฟรีเลยมีหลายแห่ง
จะมีศิลข้อ 10ทำไม ควรให้ผู้อุปฐากรับ เก็บรักษาแทน
ฉันไม่มีคำพูดแย้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่พระรับเงิน--มันยากที่จะฟันธงว่าผิดหรือไม่ผิด-ก็ไม่รู้จะทำยังไงในการนี้คือรับเงิน-น่าจะยุคสมัยเปลี่ยนไปพุทธองค์กล่าวไว้...ให้รับโดยไวยาวัจกรณ์น่ะ -.-.-.มิให้โดยตรงต่อภิกษุ--
พระภิกษุที่ฉลาดในธรรมวินัยและฉลาดในใจ มองกิเลสจัดการกิเลสให้อยู่ในอำนาจของจิตได้แล้ว ไม่มีอะ ไรต้องกังวลหรือเป็นห่วงใดๆ
ดูคำอธิบายทุกสิกขาบทพระวินัยพระให้ละเอียด. จึงควรพูด ....เดา....ผิดได้ทุกคน
ไม่รับเงิน แต่ยินดี ในเงินมูลนิธิที่พวกตนตั้ง ก็มหาอาบัติ หนักกว่า พระรับเงิน😂
😂😂😂😂😂😂😂
❤
ยุคสมัยเปลื่ยน.พระก็ต้องปรับตัว.ยุคนี้ค่านำ้.ค่าไฟ.ค่าหนังสือเรียนพระก็ต้องจ่ายครับบิ่งพระที่ไม่มียศก็อาศัยที่โยมถวายนี่เหละมาจ่าย
ผู้ที่บัญญัติ สิกขาบทและถอดถอนสิกขาบทมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ธรรมวินัยไม่จำกัดกาล มีแต่ประพฤติตามกับไม่ประพฤติตาม ปฏิบัติไม่ได้เราก็แค่ยอมรับ ว่าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
ผิดวินัย มีไวยาวัจกรดูแลได้
การมีไวยาวัจกรบางทีก็เป็นสมัยก่อนการเดินทางต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก
วัดไหนเขาต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟทั้งนั้น แต่ทำไมพระจะต้องไปทำหน้าที่ตรงนี้มันใช่หน้าที่พระหรือ ฆราวาสเหมาะกว่ามั้งครับ
@@เปรียบดั่งจันทราก็เอาเงินจากฆารวาสที่ทำบุญนั้นแหละครับมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ
ໃຜຈະກ້າໄປບອກພະ ພະນັ້ນແລະຄວນຈະບອກຊາວບ້ານທຳແບບນີ້ດີ ທຳແບບນີ້ໄມ່ດີ ຊາວບ້ານໄມ່ຮູ້ວິນັຍ ທຳຕາມຊາວບ້ານ ວ່າເປັນປະເພນີ
ຶເວລາຖວາຍປັດຈັຍພະຮູ້ວ່າເປັນເງີນ ຖ້າໄມ່ຢາກອາບັດກໍປະກາດໄມ່ຮັບເງິນ
เก่งๆกันทั้งนั้น ไปใหนก็เดินเอานะ ใช้ตะเกียง กินข้าวใช้มือเปิบ ห่มผ้าบังสุกุลก็แล้วกัน
เขาไม่ยกข้อวินัยโดยตรง คือภิกษุรับเองก็ดีให้ผู้อื่นรับก็ดีไว้เผื่อตนต้องอาบัตินิสคีย์ปาจิตตีย์ครับ
😮
รับปัจจัยไม่น่าร้ายแรงเท่าพระสะสม
เรื่องพระกับเรื่องเงินยุค2024 ต้องปรับตามกาลสมัย เพราะเหตุจำเป็น อย่าเคร่งจนเกินเหตุโดยอ้างพระธรรมวินัย แต่มิได้ชี้ช่อง ให้อรัชชีที่แฝงมาในรูปพระนะ
อลัชชี ครับ
พวกเขาถือว่าคำสอนของพุทธะ เป็นอะกาลิโก ไม่ต้องเปลี่ยน😊
ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุผู้เป็นสุปฏิปันโน จะมินำเอาวินัยบัญญัติ มาแสดงแก่อุบาสกและอุบาสิกาเลย เพราะเป็นเรื่องของสงฆ์ มิใช่กิจของสงฆ์ที่จะต้องสาธยายแก่อุบาสก-อุบาสิกา แต่อย่างใด การแสดงธรรมสมควรแก่ธรรม ที่พระศาสดาแสดงไว้ดังนี้ ข้อ 1 ปลดเปลื้องความเขลาหรือความมืดมัว ข้อ 2 ปลดเปลื้องความประมาท ข้อ 3 ปลดเปลื้องความเกียจคร้าน ข้อ 4 การปฏิบัติตนให้เกิดอานิสงส์สัมฤทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป ตามสมควรแก่สติปัญญาของผู้ฟัง
ถ้าพระภิกษุไม่แสดงเรื่องพระวินัยให้ญาติโยมเข้าใจแล้วญาติโยมจะปฏิบัติต่อพระภิกษุให้ถูกต้องได้อย่างไรกัน พระก็ต้องเกี่ยวข้องด้วยกับโยม มีพระวินัยหลายข้อที่เกี่ยวเนื่องกับโยม เรื่องรับประเคน เรื่องสิ่งที่ควรถวายเช่นเนื้อดิบ เนื้อต้องห้าม การทำกัปปิยะ เรื่องการปวารณา เรื่องการแสดงธรรมในเสขียวัตร เรื่องน้ำปานะ เรื่องเงินทอง เป็นต้น ในพุทธกาลญาติโยมก็ทราบสิกขาบทของพระทั้งนั้น จึงได้มีการปฏิบัติกับพระภิกษุได้ถูกต้อง และภิกษุรูปใดประพฤติไม่ถูกต้อง โยมก็จะตำหนิพระภิกษุรูปนั้นๆ หรือการตำหนิของอุบาสกอุบาสิกา ก็เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท น่าเศร้าใจนักที่ปัจจุบันมีคนคิดอย่างนี้กันเยอะ แม้แต่ภิกษุเอง กลัวว่าทำผิดแล้วโยมจะรู้ หรืออย่างไรกัน .ถ้าญาติโยมเข้าใจพระวินัย พระก็จะได้ไม่ต้องอาบัติ น่าจะดีเสียอีกน่ะ .ธรรมและวินัยที่ภิกษุเปิดเผยจำแนกแสดงอยู่แล จึงรุ่งเรือง ปกปิดไว้หารุ่งเรืองไม่.
