Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
30 ปี The Shawshank Redemption ตำนานหนังล้มเหลวที่ดีที่สุด ua-cam.com/video/VgbP0YrxT1w/v-deo.htmlsi=BRpg34rj_T5raLkw
ในมุมผม นักแสดงที่สุดยอดคือ คนที่เข้าและออกบทบาทได้ตลอดเวลา คนที่ทำได้แบบนี้น่ายกย่องมากกว่าครับ เข่น จอนนี่เดป ที่สามารถเป็น สแปร์โร่ได้ทุกเมื่อ ลุงจาตุรงค์ที่เป็น พี่แสบ ได้ตลอดตามที่ต้องการ และอีกหลายๆคนที่ไม่ได้ยกตัวอย่าง
ถ้าเข้าง่ายแล้วออกง่ายแสดงว่ายังเข้าลึกไม่พอน่ะครับ 555555 😂
แรกๆ และ อาจจนถึงทุกวันนี้ เดป ยังเผลอ เปน สแปโรว์ เสมอมาครับ ลองสังเกตุ จริต หนังทุกเรื่องต่อจาก ไพเรท ดูครับส่วน จาตุรง คล้าย แครี่ ครับ คือ ถ้าเรื่อง ตลก เสียง หน้าตา แก สร้างสรรค์ ในแบบฉบับตัวเอง ได้เทพ ทั้งสองคน
2 เรื่องที่คุณพูดมา มันออกแนวตลกผจญภัย อีกอันก็ตลกไปเลย ต่างจากคนที่รับบทเป็นโจ๊กเกอร์ที่ จิต วิปลาสเอาแน่เอานอนไม่ได้ สรุปก็คือคุณจะเอา 2 เรื่องนั้นมาเทียบกับ เรื่อง โจ๊กเกอร์ไม่ได้ เทียบกันไม่ได้หรอกครับ
ถูกต้องครับ ถ้าต้องmethodแล้วทำให้ครอื่นลำบาก หรือพึ่งพาคนอื่น ผมว่าก็งั้นๆอ่ะครับ
@@GhoulLcf-u4yเค้าเรียกมืออาชีพครับ เค้าไม่ได้ไม่เข้าถึงบท เค้าสามารถคุมตัวเองได้ ไม่บ้าไปกับบท เป็นตัวละครนั้นๆแค่ตอนถ่าย ถ่ายเสร็จก็จบ
ผมว่าmethod มันดูเป็น วิธีการ ที่เป็นขั้นตอนที่ เรียบง่ายกว่าแต่ก็เห็นด้วยกับ มาติน ว่า สุดท้าย นักแสดงที่เก่งๆจริงๆต้อง สามารถแสดงบทนั้นได้ อย่างถ่องแท้ และต้องสามารถทำงานรว่มกับทีมงานได้อย่างดี ถึงควรจะเป็นนักแสดงที่น่ายกย่อง
ผมว่าฟิวมันเหมือนร่างทรงเบียวเป็นตัวละครนั้นๆ เห็นหลายๆเคสเบียวจนหลอนไปก่อกวนทีมงานหรือนักแสดงท่านอื่นแบบนี้ก็ไม่โอเค นักแสดงหลายๆท่านที่ไม่ได้ใช้เทคนิคร่างทรงเขายังได้รางวัลเลย แต่อย่างว่าแหละสไตล์ใครสไตล์มัน ถ้านักแสดงคนนั้นๆทำตัวแย่มากจริงเดี๋ยวก็โดนแบนกันไปเองนั้นล่ะครับ
“นักแสดง“ ชื่อก็บอกอยู่ว่า‘แสดง’ เข้าบทเดินกล้องก็เริ่มแสดง สั่งคัทออกจากกล้องก็กลับมาเป็นตัวเอง ใส่หัวโขนก็กลายเป็นยักษ์เป็นลิง ถอดโขนก็กลับมาเป็นคนปกติ สมัยเรียนอาจารย์สอนผมว่าตอนทำงานก็ทำหน้าที่ตัวเอง พอเลิกงานก็กลับมาทำหน้าที่พ่อ/ลูก ที่ดีกชับครอบครับ ไม่ใช่แบกพาระงานกลับมาบ้านด้วย คนใกล้ชิดจะไม่มีความสุข
เห็นด้วยกับชาร์ลีซ เธรอน , แมด มิคเคนเซ่น และ โรเบิร์ต แพททินสัน ครับ 👍
เห็นด้วยกับบิลโบ้ ไม่เห็นต้องอินจนคนอื่นเขาเดือดร้อนขนาดนั้น
ถ้าป๋าแมดเป็นสายMethod แล้วแสดงฉากตีไข่เจมส์บอน ไม่อยากจะคิดเลยว่าเป็นไง 55555
จุกขี้แตก😂
อื่ม...จตุรงค์+โก๊ะตี๋+น้าค่อม แทบไม่ต้องใช้ Method Acting ... สั่ง Action เมื่อไร เข้า Modeฮา ได้ทันที!!!