พระ2567ปีที่แล้วไม่รับเงิน
ปาราชิก
กรานมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะสาธุๆๆๆ
🙏🙏🙏🧎♂️
ครั้งหนึ่งโยมใส่บารต์วันตายของมารดาจึงูฃองถวายพระโดยไม่รู้ว่าจะบาปแต่พระท่าน🎉😢😢 คืนเงินกลัมมาและท่านบอกว่าอาตมารับแล้วแต่ต😢
ทุกวันนี้แยกไม่ออกเลยพระ,ฆราวาส
ขาดการศึกษา,
ทำไมไม่เอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอ้างอิง ไม่ควรเอาอรรถกถามาอ้าง เพราะไม่ใช่คำสอนของพระองค์ แต่เป็นคำสอนของคนอื่น
#คัมภีร์อรรถกถาและฎีกา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาไว้ ๓ ประการ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ใน ๓ ประการนั้น ปริยัติเป็นปัจจัยแก่ปฏิบัติ, ปฏิบัติเป็นปัจจัยแก่ปฏิเวธ อันได้แก่ มรรค ผล นิพพาน โดยเปรียบได้ดังนี้คือ ปริยัติเปรียบเหมือนแผนที่, ปฏิบัติเปรียบเหมือนการเดินทาง, ปฏิเวธเปรียบเหมือนจุดหมายที่ต้องการจะไป ฉะนั้นปริยัติจึงนับว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นรากฐานแห่งการปฏิบัติ และการบรรลุมรรค ผล นิพพาน ปริยัติ คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น ๓ หมวดใหญ่เรียกว่า “พระไตร ปิฎก” ในพระไตรปิฎกนั้นบางเรื่องบางตอนมีเนื้อความละเอียดลึกซึ้งเข้าใจยาก ต้องอาศัยผู้รู้ช่วยอธิบายขยายความจึงจะเข้าใจ ในสมัยพุทธกาล พระศาสดาทรงอธิบายขยายความเองบ้าง พระสาวกองค์สำคัญๆ ที่แตกฉานในพระธรรมวินัย เช่น พระสารีบุตรเถระ พระมหากัจจายนเถระ พระอุบาลีเถระเป็นต้น ได้ช่วยอธิบายพระพุทธพจน์บ้าง คำอธิบายเหล่านี้เรียกว่า “อรรถกถา” มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ดังมีคำที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ธัมมสังคณีอนุฎีกาว่า “อรรถกถานี้มีปรากฏอยู่แม้ในกาลที่พระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์อยู่ รู้กันว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงอรรถกถาเหมือนพระบาฬี” (อภิ. อนุฎีกา. ๑/๑๓). อรรถกถาที่ปรากฏในสมัยพุทธกาลนั้นมี ๒ ประเภท คือ ๑. พุทธสังวัณณิตอรรถกถา ได้แก่ อรรถกถาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอง เรียกว่า ปกิณกเทศนาบ้าง ดังมีคำที่กล่าวไว้ในทีฆนิกาย สีลักขันธวรรคฎีกาว่า “แท้จริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสลำดับอรรถสังวรรณนาแห่งพระไตรปิฎกเอง หลังจากนั้นพระสาวกทั้งหลายจึงแสดง” (ที. สี. ฏีกา. ๑/๓๑). ๒. อนุพุทธสังวัณณิตอรรถกถา หรือสาวกสังวัณณิตอรรถกถา ได้แก่ อรรถกถาที่พระ มหาเถระทั้งหลายมีพระอัครสาวก เป็นต้น พรรณนาไว้ (ที. สี. อ. ๑/๑). อรรถกถาเหล่านี้ได้รับการสังคายนาทั้ง ๓ ครั้ง (คือครั้งที่ ๑-๒-๓) หลังจากสังคายนาครั้งที่ ๓ ประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ พระมหินทเถระได้นำไปประดิษฐาน ณ เกาะลังกา พร้อมกับพระไตรปิฎก ภายหลังมีการแปลเป็นภาษาสิงหล (ลังกา) และภาษาอื่น ดังมีคำที่กล่าวไว้ทีฆนิกาย อรรถกถา ว่า - อรรถกถาใดอันพระอรหันต์ ๕๐๐ สังคายนาแล้วแต่ต้น (ครั้งแรก) และสังคายนาต่อมา เพื่อประกาศเนื้อความของทีฆนิกาย ซึ่งกำหนดหมายไว้ด้วยสูตรขนาดยาว ละเอียดลออ ประเสริฐกว่านิกายอื่น ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกสังวรรณนาไว้ มีคุณค่าในการปลูกฝังศรัทธา แต่ภายหลังพระมหินทเถระนำมายังเกาะสิงหล ต่อมาได้เรียบเรียงด้วยภาษาสิงหลเพื่อประโยชน์แก่ชาวสิงหลทั้งหลาย ต่อจากนั้น ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆสาจารย์) จึงแปลภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ ถูกต้องตามหลักภาษา ไม่ผิดเพี้ยนอักขรสมัยของพระเถระคณะมหาวิหาร ผู้เป็นประทีปแห่งเถรวงศ์ ที่วินิจฉัยไว้ละเอียดลออ จะตัดข้อความที่ซ้ำซ้อนออกแล้วประกาศเนื้อความ เพื่อความชื่นชมยินดีของสาธุชน และเพื่อความยั่งยืนของพระธรรม (ที. สี. อ. ๑/๑). ฉะนั้น อรรถกถาที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั้นจึงนับว่าเป็นโปราณอรรถกถา (อรรถกถาเก่าแก่) หรือปุพพอรรถกถา (อรรถกถาสมัยก่อน) โปราณอรรถกถา หรือปุพพอรรถกถา มีชื่อปรากฏ ดังนี้ ๑. มูลอรรถกถา หรือสีหฬัฏฐกถา ๒. มหาอรรถกถา ๓. มหาปัจจรีอรรถกถา ๔. กุรุนทีอรรถกถา ๕. อันธกอรรถกถา ๖. สังเขปอรรถกถา ๗. จูฬปัจจรีอรรถกถา ๘ อริยอรรถกถา ๙. ปันนวาระ
ต่อมาประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ เศษ ได้เกิดพระอรรถกถาจารย์ที่สำคัญหลายรูป เช่น พระพุทธโฆสาจารย์ พระพุทธทัตตะ พระธัมมปาละ พระอุปเสนะ และพระมหานามะ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ได้รจนาคัมภีร์อรรถกถาไว้เป็นจำนวนมาก โดยอาศัยโปราณอรรถกถาเหล่านั้น ซึ่งเป็นการปริวรรตจากภาษาสิงหลกลับมาเป็นภาษามคธบ้าง รวบรวมและเรียบเรียงใหม่บ้าง ฉะนั้น จึงเรียกว่า อภินวอรรถกถา (อรรถกถาใหม่) หรือสังคหอรรถกถา (อรรถกถาที่เกิดจากการรวบรวม) และได้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีชื่อปรากฏดังนี้ อรรถกถาพระวินัยปิฎก เช่น สมันตปาสาทิกา, กังขาวิตรณี, วินยสังคหะ เป็นต้น อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก เช่น สุมังคลวิลาสินี, ปปัญจสูทนี, สารัตถัปปกาสินี เป็นต้น อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก ได้แก่ อัฏฐสาลินี, สัมโมหวิโนทนี, ปัญจปกรณ์ สมัยต่อมา พระเถระผู้มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งหลาย ได้รจนาคัมภีร์ฎีกาอธิบายอรรถกถาตรงที่ยากๆ อีกทอดหนึ่ง เช่น คัมภีร์สารัตถทีปนีฎีกา เป็นต้น บางคนเข้าใจว่า อรรถกถาเป็นคำที่พระเถระสมัยหลังแต่งขึ้น จึงปฏิเสธอรรถกถา บางคนก็กล่าวว่าพระพุทธโฆสาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นผู้แต่งอรรถกถา ความจริง ท่านเพียงแต่เป็นผู้แปลจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ และรวบรวมเรียบเรียงใหม่เท่านั้น ซึ่งท่านได้ชี้แจงไว้แล้ว ดังคำที่กล่าวข้างต้น ผู้ที่ปฏิเสธอรรถกถาอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ คือ ๑. ดูอรรถกถาไม่เป็น หรือใช้อรรถกถาไม่เป็น ๒. รู้สึกว่ามากไป เรียนไม่ไหว เอาแค่พระไตรปิฎกก็พอ ๓. ไม่ได้ศึกษาปริยัติอย่างเป็นระบบ แต่ใช้วิธีเรียนลัดแล้วสำคัญตัวว่าเป็นผู้รู้ ๔. ต้องการจะอธิบายพระพุทธพจน์เอง โดยเห็นอรรถกถาเป็นอุปสรรคในการอธิบายของตน เพราะตนเองอธิบายไม่ตรงกับอรรถกถา ๕. มีโมหาคติ คือ มีอคติเพราะความเขลา
@@watkhaosanamchai /ภิกษุที่เกิดมาภายหลัง เอาอำนาจอะไรมาอธิบายความคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระองค์ตรัสแล้วว่า คำสอนของพระองค์นั้น สมบูรณ์ บริสุทธิ์ สิ้นเชิง การอธิบายความ หรือแต่งคำสอนเข้ามาเพิ่มตามความเห็นของตน ย่อมไม่ถูกต้อง ซึ่งพระองค์ตรัสห้ามไว้แล้ว ทำให้คำสอนอันบริสุทธิ์ถูกปรุงแต่บิดเบือน
พระ ท่านไม่แตกฉานเรื่องจุลศีล จึง มั่ว
กว่าจะตอบได้...ร่ายยาวเหลือเกิน...
เงินทองไม่รับ ใบปวารณารับ "เงินที่เขาถวายมาในใบปวารณาไวยาวัจกรณ์เก็บไว้"อย่างนี้จะผิดไหมครับ "ผิดถูก"อย่างไร พระอาจารย์ช่วยอธิบายทีครับ
เงินและทองมีสิกขาบทห้ามอยู่แล้ว ส่วนใบปวารณา ไม่ใช่เงิน ทอง กหาปนะ มาสก เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ยืนยันแทนคำพูด ว่าโยมเขามีการปวารณาสิ่งของที่สมควรไว้เท่ามูลค่าเท่านี้ เท่านั้น และเราไม่สามารถที่จะเอาใบปวารณาไปซื้อสิ่งของอะไรได้ แม้แต่เราจะแจ้งไวยาวัจจกรว่า อาตมาต้องการเงินที่โยมเขาปวารณาไว้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ปวารณาเงินไว้ เขาปวารณาถวายสิ่งของที่สมควรเท่ามูลค่าที่ได้แจ้งไว้เท่านั้น. แต่ก็ต้องดูตอนที่โยมปวารณาด้วยว่าเขาพูดอย่างไร พูดถูกต้องหรือไม่ ถ้าเขาถวายเงินแก่เรา แล้วเราบอกว่าให้เอาไปให้ไวยาวัจกรหรือคนนี้ คนนั้น อันนี้ก็ไม่พ้นจากอาบัติ เพราะยินดีเงินและทองที่เขาเก็บไว้ให้ ถ้าโยมเอาเงินมาถวายพระ พระจะต้องปฏิเสธอย่างเดียว ห้ามบอกว่าเอาไปให้คนนั้น คนนี้ จะใส่ย่าม ใส่ซองอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น.
@@watkhaosanamchai อย่างกรณีพระหลายรูปไปกิจนิมนต์เช่น งานขึ้นบ้านใหม่,งานแต่ง,งานศพ เป็นต้น เจ้าของงานนิมนต์ในที่นั้นถวายปัจจัย(เงิน)โดยผ่านใบปวารณาเจาะจงว่าถวายพระคุณเจ้ารูปนั้นเท่านั้น พระคุณเจ้ารูปนี้เท่านี้ โดยเงินนั้นถูกเก็บโดยโยมอุปัฏฐากหรือไวยาวัจกรณ์ กรณีนี้พระรับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้พระที่ไปกิจนินมต์หลายรูปด้วยกัน รูปใดรูปหนึ่งควรจะกล่าวออกไปไหมว่า โยมอย่าถวายปัจจัย(เงิน)ให้พระ:อีกประการหนึ่งการถวายปัจจัย(เงิน)โดยผ่านใบปวารณาให้พระปัจจุบันมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ โยมถวายอย่างไร พระรับอย่างไรใช้อย่างไรเป็นอาบัติ,โยมถวายอย่างไรพระรับอย่างไรใช้อย่างไรไม่เป็นอาบัติ พระอาจารย์กรุณายกตัวอย่างให้รู้แต่พอสังเขป เพื่อจะนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมในโอกาสต่อไปด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
มีกี่รูปเข้าบ้านไม่ใส่รองเท้า คนพูดเองอย่าบอกนะว่าไม่ใส่
@@รันต์กันยาทอง ภิกษุสามเณรทุกรูปในวัดนี้ เมื่อเข้าสู่ละแวกบ้าน เว้นผู้อาพาธ ไม่มีรูปใดใส่รองเท้าเข้าไปในละแวกบ้าน
พระวินัยมุก ระบุไว้ชัดเจนห้ามไม่ให้พระรับเงินรับทองอาบัติมิจคีปาจิตติ
เรื่องเล็กน
มหาปเทศ 4 ไง พระต้องอนุวัติตามกาล
มหาปเทศจะใช้ในสิ่งที่ไม่มีสิกขาบทบัญญัติ ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทุกเรื่อง
@@Nissaranattaทบทวนหลักกาลามสูตรเพิ่มบ้างก็จะดี วิเคราะห์เชิงลึก อาจได้วิสัยทัศน์กว้างขึ้น
ไม่รับเงินจะไปรับอะไร พระขึ้นรถก็เสียเงินไม่เสียเงินเขาไม่ให้ขึ้น
ไม่ต้องถามพระหรอกถามผมเลยขอตอบว่าพระรับเงินไม่ตกนรกเพราะนรกก็ไม่มีพระรับเงินน่ะรวยทุกรายดูไชยบรูณวัดธรรมกายเป็นตัวอย่างรวบระดับไหนะยอมก็รวยขนาดไหนเป็นเจ้าของกิจการตลาดสดเป็นเจ้าของ รง.เฟอร์เจอร์เป็นเจ้าของเรือกสวนไร่นาอยู่สุขสบาย
รับรึไม่รับไม่เอามาเป็นประมาณ.อยู่ที่จิตของผู้เป็นพระว่าเอามาเพื่ออะไร.ซื้อยารักษาตนใช้เดินทางนั้นจำเป็น.
จิตเป็นกุศลหรืออกุศล ก็ต้องอาบัติ
@@chandadhammophikkhu4699อาบัติ กับ บาป เป็นคนละเรื่องกันครับ
ถ้าไม่มีเงินเจ็บป่วยทำยังไง
ไม่รับเงินโบสถ์ศาลาเอามาจากไหน
พระไม่จำเป็นที่ต้องรับเงินมาสร้างเอง
ไม่ตกนรกหลอก การถวายปัญมันงา่ยกว่าอย่างอื่นเพราะเป็นเล็กไม่หนักมันง่ายดีสดวก
สมัยก่อนกาลกะสมัยนี้.มันเปลี่ยน.เช่นสมัยก่อนมีรถใหม.มีเครื่องบินใหม.ไปใหนๆท่านเดินเอา.
เอกสารประกอบการบรรยาย
drive.google.com/file/d/1YvUTLxkV8QKviJz_ZpSKOmQtatGiHwIG/view?usp=drive_link
..
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !
น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
โย สาโร, โส ฐสฺสติ
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.
อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖.
คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใด ๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่
ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.
ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.
พระรับเงินเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา#ผมเชื่อว่า จริงครับ กราบสาธุ
คนที่ว่าพระ..ก็ทำลายพระพุทธศาสนา..ไม่ใช่เหรอ.
..พระรับเงิน..รับเงินเพื่อจุดประสงฆ์อะไรล่ะ..เพื่อกิจการของศาสนา..เพื่อทำประโยชน์ให้มนุษยชาติ..แล้วจะไปทำลายศาสนาตรงไหน..
@@ศรีสุดานาบํารุงที่ชื่อว่าทำลายก็เพราะจงใจล่วงสิกขาบทบัญญัติที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว
รับเงิน ผิดครับ
แต่พระพุทธองค์ ทรงตรัสแนวทางแก้ไขไว้ คือ ถ้ารับแล้วสละออกเพื่อประโยชน์อื่นๆ ไม่สะสม ถือว่าไม่ผิดอาบัติ
คำว่าทำลายศาสนามึงก็ไปดูสิว่า..เสื่อมเสียศรัทธาเป็นข่าวทั่วโลกไหม..เช่น หลวงตามหาบัวตั้งผ้าป่าช่วยชาติ
รับกับมือเลย มึงไม่ไปดูละ
@@ขงเบ้ง-ฉ7ณ วิธีการสละเงินที่รับมา จะต้องสละในท่ามกลางสงฆ์และแสดงอาบัติ ไม่ใช่เก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคารหรือในย่ามของตนแล้วค่อยทยอยเอาไปทำบุญ อย่างนี้ไม่ใช่การสละที่ถูกต้องตามพระวินัย จึงยังคงมีอาบัติติดตัว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสความที่ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวต้องไปสู่อบายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวนรกหรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉานสำหรับภิกษุผู้มีอาบัติติดตัว”
ศีลข้อ 2 เว้นขาดจากเอาสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ ดังนั้นเงินที่เขาให้แล้ว รับได้หมดเลยไม่ตกนรก แม้จะผิดศีลข้อ 10 ผู้ใดมีศีล 5 มั่นคงดีแล้วจะตกนรกนั้นย่อมไม่มี พระที่รับเงินก็เช่นกันไม่ตกนรก แต่ว่าความก้าวหน้าในสมาธิปัญญามรรคผลนิพพานย่อมไม่มีแก่ท่าน เพราะไม่ใช่ฐานะของผู้มีความโลภความยินดีในทรัพย์ สิ่งปลื้มใจ เพราะนั่นชื่อว่า กามฉันทะ เป็นนิวรณ์ขวางกั้นสมาธิ ฌานจึงเกิดไม่ได้ พระที่บวชมาแล้วไม่มุ่งหวังมรรคผลนิพพาน ไม่ปฏิบัติขัดเกลาตนเอง แต่มาบวชเพื่อหาเงินสะสมเงินเหมือนปุถุชน ทานที่ให้ท่านเหล่านั้นย่อมไม่มีผลมาก และพระรูปนั้นย่อมมีความโลภอยากได้ ยินดี เมื่ออยาก ยินดี ย่อมเกิดความหวงแหน ตระหนี่ จนเกิดปกป้อง การขัดแย้ง แย่งชิง คว้าท่อนฟืนอาวุธเข้าประหัตประหาร หรือทำชั่วทางกาย วาจาอย่างใดๆ นี่แหละเหตุที่จะพาลงนรก
เมื่อรู้ว่าบวชแปลว่าอะไร และจุดมุ่งหมายของการบวชเพื่ออะไร ย่อมบอกให้ญาติโยมใส่ปัจจัย ไปในตู้เฉพาะของวัด ไปเข้าบัญชีวัด เพื่อหมู่สงฆ์ เพื่อบำรุงศาสนาโดยไม่อาลัยพะวงอยากได้เพราะฝึกตามพระธรรมวินัยยินดีสลัดตัณหาในตน ต่างจากอลัชชีเปรต พึงยินดีในเงินทอง สะสมเงินปัจจัย แต่ละวันเดือนปีมีเงินสะสมในบัญชีส่วนตัวหรือฝากไว้ และแถพระธรรมวินัยอยู่ร่ำไป บวชมาแล้วหวังลาภสักการะ บวชนานทำเป็นดูดีมียศตำแหน่ง สร้างภาพ แต่คุณธรรมความรู้แจ้ง คุณวิเศษ ปฏิเวธธรรมหามีไม่ ผู้มีอภิญญาญาณเขารู้เห็นทั้งนั้นปิดไม่ได้