นี่ขนาดขาดคริสเตียน เบลไปนะ คนนี้ก็สุดเหมือนกัน แต่มันทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง แบบที่มาร์ตินพูดน่ะถูกต้องเลย
ออกง่ายก็ดีไป แต่ถ้าเข้าแล้วไม่ยอมออก หรือออกยาก ทีมงานเหนื่อย คนรอบตัวเหนื่อย พูดตรงๆ ก็ผู้ป่วยจิตเวชดีๆ นี่เอง
ในเรื่อง Man On the Moonถ้าจะบอกว่า Jim Carrey สวมวิญญาณ Andy Kaufman ก็คงไม่ถูกนักจากปากคำของ Jerry Lawler นักมวยปล้ำที่เคยร่วมงานกับ Kaufman (และได้แสดงในภาพยนตร์ด้วย)เขาบอกว่า Kaufman เวลาอยู่หน้ากล้อง เขาก็จะกวนประสาทใส่คนดู เป็นบุคคลน่าเตะก้นที่สุดคนนึงแต่เวลาหลังกล้อง Kaufman สุภาพมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เรียกเขาว่า Mr. Lawler ทุกคำ เวลาจะทำอะไร จะปรึกษาก่อนเสมอว่าทำแบบนี้ดีมั้ยแบบนั้นดีมั้ยซึ่งเขาเข้าใจว่า Kaufman น่าจะทำแบบนั้นกับเพื่อนๆในกองถ่ายทุกคนเพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่า Jim Carrey สวมวิญญาณ Kaufman ในการแสดง Lawler บอกว่า ไม่จริงเลย Kaufman ไม่ได้เป็นคนแบบนี้เขารู้ เพราะเขาได้รู้จักกับ Kaufman ในชีวิตจริง ในขณะที่ Carrey ไม่เคยเจอ Kaufman มาก่อนเลย Carrey คิดไปเองทั้งนั้นปัญหาของ Jim Carrey คือเขาเลือกที่จะเป็น Kaufman เวอร์ชั่นหน้ากล้องตลอดเวลาที่อยู่ในกองถ่าย แกล้งคนอื่นไปทั่วมันทำให้ทำงานด้วยยากโดยเฉพาะกับความจริงที่ว่า นักแสดงเกือบทุกคนในกองถ่าย รู้จักกับ Kaufman มาก่อน รู้ดีว่า Kaufman เป็นคนยังไงแต่ Jim Carrey ที่แสดงเป็น Kaufman กลับเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเจอ Kaufman มาก่อนมาทำตัวไม่เหมือน Kaufman เลย แต่มาบอกว่าตัวเองเป็น Kaufman ... มันไม่ใช่
ขอบคุณมากๆสำหรับคอนเท้นดีๆครับพี่จีนด้านความรู้เรื่องภาพยนตร์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ผมได้มาจากการติดตามช่องพี่จีนมานานมากๆ