เรื่องรับเงินเกี่ยวกับเงินลองไปดูสิวิถีชีวิตพระวัดป่าอมราวดี ในต่างประเทศเขาทำยังงัย เขาเคร่งครัดอย่างไร
ua-cam.com/video/hJj5z4k_p6w/v-deo.htmlsi=c2tROvoJbTd8WDGl
พระรับเงิน ยินดี สะสมเงิน สะสมกิเลสตัณหา ก้อคือคนปุถุชนปกติ เพียงแอบเอาห่มผ้าเหลือง ไม่ได้มีคุณค่าอะไรทางศาสนา หลอกศรัทธาสาธุชนไปวันๆนั่นเอง
@@สมหมายใจชอบ เอาเงินใส่ตู้ พระก็เอาไปใช้อยู่ดี พระขาดสิ่งใดก็ไปสังเกตุสังกาเอาเอง แล้วก็ไปจัดหามาให้ท่าน ไม่มีน้ำปะปาไฟฟ้า มีปัญญาก็ดูแลท่านไปตามฐานะ ถ้าไม่มีก็ให้อาหารปัจจัยที่จำเป็น เหมาะสมแก่สมณสารูปถามท่านได้ ไม่ใช่สัตว์อื่น คนเหมือนกัน ไม่มีไฟฟ้าก็จุดเทียน เสนาสนะไม่ต้องสวยงามหรูหราอลังการ ไม่ต้องมีศิลปะให้สิ้นเปลือง เรียบง่ายสมถะ สันโดษ ไม่มุ่งคลุกคลี ไม่ต้องอยู่กันเป็นหมู่ยินดีเป็นหมู่ # จะต้องเสียเวลาไปเที่ยวดูกิจธุระคนอื่นให้เสียเวลาทำไม ดูใจของตนนี่แหละ ใครจะดีจะชั่ว มันเรื่องของเขา ไม่ต้องไปข่มคนอื่น ธรรมะทั้งหลาย มีไว้ขัดเกลาตน ไม่ใช่ขัดเกลาคนอื่น
แสดงว่าถ้าของอะไรที่เขาให้พระแล้ว พระรับได้หมดทุกอย่าง อย่างงั้นหรือ ถ้าเขาถวายเหล้า ยาเสพติด เงิน ปืน เมีย ลูกสาว ทาส วัว ควาย พระก็รับได้อย่างหรือ ของที่เขาให้ เราไม่ได้โขมยมาก็จริง แต่ต้องไม่ขัดกับพระวินัยด้วย ไม่ใช่จะรับได้ทุกอย่าง
ในพระไตรปิฎก แสดงโทษของภิกษุที่ละเมิดพระวินัยว่าต้องตกนรกถ้าไม่ปลงอาบัติอย่างถูกต้อง พระภิกษุห้ามรับเงินและทองหรือยินดีในเงินและทอง พระรับเงินแล้วไม่ปลงอาบัติโดยถูกต้องโดยการสละเงินทองท่ามกลางสงฆ์ เมื่อตายไป ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูงมาก
กราบนมัสการ พระคุณเจ้า เทศเข้าใจง่าย ท่านเก่งจริง
เห็นด้วยกับคอมเม้นท์...ที่..1..2..แต่พระแบบที่...บวชมาเพื่อ...ต้องการ...ลาภสักการะ...ก็มีมาก...เข่นกัน...ที่เห็นฯมามาก....คือใช้เงินเกินความ...จำเป็น...ก็เห็นพระ...หลายต่อหลายรูป...ขอบที่จะเอาเงิน...ที่ญาติโยมทำบุญ...ไปใช้ในการ...ซื้อสิ่งอำนวย...ความสะดวก ..ในการใช้ขีวิต...ประจำวันของพระ...มากเกินความจำเป็น....มีให้เห็น...เยาะแยะ...ในบางวัด ..มีความสมบูรณ์...จนถึงขนาดที่ว่า...ใช้ของที่ญาติโยม...ได้นำมาถวาย...อย่างฟุ่มเฟือย...คือ..ใช้แบบทิ้งขว้าง...ซึ่งมองดูแล้ว...เสมือนว่าของเหล่านั้น....ดูข่างมีคุณค่า...น้อยมากเหลือเกิน....แถมตัวพระเอง...ยังใช้จ่าย...เงินทองที่...คนที่เขาเอาเงิน...มาทำบุญ..../ไปใช้จ่ายส่วนตัว....ซึ่งเป็นการบำรุง...กิเลศ...ในจิตวิณญาณ...ของพระรูปนั้นฯ...ถ้าเอาเงินวัดไปใข้...ส่วนตัว...โดยที่ญาติโยม...ไม่เห็นด้วย....และพระก็คิดว่า...คนเขาใส่ตู้มาแล้ว....พระก็ชอบที่จะเอาไปใช้....แบบสบายฯ..(เอาไปใช้เรื่องส่วนตัวมากที่สุด)...แบบนี้ญาติโยมที่...ไม่ศรัทธา...ก็ไม่ค่อยที่จะ...ศรัทธา...เพราะพระ...ติดลาภ...สักการะ...มากเกินไป
พระผู้รับทำใจเป็นกลาง
ผู้รับเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ไม่บาป ไม่ตกนรก.
❤❤❤❤❤❤
ผู้ให้เจตนาอยากทำบุญ
ทรัพย์ที่ได้มาเป็นทรัพย์บริสุทธิ์ ไม่ตกนรก ไม่บาป
❤❤❤❤❤
พระอริยสงฆ์ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่มีทางล่วงละเมิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ พระวินัยห้ามภิกษุรับเงินทอง และห้ามยินดีในเงินและทอง พระโสดาบันไม่มีทางละเมิดพระวินัยนั้นเด็ดขาดเพราะท่านเคารพสูงสุดคือองค์พระบรมศาสดา
@@ธนะโชคชัยผุดสุวรรณ พระอริยะบุคคลไม่จงใจล่วงสิกขาบทหรอกน่ะ
@@Nissaranatta พระอริยะขั้นต้น พระโสดาบัน ยังทำธุรกิจค้าขายจับเงินได้ ถือเป็นการล่วงสิกขาบทไหมครับ เอ๊ะใจอะไรในจุดนี้ไหม?
@@anansathapanapong9932ถ้าท่านไม่ได้บวช ข้อห้ามนี้ก็ไม่เกี่ยวกับท่าน
@@tikki142th2 ถูกแค่ส่วนเดียวครับ พระโสดาบันจะบวชหรือไม่บวชก็คือพระครับ สิกขาบทข้อนี้ทำไมพระพุทธเจ้าต้องบัญญัติไว้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งจะเข้าใจครับ เข้าใจธรรมนะไม่ใช่ใช้ความคิดตัวเองเข้าใจ
พูดยากค่ะ สมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันค่ะ
น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ ฟังแล้ว ได้เข้าใจที่ถูกต้องแบบละเอียดมากๆเจ้าค่ะเป็นบุญจริงๆสาธุ สาธุ สาธุ
น้อมกราบบูชาโอวาทธรรมพระคุณเจ้าบรรยายลัดเจนยินดีในการให้ทาน🙏🙏🙏.❤สาธุค่ะ
สาธุจะถวายต่อไป
ขอกราบนมัสการ พระคุณเจ้า
น้อมกราบนมัสการเจ้า
ขอบคุณพระอาจารย์ที่ออกมาแถลงครับ กราบงามๆ เลยครับ
ขออนุโมทนาครับผม 🙏
พระคุณเจ้า ชัดเจนมากครับ
วินิจฉัยพระรับเงินไม่อาบัติไม่บาปข้อ 2 เมื่อท่านได้เงินมาแล้วท่านสละออกโดยไปซื้อสิ่งของช่วยเหลือญาติโยมให้เงินบิดามารดาให้เด็กวัดให้สิ่งก่อสร้างจึงถือว่าสละตลอดเวลาข้อ 2 มีจริงไม่อาบัติและไม่บาป
พระภิกษุที่จงใจละเมิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยการรับเงินทองเป็นอาจิณ และไม่ได้แสดงโทษของตนด้วยการสละเงินทั้งหมดที่รับมาในท่ามกลางสงฆ์ แต่เก็บสะสมไว้ในบัญชีธนาคารในชื่อของตัวเองแล้วอ้างว่าเอาไปสละด้วยวิธีทำบุญบริจาคช่วยเหลือญาติโยม แต่ยังมีเหลือติดบัญชีหลายล้าน อย่างนี้ไม่เรียกว่าปลงอาบัติ ยังมีโทษอยู่ ตายไปต้องลงนรกเพราะกระทำผิดพระวินัย
กราบสาธุเจ้าค่ะ
น้อมกราบสาธุสาธุสาธุเจ้าค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับ
ดูพระอาจารย์คม เป็นตัวอย่างนะครับ
น้อมกราบ อนุโมทนาสาธุ เจ้าคะ
พระพุทธองค์มิเคยตรัสบังคับให้ผู้ใดมิให้ละเมิดศีลแต่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้เห็นถึงโทษแก่ผู้ละเมิดแห่งศีล..สาธุกราบนมัสการเจ้าค่ะ..
❤สาธุสาธุสาธุค่ะ
สาธุ.สาธุ.สาธุครับ
อนุโมทนา🙏 สาธุ 🙏
สาธุ ๆ ๆ แจ่มแจ้งดีแท้ครับ
กราบกราบกราบเจ้าค่ะ สาธุอนุโมทามิเจ้าค่ะ
พุทโธ สาธุ
สาธุๆๆๆเจ้าค่ะ
สาธุๆๆ
สาธัจ้าถูดตัองแล่ว
พระอาจารย์เจ้าคะ สรุปย่อๆได้เลยเจ้าค่ะ ว่าบาปหรือไม่บาปเจ้าค่ะ
ถวายได้ แต่ห้ามถวายกับพระโดยตรง ต้องฝากไว้ที่โยมที่ดูแลพระ และพระเองก็ห้ามยินดีในตัวเงิน ยินดีได้แค่ปัจจัย 4 เท่านั้น พระร้องขอกับโยมที่ดูแลได้แค่ปัจจัย 4 เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเงิน ... ถ้าแบบนี้เป็นบุญ ผิดจากนี้เป็นบาป
@@Marioexo_Luckyถูกบางส่วน แต่ยังไม่คลอบคุม พระพุทธพจน์ไม่ได้มีเท่านี้ กรุณาค้นคว้าเพิ่มอีกนิด เกือบดีแล้วครับ
รับเงินมาสร้างวัด สาธารณ ประโยชน์ เป็นค่าใช้จ่ายของพระ ฯลฯ และพระนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของผู้ถวาย จึงเป็นการสละ ไม่ใช่สะสม ผิดพระวินัย
เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เล็กน้อย ปลงได้ ทุกวันพระใหญ่ พระที่เข้าฟังปาฏิโมกข์ ก็ต้องปลงอาบัติก่อน
เป็นอาบัติ ที่ทำผิดพระวินัย แต่ไม่บาปครับ เหมือนคนขับรถฝ่าไฟแดง ด้วยเหตุจำเป็น เช่น ไปหาหมอ ฯลฯ ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้แสดงว่าเขาเป็นคนชั่วครับ
@@papasu51 การสละเงินทองที่รับมา จะต้องสละเงินนั้นทั้งหมดท่ามกลางสงฆ์ในเวลาที่แสดงอาบัติ ไม่ใช่เก็บไว้ในบัญชีธนาคารในชื่อตัวเองและทยอยเอาไปทำบุญพอเป็นพิธี
@@papasu51 ปลงอาบัติได้ แต่ไม่ใช่จงใจละเมิดพระวินัยของพระพุทธเจ้าทุกวันๆๆ และวิธีปลงอาบัติจะต้องสละเงินนั้นท่ามกลางสงฆ์ ไม่ใช่เก็บไว้ในบัญชีธนาคารในชื่อของตัวเอง ถึงแม้จะเอาไปทยอยทำบุญ แต่ยังเหลืออีกหลายล้านหรือเป็นสิบล้านหรือร้อยล้าน ในบัญชี อย่างนี้ไม่ชื่อว่าปลงอาบัติถูกต้อง
อยากรู้จริงขอให้เข้ามาบวชจะรู้เอง
สมัยก่อน ทำไร่ทำนาหาของป่ามาดำรงชีพ เงิน ทอง ไม่ได้มีกันทุกคน สมัยนี้ ทำงาน ได้เงินเป็นค่าตอบแทน ดังนั่นเวลาให้ทาน ใส่บาตร ก็ใส่ด้วยเงิน เป็นดังนี้ครับ
สาธุสาธุสาธุ
นมัสการครับ🙏
พระองค์ก่อนปรินิพพาน ได้ตรัสว่า ขุททกสิกปทานิ ภิกขะเว มะมัสจะเยนะ สมูหะนะตุ ในกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ปราถนาก็ถอนสิกขาบทเล็กน้แยได้ บัญหาว่าเล็กน้อยคืออะไร
@@ขําพิบูลย์-ฮ3ฅ #เรื่องสิกขาบทเล็กน้อย [๖๒๐] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ชี้แจงต่อพระเถระทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า…
“ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้”
พระเถระทั้งหลายถามว่า ท่านพระอานนท์ ก็ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ท่าน พระอานนท์ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย.
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้น สังฆาทิเสส ๑๓ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย.
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ นอกนั้น เป็นสิกขาบทเล็กน้อย. พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้น สังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ นอกนั้น เป็นสิกขาบทเล็กน้อย.
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้น สังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ นอกนั้นเป็น สิกขาบทเล็กน้อย.
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิย์ปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฎิเทสนียะ ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย.
84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=7&A=7440&Z=7459
เหล่าพระอรหันต์หลายร้อยรูปที่มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎก มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ได้สรุปแล้วว่าจะไม่มีการยกเลิกแก้ไขแต่งเติมพระวินัย
เล็กน้อย.คือภิกษุอาจเอาเมียได้เพียงเล็กน้อย ไม่เกินสองสามทีต่อวัน ถ้ามากกว่านั้นถือว่าผิดวินัยสงฆ์ ..เพราะจะทำให้ไม่สามารถออกบินบาดหากินได้ในวันต่อไป😂😂😂
สมอง..สติ..ปัญญา❤❤❤
กิเลส คือ ะไร บวช เพื่อแสวงหา ความหลุดพ้น
ในวิกิพีเดีย จะมีสำนักนึง(บ้านธรรมะ) นำพระธรรมคำสอนไปใส่ไว้เยอะ ถ้าผู้มีความรู้ทางพระไตรปิฎกคอยตรวจสอบความถูกต้องจะดีมากค่ะ
เอ๋อของยัยอ.สุจินต์
ใช่มัยคะ
สาธุสาธุสาธุ
พระอาจารยพุดถุกต้องครับ
พระวินัยข้อ รับเงินทอง เป็นอาบัติ ควรยกเลิก หรือ แก้ไข เพราะข้อนี้แหละเป็นเหตุให้สงฆ์แตกเป็น ธรรมยุติ มหานิกาย อย่ามีทิฐฐิโดยไม่คำนึงถึง ความสามัคคีของหมู่สงฆ์
คุณเป็นใครถึงจะมาบอกให้ยกเลิกพุทธบัญญัติ
เหล่าพระอรหันต์ยังไม่มีใครกล้ายกเลิกเลย
ถ้าไม่เคารพในพุทธบัญญัติ ก๋ควรไปนับถือศาสนาอื่น เพราะคนที่ไม่เคารพในพระธรรมวินัย คือผู้ที่สร้างความแตกแยกในพระพุทธศาสนา
จะแก้พระวินัยได้ยังไง เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้กำหนดพระวินัย ถ้าแก้นั่นหมายถึงแก้คำสั่งของพระพุทธเจ้า คิดดู สาธุ
@@alicehohnstine7791 พระไตรปิฎกภาษาไทย สยามรัฐ พระวินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ เล่ม 7 หน้า 250
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า ดูกรอานนท์ เมื่อ เราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้
การรับเงิน ต้องใช้ปัญญา
ไม่จับก็ดี ถูกต้อง
แต่บ้างครั้งจำเป็นก็ต้องจับ
จริงมากกกก การปรับตัวให้เข้ากับบริบทสังคมปัจจุบัน เป็นสิ่งจำเป็น ทุกอย่างก็สามารถเดินหน้าได้
🙏🙏🙏พอจ. คะ ถ้ามีคำศัพท์ ขอรบกวน พอจ. แปลเป็นภาษาไทย ให้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากคะ🙏🙏🙏🙏🙏🙏
สาธุสาธุคาะ
สาธุๆๆอนุโมทามิ
อยากฟังเจ้าค่ะ
ถวายค่ารถ ค่ายารักษาโรค ค่าน้ำค่าไฟในวัด คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นค่ะ
ถวายได้ แต่ต้องถวายให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ดูคลิปที่พระคุณเจ้าอธิบายจนจบ ก่อนอื่นต้องชื่นชมว่ามีความรู้ มีหลักฐานอ้างอิง พูดเป็นธรรม พูดตามธรรมตามวินัย ซึ่งก็มีวัดที่สามารถจัดได้ทำได้ ต้องขออนุโมทนาอย่างยิ่ง ส่วนวัดที่ไม่สามารถจัดทำได้ ก็อาจมีเหตุที่ขัดข้อง เช่นไม่มีคนที่จะมาทำหน้าที่คอยดูแลเรื่อง แปรธาตุการเงินให้เป็นปัจจัย๔ เนื่องจากไม่สะดวกมีภาระมากมายส่วนต้ว สุดท้ายก็ต้องดูแลตัวเองครับ@@Nissaranatta
นิมนต์พระไปงานทำบุญ ไม่มีน้ำมันจะไปได้ไหมนิมนพระไปชวยงานฝังลูกนิมิตไม่มีน้ำมันไปได้ไม เพราะสมัยนี้กับสมัยก่อนมัต่างกัน
สมัยพระพุทธเจ้า มาจากพระมหากษัติ ได้รับความอุปถัมจากพระประยูรญาติมากมายในการสร้างวัดและการเลี้ยงดูอย่างยิ่งใหม่มากมายจึงไม่มีปัญหาในด้านปัจจัยสี่ความเป้นอยู่ ต่างจากปัจจุบันที่บิณบาตรก็แทบไม่ได้
ควรตรวจในพุทธวจนครับ
ต้องรบกวน ตรวจสอบ ใน พุทธวจน จะได้ทราบ ความจริงนะครับ สาธุๆๆ
0:34
ขอกราบนมัสการขอความคิดเห็นให้พระอาจารย์บอกชัดเจนแนเจ้าค่ะเพราะ
ว่าโยมชอบเอาเงินใส่บาตรให้พระทุกๆวีนพระพร้อมดอกบัวมีคนบอกกะบ่
เชื่อเขาว่ามันบาปแต่กะอยากทำบุญเจ้าค่ะกะย่านบาปคือกันแต่ว่าเคย
ใส่ประจำเจ้าค่ะบ่กล้าถาม
ถวายแล้วสบายใจก็จบ
กราบสาธุธรรม-///
ปัญหาโลกแตกเพราะสิ่งเหล่านี้ยังไม่มึในสมัยพุทธกาล เช่น พระนอนในทึ่นอนทำด้วยวัสดุดีๆสดวกสบายเช่นฟูกได้ไหม นั่งรถนั่งเครือ่งบินได้ไหม นอนห้องแอร์ได้ไหม ดูทีวีภาพยนต์ฟังวิทยุไดไ้ไหม เล่นมือถือคอมพิวเตอร์ได้ไหม เป็นต้น...คำถามเหล่านี้ใครจะตอบได้?