จะเล่นบทฆาตกร จำเป็นต้องไปเรียนรู้การฆ่าคนด้วยมั้ย ผมว่าไม่นะ
จำเปนครับไม่งั้นไม่เข้าถึงบท
ต้องเรียนรู้สิครับ แต่แค่เรียนรู้การฆ่าคนมันยังไม่ใช่ Method Acting มันเป็นการทำความเข้าใจบทเฉยๆ ซึ่งก็ควรทำ
นี่อาจจะเป็นวิธีการที่จับพวก ร่างทรง ไปอยู่ให้ถูกที่รึปล่าว เลยได้สุดยอดผลงาน❤
ชารีสเทอรอน แต่ละเรื่องแสดงได้แตกต่างกันมาก แต่จิมแครี่ ไม่ว่าจะในเมทอดแอ็คตอิง ก็เป็นจิมแครี่คนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
คิด เหมือน กัน เห็น ทุกเรื่อง จิม มันก็แค่ โอเวอร์ แอคติ้ง+เล่นหน้า เล่น ตา และ ตั้งแต่มาคิด แบบ นีี้ มันทำให้กลับไปดูหนังเก่าๆ ที่คนนี้แสดง ไม่สนุก อีก เลย
ชอบคลิปแบบนี้มากครับพี่จีน ขออีกครับ
อย่าบอกว่าวาคินฟินนิกไม่ดีพอในภาค2 การวางเรื่องต่างหากที่มีผลกับบทบาทที่เขาได้รับ
บางคนทำเพื่ออยากกดคนในกองถ่าย ให้ตัวเองเหมือนพระเเจ้า
แกทุ่มเทมาก ๆ ❤
8:29 คนทำงานและเด็กการแสดง เริ่มตรงนี้ได้เลยลูก
ขออนุญาตแชร์จากที่เคยสอบถามคนที่เรียน-สอนการแสดง เค้าบอกว่า method acting มันเป็นวิธีที่ใช้เมื่อคุณไม่มี identity ตัวเองชัดเจนให้กลับมาหา กล่าวคือ ถ้าเรารู้ว่าตัวเราเป็นใคร ตัวละครที่เราเล่นเป็นใคร พอเราหยุดเป็นตัวละครนั้นแล้ว เราจะกลับไปหาตัวเองได้ แต่คนที่ใช้วิธี method acting คืออาจจะไม่รู้จักตัวเองดีพอ หรือมีปัญหาบางอย่าง เลยต้องใช้วิธีนี้มาช่วยให้ตัวเองอยู่กับตัวละครตลอดเวลาแทน
อย่างไรก็ตาม method acting จะปรากฏต่อนักแสดงสายนี้ได้ขึ้นอยู่กับบทบาทที่อ้างอิงจากการมีอยู่ของตัวละครนั้น ฉนั้นไม่ควรมอบบทบาทนี้ให้พวกเขา (ให้ไปแสดงเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ปุยเมฆ รูปภาพในกรอบ จบปิ๊ง😁😁)
อยากรู้ว่าที่ นิโคลัส เคจ เล่นในเรื่อง นิคเคจ เรียกเมดธอดไหมครับ เพราะเป็นตัวเองตลอดเวลาเลย
ดีมาก...