ห้ามจับต้อง กันขโมย เป็นนโยบาย
ฟันธงพระรับเงินไม่ตกนรก เพราะการมีชีวิตอยู่ต้องมีค่าใช้จ่ายนอกจากอาหารบิณทบาตร
ท่านสอนไว้ละเอียดยิ่ง คิดเอง นึกเอง ปัญญาหยั่งไม่ถึง หาฟังได้ยากมากครับกระผม
พระรับเงินไม่บาป
แต่ถ้าเอาเงินไปเล่นการพนันหรือไปซื้อเหล้าน่านบาป
เฉียบ คมมาก
เห็นมีพระที่บอกไม่จับเงิน แต่ให้โยมเอาเข้าบัญชีธนาคารให้ มีเงินในธนาคารเป็นล้าน แบบนี้เหรอพระไม่จับเงิน น่าจะเรียกว่าพยายามเลี่ยงบาลี มากกว่า
พระรับเงินทอดกฐินยอดสูงมาก
ตกนารกไม่ตกแต่หมดความก้าวหน้าไม่มักน้อยโลภมากรับมากมากสะสมกิเหลดรับมาให้ต่อให้ผู้ลำบากน้ำท่วม....ดี..แต่อย่ารับดีกว่ามันมีภาระเป็นอันตรายครอบครองแก้วแหวนเงินทอง
เห็นพระยืนถอนเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มธนาคาร ข้างๆก็มีฆราวาสเปรียบเทียบได้ระหว่างทางโลกกับทางธรรม😂
😂
@@panmobile4492อันนี้ ก็หยาบไป ควรให้ญาติสายโลหิต หรือญาติธรรมจัดการ
อยู่ที่ระดับจิตของพระว่าขั้นไหน ถ้าเป็นพระธรรมดาหรือพระบ้านก็ไม่ตกนรกอะไรหรอก ท่านต้องมีหน้าที่สร้างวัด รักษาวัด ตามหน้าที่ ที่ท่านรับหน้าที่มา ท่านเป็นฝ่ายคันธุระ ต้องจ่ายค่านำ้ ค่าไฟ ค่าสถานที่ค่ารถยานพาหนะ ส่วนพระที่ท่านปฏิบัติ ถึงขั้นอริยะบุคล ตั้งแต่โสดาบัณ ขึ้นไป เงินคืองูพิษ ที่จะทำให้จิตตกตำ่ไม่ก้าวหน้า คอยฉกกัดสารพัด จิตจะตกตำ่ลง แต่ไม่ตกนรกหรอกแค่ปาจิตตีย์ เมื่อปลงอาบัติแล้วจิตกลับมาบริสุทธิ์เหมือนดิม ก็จะปกติ ยกเว้นไปสร้างคดีทางโลก ก็ต้องรับกรรมทางโลก
พระที่ไหนมีหน้าที่สร้างวัดกันเหรอ ไม่มีหรอก พระบวชมาแล้วอาศัยข้าวจากชาวบ้านใส่บาตรให้ ต้องปฏิบัติตามมรรค 8 จึงชื่อว่าสุปฏิปันโน เป็นนายุบุญ ทานที่ให้จึงมีผลมาก ความเป็นพระสงฆ์เป็นอย่างนี้อย่างเดียว นอกนั้นไม่ใช่พระเป็นปุถุชน เป็นชาวบ้านในคราบผ้าเหลือง ถ้าทำผิดศีล 5 ก็ตกนรกเหมือนกัน อานิสงค์จากการบวชแบบนี้ ไม่มี ทานที่ให้ท่านเหล่านี้ไม่มีผลมาก
วินิจฉัยข้อ 3แม้พระภิกษุสงฆ์จะถือเงินไว้กับตัวแต่มันมีเวลารอการสละตลอดเวลาหมายถึงเงินนั้นจะต้องสละตลอดเวลาในการเดินทางหรือใช้จ่ายถือว่าไม่อาบัติเพราะมีเจตนาจะสละตลอดเวลามิได้เก็บไว้
เจริญพร..โยมเรียนมาจากสำนักไหน ใครเป็นอาจารย์ของโยม
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
ผมเห็นพระนอนห้องแอร์ บ้านผมไม่มีแอร์ครับ ผมเห็นพระมีทีวีสี สเตอริโอ บ้านผมไม่มีครับ ผมเห็นหมาวัดยังกินดีกว่าผมอีกครับ (ผมอายุ 12 ขวบ) พูดตามที่ผมเห็นครับ
เข้ามาบวชครับ ช่วงนี้หาคนบวชยาก
บวชฟรีเลยมีหลายแห่ง
จะมีศิลข้อ 10ทำไม ควรให้ผู้อุปฐากรับ เก็บรักษาแทน
ฉันไม่มีคำพูดแย้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่พระรับเงิน--
มันยากที่จะฟันธงว่าผิดหรือไม่ผิด-
ก็ไม่รู้จะทำยังไงในการนี้คือรับเงิน-น่าจะยุคสมัยเปลี่ยนไป
พุทธองค์กล่าวไว้...ให้รับโดยไวยาวัจกรณ์น่ะ -.-.-.มิให้โดยตรงต่อภิกษุ--
พระภิกษุที่ฉลาดในธรรมวินัยและฉลาดในใจ มองกิเลสจัดการกิเลสให้อยู่ในอำนาจของจิตได้แล้ว ไม่มีอะ ไรต้องกังวลหรือเป็นห่วงใดๆ
ดูคำอธิบายทุกสิกขาบทพระวินัยพระให้ละเอียด. จึงควรพูด ....เดา....ผิดได้ทุกคน
ไม่รับเงิน แต่ยินดี ในเงินมูลนิธิที่พวกตนตั้ง ก็มหาอาบัติ หนักกว่า พระรับเงิน😂
😂😂😂😂😂😂😂
😂😂😂😂😂😂😂
❤
ยุคสมัยเปลื่ยน.พระก็ต้องปรับตัว.ยุคนี้ค่านำ้.ค่าไฟ.ค่าหนังสือเรียนพระก็ต้องจ่ายครับบิ่งพระที่ไม่มียศก็อาศัยที่โยมถวายนี่เหละมาจ่าย
ผู้ที่บัญญัติ สิกขาบทและถอดถอนสิกขาบทมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ธรรมวินัยไม่จำกัดกาล มีแต่ประพฤติตามกับไม่ประพฤติตาม ปฏิบัติไม่ได้เราก็แค่ยอมรับ ว่าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
ผิดวินัย มีไวยาวัจกรดูแลได้
การมีไวยาวัจกรบางทีก็เป็นสมัยก่อนการเดินทางต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก
วัดไหนเขาต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟทั้งนั้น แต่ทำไมพระจะต้องไปทำหน้าที่ตรงนี้มันใช่หน้าที่พระหรือ ฆราวาสเหมาะกว่ามั้งครับ
@@เปรียบดั่งจันทราก็เอาเงินจากฆารวาสที่ทำบุญนั้นแหละครับมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ
ໃຜຈະກ້າໄປບອກພະ ພະນັ້ນແລະຄວນຈະບອກຊາວບ້ານທຳແບບນີ້ດີ ທຳແບບນີ້ໄມ່ດີ ຊາວບ້ານໄມ່ຮູ້ວິນັຍ ທຳຕາມຊາວບ້ານ ວ່າເປັນປະເພນີ
ຶເວລາຖວາຍປັດຈັຍພະຮູ້ວ່າເປັນເງີນ ຖ້າໄມ່ຢາກອາບັດກໍປະກາດໄມ່ຮັບເງິນ
เก่งๆกันทั้งนั้น ไปใหนก็เดินเอานะ ใช้ตะเกียง กินข้าวใช้มือเปิบ ห่มผ้าบังสุกุลก็แล้วกัน
เขาไม่ยกข้อวินัยโดยตรง คือภิกษุรับเองก็ดีให้ผู้อื่นรับก็ดีไว้เผื่อตนต้องอาบัตินิสคีย์ปาจิตตีย์ครับ
😮
รับปัจจัยไม่น่าร้ายแรงเท่าพระสะสม
เรื่องพระกับเรื่องเงินยุค2024 ต้องปรับตามกาลสมัย เพราะเหตุจำเป็น อย่าเคร่งจนเกินเหตุโดยอ้างพระธรรมวินัย แต่มิได้ชี้ช่อง ให้อรัชชีที่แฝงมาในรูปพระนะ
อลัชชี ครับ
พวกเขาถือว่าคำสอนของพุทธะ เป็นอะกาลิโก ไม่ต้องเปลี่ยน😊
ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุผู้เป็นสุปฏิปันโน จะมินำเอาวินัยบัญญัติ มาแสดงแก่อุบาสกและอุบาสิกาเลย เพราะเป็นเรื่องของสงฆ์ มิใช่กิจของสงฆ์ที่จะต้องสาธยายแก่อุบาสก-อุบาสิกา แต่อย่างใด การแสดงธรรมสมควรแก่ธรรม ที่พระศาสดาแสดงไว้ดังนี้
ข้อ 1 ปลดเปลื้องความเขลาหรือความมืดมัว
ข้อ 2 ปลดเปลื้องความประมาท
ข้อ 3 ปลดเปลื้องความเกียจคร้าน
ข้อ 4 การปฏิบัติตนให้เกิดอานิสงส์สัมฤทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป ตามสมควรแก่สติปัญญาของผู้ฟัง
ถ้าพระภิกษุไม่แสดงเรื่องพระวินัยให้ญาติโยมเข้าใจแล้วญาติโยมจะปฏิบัติต่อพระภิกษุให้ถูกต้องได้อย่างไรกัน พระก็ต้องเกี่ยวข้องด้วยกับโยม มีพระวินัยหลายข้อที่เกี่ยวเนื่องกับโยม เรื่องรับประเคน เรื่องสิ่งที่ควรถวายเช่นเนื้อดิบ เนื้อต้องห้าม การทำกัปปิยะ เรื่องการปวารณา เรื่องการแสดงธรรมในเสขียวัตร เรื่องน้ำปานะ เรื่องเงินทอง เป็นต้น ในพุทธกาลญาติโยมก็ทราบสิกขาบทของพระทั้งนั้น จึงได้มีการปฏิบัติกับพระภิกษุได้ถูกต้อง และภิกษุรูปใดประพฤติไม่ถูกต้อง โยมก็จะตำหนิพระภิกษุรูปนั้นๆ หรือการตำหนิของอุบาสกอุบาสิกา ก็เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท น่าเศร้าใจนักที่ปัจจุบันมีคนคิดอย่างนี้กันเยอะ แม้แต่ภิกษุเอง กลัวว่าทำผิดแล้วโยมจะรู้ หรืออย่างไรกัน .
ถ้าญาติโยมเข้าใจพระวินัย พระก็จะได้ไม่ต้องอาบัติ น่าจะดีเสียอีกน่ะ .
ธรรมและวินัยที่ภิกษุเปิดเผยจำแนกแสดงอยู่แล จึงรุ่งเรือง ปกปิดไว้หารุ่งเรืองไม่.
พระ2567ปีที่แล้วไม่รับเงิน
ปาราชิก
กรานมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะสาธุๆๆๆ
🙏🙏🙏🧎♂️
ครั้งหนึ่งโยมใส่บารต์วันตายของมารดาจึงูฃองถวายพระโดยไม่รู้ว่าจะบาปแต่พระท่าน🎉😢😢 คืนเงินกลัมมาและท่านบอกว่าอาตมารับแล้วแต่ต😢
ทุกวันนี้แยกไม่ออกเลยพระ,ฆราวาส
ขาดการศึกษา,
ทำไมไม่เอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอ้างอิง ไม่ควรเอาอรรถกถามาอ้าง เพราะไม่ใช่คำสอนของพระองค์ แต่เป็นคำสอนของคนอื่น
#คัมภีร์อรรถกถาและฎีกา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาไว้ ๓ ประการ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ใน ๓ ประการนั้น ปริยัติเป็นปัจจัยแก่ปฏิบัติ, ปฏิบัติเป็นปัจจัยแก่ปฏิเวธ อันได้แก่ มรรค ผล นิพพาน โดยเปรียบได้ดังนี้คือ ปริยัติเปรียบเหมือนแผนที่, ปฏิบัติเปรียบเหมือนการเดินทาง, ปฏิเวธเปรียบเหมือนจุดหมายที่ต้องการจะไป ฉะนั้นปริยัติจึงนับว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นรากฐานแห่งการปฏิบัติ และการบรรลุมรรค ผล นิพพาน
ปริยัติ คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น ๓ หมวดใหญ่เรียกว่า “พระไตร ปิฎก” ในพระไตรปิฎกนั้นบางเรื่องบางตอนมีเนื้อความละเอียดลึกซึ้งเข้าใจยาก ต้องอาศัยผู้รู้ช่วยอธิบายขยายความจึงจะเข้าใจ
ในสมัยพุทธกาล พระศาสดาทรงอธิบายขยายความเองบ้าง พระสาวกองค์สำคัญๆ ที่แตกฉานในพระธรรมวินัย เช่น พระสารีบุตรเถระ พระมหากัจจายนเถระ พระอุบาลีเถระเป็นต้น ได้ช่วยอธิบายพระพุทธพจน์บ้าง คำอธิบายเหล่านี้เรียกว่า “อรรถกถา” มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ดังมีคำที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ธัมมสังคณีอนุฎีกาว่า “อรรถกถานี้มีปรากฏอยู่แม้ในกาลที่พระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์อยู่ รู้กันว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงอรรถกถาเหมือนพระบาฬี” (อภิ. อนุฎีกา. ๑/๑๓). อรรถกถาที่ปรากฏในสมัยพุทธกาลนั้นมี ๒ ประเภท คือ
๑. พุทธสังวัณณิตอรรถกถา ได้แก่ อรรถกถาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอง เรียกว่า ปกิณกเทศนาบ้าง ดังมีคำที่กล่าวไว้ในทีฆนิกาย สีลักขันธวรรคฎีกาว่า “แท้จริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสลำดับอรรถสังวรรณนาแห่งพระไตรปิฎกเอง หลังจากนั้นพระสาวกทั้งหลายจึงแสดง” (ที. สี. ฏีกา. ๑/๓๑).
๒. อนุพุทธสังวัณณิตอรรถกถา หรือสาวกสังวัณณิตอรรถกถา ได้แก่ อรรถกถาที่พระ มหาเถระทั้งหลายมีพระอัครสาวก เป็นต้น พรรณนาไว้ (ที. สี. อ. ๑/๑).
อรรถกถาเหล่านี้ได้รับการสังคายนาทั้ง ๓ ครั้ง (คือครั้งที่ ๑-๒-๓) หลังจากสังคายนาครั้งที่ ๓ ประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ พระมหินทเถระได้นำไปประดิษฐาน ณ เกาะลังกา พร้อมกับพระไตรปิฎก ภายหลังมีการแปลเป็นภาษาสิงหล (ลังกา) และภาษาอื่น ดังมีคำที่กล่าวไว้ทีฆนิกาย อรรถกถา ว่า -
อรรถกถาใดอันพระอรหันต์ ๕๐๐ สังคายนาแล้วแต่ต้น (ครั้งแรก) และสังคายนาต่อมา เพื่อประกาศเนื้อความของทีฆนิกาย ซึ่งกำหนดหมายไว้ด้วยสูตรขนาดยาว ละเอียดลออ ประเสริฐกว่านิกายอื่น ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกสังวรรณนาไว้ มีคุณค่าในการปลูกฝังศรัทธา แต่ภายหลังพระมหินทเถระนำมายังเกาะสิงหล ต่อมาได้เรียบเรียงด้วยภาษาสิงหลเพื่อประโยชน์แก่ชาวสิงหลทั้งหลาย
ต่อจากนั้น ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆสาจารย์) จึงแปลภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ ถูกต้องตามหลักภาษา ไม่ผิดเพี้ยนอักขรสมัยของพระเถระคณะมหาวิหาร ผู้เป็นประทีปแห่งเถรวงศ์ ที่วินิจฉัยไว้ละเอียดลออ จะตัดข้อความที่ซ้ำซ้อนออกแล้วประกาศเนื้อความ เพื่อความชื่นชมยินดีของสาธุชน และเพื่อความยั่งยืนของพระธรรม (ที. สี. อ. ๑/๑).