เราต้องแยกประเด็นก่อน ว่าเรื่องหลัก การแสดงคืองาน วิธีการทำงานจะเป็นยังไง ก็ต้องไปดูผลลัพธ์ แต่ถ้าสุดท้าย ผลลัพธ์ที่ได้มันดี เราจะชมได้อย่างเต็มปากมั้ย ถ้าเพื่อนร่วมงานต้องมารับอารมณ์ รับความเครียด รับภาระที่ไม่จำเป็น การเม็ดแตท เอ้ย เมทตอทมันก็คือวิธีการทำงานรูปแบบหนึ่ง แล้วถ้าผลลัพธ์คนที่ใช้กับไม่ใช้ ประสบความสำเร็จเหมือนกัน ได้ออสการ์เหมือนกัน ใครเก่งกว่า ถ้าในความคิดผม คนที่เป็นนักแสดงมืออาชีพ เก่งกว่าครับ เก่งกว่ามากเลยด้วย จะมาพูดง่ายๆว่าวิธีการใครวิธีการมันไม่ได้ "นักแสดง" มันตรงความหมายอยู่แล้ว มันต้องมีความเป็นมืออาชีพ แต่ถ้าเป็นนักแสดงที่สร้างภาระให้คนอื่น ก็คือนักแสดง แค่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ งั้นก็วนกลับไป ถ้าคุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่เลือกไม่ได้ ต้องปรนนิบัติเพราะต้ำต้อยกว่า คุณคิดว่าทั้ง 2 คนที่ใช้วิธีการทำงานต่างกัน และประสบความสำเร็จเหมือนกัน คุณคิดว่าใครเก่งกว่า ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้ร่วมงาน คุณอาจะเลือกตอบใครก็ได้ ก็คุณไม่ได้เป็นผู้ประสบภัย เอ้ย เหตุ แต่ถ้าเป็นคนในวงการเค้าตอบเป็นเสียงเดียวกันอยู่แล้วครับ
ส่วนตัวผมเห็นด้วยเหมือนที่ป๋า Mads พูดครับ เข้าถึงบทบาทอย่างถ่องแท้น่ะมันดีครับ แต่ถ้าคัทแล้วมันก็ต้องกลับมาอยู่ในโลกจริงได้ด้วย ไม่ใช่ยังคงบทบาทนั้นไว้แล้วทำให้ลำบากคนอื่น อย่างนี้ไม่เรียกเก่งหรอกครับ เขาเรียกว่าไม่รับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่า ลองคิดกลับกัน ถ้านักแสดงคนนั้นพร้อมสวมบทบาทได้เมื่ออยู่ในฉาก เล่นถึงรสถึงชาติในบทได้อย่างเข้มข้น และพร้อมถอดหัวโขนของบทบาทนั้นๆ ได้ทุกเมื่อหาก ผกก. สั่งคัท อย่างนี้สิที่เรียกว่าเก่งจริง
ผมว่ามันคล้ายกับการให้คนทำโอที แล้วคนยกย่องว่าเป็นสิ่งที่ดี ทำงานหนัก ตรรกกะแปลกๆแบบนี้มีอีกหลายอย่างในสังคมคน
ภาระ ผู้กำกับ โดนบังคับให้ทำภาคสอง 😅
ก็ภาคแรกมันได้ตังอ่ะ ก็ทนได้หมดแหละแต่ภาคนี้คงทนไม่ได้กันละ
โอเค 🃏
ผมก็เห็นด้วยนะว่ามันไม่จำเป็นต้องใช้ method acting เพราะความเป็นจริงนั้น เราล้วนทำงานกันเป็นทีม
ผลงานมัน พิสูจน์ แล้วว่า การแสดงแบบผิวๆ ไม่มีทางทดแทน หรือ ทำให้เหมือนได้ เหมือน Animate ตัวละครจาก Animator กับ ใช้ Motion Capture อ่ะ
อันสุดท้ายเขาพูดถูกอยู่นะ
การทำงานไม่ควรทำให้คนอื่นเดือดร้อน
สารคดี Jim&Andy ตอนจบผมงงมาก ถ้าใครเคยดูแล้วผมสงสัย ตอนจบคือเหมือนจิมแครรี่เฉลยปะครับว่าทุกอย่างที่เขาทำทั้งหมดนั้นเขาแค่แกล้ง เพราะเขาป่วนกองทั้งเรื่อง แต่ตอนจบเขากลับเฮฮากับทีมงานเฉยเลยเหมือนเขาเฉลยว่าที่ผ่านมาทั้งหมดแค่แกล้ง ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดช่วยอธิบายได้นะครับ เพราะแอบงงนิดนึง
คนนี้อแสดงเก่งมาก พา ลงดำดิ่งเลย เรื่อง โจ๊กเกอร์1
Fc joker
10:12 ชาริส เทอโรนหน้าเหมือนเทย์เลอร์ สวิฟต์ช่วงอัลบั้มแรกๆ เลย😅
ผมเห็นด้วยกับ โรเบิร์ต 100%
ก๊วยเจ๋ง เนียนๆ😂 ปลุกอารมณ์😂
สำหรับผมคิดว่า คนที่ใช้เมดตอต คือคนที่ไม่เก่งพอที่จะแสดงบทเหล่านั้นได้โดยง่ายต่องลงทุนลงแรงมากมายขนาดนั้น.......