ฉะนั้น อรรถกถาที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั้นจึงนับว่าเป็นโปราณอรรถกถา (อรรถกถาเก่าแก่) หรือปุพพอรรถกถา (อรรถกถาสมัยก่อน)
โปราณอรรถกถา หรือปุพพอรรถกถา มีชื่อปรากฏ ดังนี้
๑. มูลอรรถกถา หรือสีหฬัฏฐกถา
๒. มหาอรรถกถา
๓. มหาปัจจรีอรรถกถา
๔. กุรุนทีอรรถกถา
๕. อันธกอรรถกถา
๖. สังเขปอรรถกถา
๗. จูฬปัจจรีอรรถกถา
๘ อริยอรรถกถา
๙. ปันนวาระ
ต่อมาประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ เศษ ได้เกิดพระอรรถกถาจารย์ที่สำคัญหลายรูป เช่น พระพุทธโฆสาจารย์ พระพุทธทัตตะ พระธัมมปาละ พระอุปเสนะ และพระมหานามะ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ได้รจนาคัมภีร์อรรถกถาไว้เป็นจำนวนมาก โดยอาศัยโปราณอรรถกถาเหล่านั้น ซึ่งเป็นการปริวรรตจากภาษาสิงหลกลับมาเป็นภาษามคธบ้าง รวบรวมและเรียบเรียงใหม่บ้าง ฉะนั้น จึงเรียกว่า อภินวอรรถกถา (อรรถกถาใหม่) หรือสังคหอรรถกถา (อรรถกถาที่เกิดจากการรวบรวม) และได้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีชื่อปรากฏดังนี้
อรรถกถาพระวินัยปิฎก เช่น สมันตปาสาทิกา, กังขาวิตรณี, วินยสังคหะ เป็นต้น
อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก เช่น สุมังคลวิลาสินี, ปปัญจสูทนี, สารัตถัปปกาสินี เป็นต้น
อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก ได้แก่ อัฏฐสาลินี, สัมโมหวิโนทนี, ปัญจปกรณ์
สมัยต่อมา พระเถระผู้มีความเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งหลาย ได้รจนาคัมภีร์ฎีกาอธิบายอรรถกถาตรงที่ยากๆ อีกทอดหนึ่ง เช่น คัมภีร์สารัตถทีปนีฎีกา เป็นต้น
บางคนเข้าใจว่า อรรถกถาเป็นคำที่พระเถระสมัยหลังแต่งขึ้น จึงปฏิเสธอรรถกถา บางคนก็กล่าวว่าพระพุทธโฆสาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นผู้แต่งอรรถกถา ความจริง ท่านเพียงแต่เป็นผู้แปลจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ และรวบรวมเรียบเรียงใหม่เท่านั้น ซึ่งท่านได้ชี้แจงไว้แล้ว ดังคำที่กล่าวข้างต้น
ผู้ที่ปฏิเสธอรรถกถาอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ คือ
๑. ดูอรรถกถาไม่เป็น หรือใช้อรรถกถาไม่เป็น
๒. รู้สึกว่ามากไป เรียนไม่ไหว เอาแค่พระไตรปิฎกก็พอ
๓. ไม่ได้ศึกษาปริยัติอย่างเป็นระบบ แต่ใช้วิธีเรียนลัดแล้วสำคัญตัวว่าเป็นผู้รู้
๔. ต้องการจะอธิบายพระพุทธพจน์เอง โดยเห็นอรรถกถาเป็นอุปสรรคในการอธิบายของตน เพราะตนเองอธิบายไม่ตรงกับอรรถกถา
๕. มีโมหาคติ คือ มีอคติเพราะความเขลา
@@watkhaosanamchai /ภิกษุที่เกิดมาภายหลัง เอาอำนาจอะไรมาอธิบายความคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระองค์ตรัสแล้วว่า คำสอนของพระองค์นั้น สมบูรณ์ บริสุทธิ์ สิ้นเชิง การอธิบายความ หรือแต่งคำสอนเข้ามาเพิ่มตามความเห็นของตน ย่อมไม่ถูกต้อง ซึ่งพระองค์ตรัสห้ามไว้แล้ว ทำให้คำสอนอันบริสุทธิ์ถูกปรุงแต่บิดเบือน
พระ ท่านไม่แตกฉานเรื่องจุลศีล จึง มั่ว
กว่าจะตอบได้...ร่ายยาวเหลือเกิน...
เงินทองไม่รับ ใบปวารณารับ "เงินที่เขาถวายมาในใบปวารณาไวยาวัจกรณ์เก็บไว้"อย่างนี้จะผิดไหมครับ "ผิดถูก"อย่างไร พระอาจารย์ช่วยอธิบายทีครับ
เงินและทองมีสิกขาบทห้ามอยู่แล้ว ส่วนใบปวารณา ไม่ใช่เงิน ทอง กหาปนะ มาสก เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ยืนยันแทนคำพูด ว่าโยมเขามีการปวารณาสิ่งของที่สมควรไว้เท่ามูลค่าเท่านี้ เท่านั้น และเราไม่สามารถที่จะเอาใบปวารณาไปซื้อสิ่งของอะไรได้ แม้แต่เราจะแจ้งไวยาวัจจกรว่า อาตมาต้องการเงินที่โยมเขาปวารณาไว้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ปวารณาเงินไว้ เขาปวารณาถวายสิ่งของที่สมควรเท่ามูลค่าที่ได้แจ้งไว้เท่านั้น.
แต่ก็ต้องดูตอนที่โยมปวารณาด้วยว่าเขาพูดอย่างไร พูดถูกต้องหรือไม่ ถ้าเขาถวายเงินแก่เรา แล้วเราบอกว่าให้เอาไปให้ไวยาวัจกรหรือคนนี้ คนนั้น อันนี้ก็ไม่พ้นจากอาบัติ เพราะยินดีเงินและทองที่เขาเก็บไว้ให้ ถ้าโยมเอาเงินมาถวายพระ พระจะต้องปฏิเสธอย่างเดียว ห้ามบอกว่าเอาไปให้คนนั้น คนนี้ จะใส่ย่าม ใส่ซองอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น.
@@watkhaosanamchai อย่างกรณีพระหลายรูปไปกิจนิมนต์เช่น งานขึ้นบ้านใหม่,งานแต่ง,งานศพ เป็นต้น เจ้าของงานนิมนต์ในที่นั้นถวายปัจจัย(เงิน)โดยผ่านใบปวารณาเจาะจงว่าถวายพระคุณเจ้ารูปนั้นเท่านั้น พระคุณเจ้ารูปนี้เท่านี้ โดยเงินนั้นถูกเก็บโดยโยมอุปัฏฐากหรือไวยาวัจกรณ์ กรณีนี้พระรับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้พระที่ไปกิจนินมต์หลายรูปด้วยกัน รูปใดรูปหนึ่งควรจะกล่าวออกไปไหมว่า โยมอย่าถวายปัจจัย(เงิน)ให้พระ
:อีกประการหนึ่งการถวายปัจจัย(เงิน)โดยผ่านใบปวารณาให้พระปัจจุบันมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ โยมถวายอย่างไร พระรับอย่างไรใช้อย่างไรเป็นอาบัติ,โยมถวายอย่างไรพระรับอย่างไรใช้อย่างไรไม่เป็นอาบัติ พระอาจารย์กรุณายกตัวอย่างให้รู้แต่พอสังเขป เพื่อจะนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมในโอกาสต่อไปด้วยครับ ขอบพระคุณครับ
มีกี่รูปเข้าบ้านไม่ใส่รองเท้า คนพูดเองอย่าบอกนะว่าไม่ใส่
@@รันต์กันยาทอง ภิกษุสามเณรทุกรูปในวัดนี้ เมื่อเข้าสู่ละแวกบ้าน เว้นผู้อาพาธ ไม่มีรูปใดใส่รองเท้าเข้าไปในละแวกบ้าน
พระวินัยมุก ระบุไว้ชัดเจนห้ามไม่ให้พระรับเงินรับทองอาบัติมิจคีปาจิตติ
เรื่องเล็กน
มหาปเทศ 4 ไง พระต้องอนุวัติตามกาล
มหาปเทศจะใช้ในสิ่งที่ไม่มีสิกขาบทบัญญัติ ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทุกเรื่อง
@@Nissaranattaทบทวนหลักกาลามสูตรเพิ่มบ้างก็จะดี วิเคราะห์เชิงลึก อาจได้วิสัยทัศน์กว้างขึ้น
ไม่รับเงินจะไปรับอะไร พระขึ้นรถก็เสียเงินไม่เสียเงินเขาไม่ให้ขึ้น
ไม่ต้องถามพระหรอกถามผมเลยขอตอบว่าพระรับเงินไม่ตกนรกเพราะนรกก็ไม่มีพระรับเงินน่ะรวยทุกรายดูไชยบรูณวัดธรรมกายเป็นตัวอย่างรวบระดับไหนะยอมก็รวยขนาดไหนเป็นเจ้าของกิจการตลาดสดเป็นเจ้าของ รง.เฟอร์เจอร์เป็นเจ้าของเรือกสวนไร่นาอยู่สุขสบาย
รับรึไม่รับไม่เอามาเป็นประมาณ.อยู่ที่จิตของผู้เป็นพระว่าเอามาเพื่ออะไร.ซื้อยารักษาตนใช้เดินทางนั้นจำเป็น.
จิตเป็นกุศลหรืออกุศล ก็ต้องอาบัติ
@@chandadhammophikkhu4699อาบัติ กับ บาป เป็นคนละเรื่องกันครับ
ถ้าไม่มีเงินเจ็บป่วยทำยังไง
ไม่รับเงินโบสถ์ศาลาเอามาจากไหน
พระไม่จำเป็นที่ต้องรับเงินมาสร้างเอง
ไม่ตกนรกหลอก การถวายปัญมันงา่ยกว่าอย่างอื่นเพราะเป็นเล็กไม่หนักมันง่ายดีสดวก
สมัยก่อนกาลกะสมัยนี้.มันเปลี่ยน.เช่นสมัยก่อนมีรถใหม.มีเครื่องบินใหม.ไปใหนๆท่านเดินเอา.
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !
น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
โย สาโร, โส ฐสฺสติ
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.
อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖.
คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใด ๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่
ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.
ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.