😮
ไม่รู้ หนังไหนดี หนังไหนดัง นั้นแหละนักแสดงดี
องค์ลง ภาษาบ้านผม 555
ของทอมแฮคไม่สุดนะครับ ถ้า สุด จริงๆ ในเกาะร้าง มันไม่น่า มีหมอ หรือการรักษา นะครับ
เหมือนเบียวไม่เลิก
ถ้า Keanu Reeves มา Acting Method ในเรื่อง John Wick ละก็ ไม่อยากคิดต่อเลย
คงมีแค่ส่วนน้อยที่ทำแบบนี้ จะ method จะ improvise ถ้าแสดงออกมาได้ดี ก็ดี แต่ถ้า cut แล้วยังไม่จบ มันก็คือภาระคนอื่นนั่นล่ะ
Method Acting ไม่ดีเสมอไป
เล่นกล้ามเนื้อ วัย50
ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับกลุ่มหลังครับ จริงๆกลุ่มแรกพี่จีนขาดอีกตัวอย่างของ คริสเตียน เบล ในหนังคนเหล็กอีกเรื่องด้วยผมมองว่า การแสดงที่ดีคือการแสดงเป็นตัวเองในบทบาทนั้นๆ จะเห็นได้ว่านักแสดงเก่งๆหลายคนจะมีซิกเนเจอร์จดจำเฉพาะตัวก็คือตัวตนของเขาไม่ว่าจะไปแสดงเรื่องไหนๆ มันจะมีกลิ่นอายที่ทำให้รู้ว่าจะกี่เรื่องกี่บทบาท นักแสดงคนนั้นยังคงเป็นตัวตนนั้นแค่อยู่ในบทบาทที่แตกต่างออกไป เห็นด้วยกับมาติน ฟรีแมน มากครับ และศาสตร์การแสดงแบบเม็ดตอดแอคติ้งนี่ฮิตและนิยมในไทยมากพวกโรงเรียนสอนแอคติ้งหรือเวิร์คช็อปต่างๆในไทยล้วนแต่มุ่งเน้นไปทางการสอนแบบเม็ดตอดแอคติ้งทั้งนั้น (ส่วนหนึ่งเพราะการแข่งขันต่ำ ตัวเลือกน้อย หลายเรื่องล็อคเป้านักแสดงไว้ ถึงจะไม่เข้ากับบทแต่ล็อคไว้แล้ว ต้องพยายามแสดงเป็นคนอื่นให้ได้ แทนที่จะไปแคสหานักแสดงที่เป็นตัวเองแต่เข้ากับบทนั้นมากกว่า แต่ไม่ใช่กับประเทศไทย ในไทยเน้นเส้นสายคอนเนคชั่นชื่อเสียงฐานแฟนคลับแค่นั้น) เวลาแคสติ้งจริงๆ ถ้าผู้กำกับหรือคนแคสมืออาชีพไม่ล็อคเป้าจริงๆ เขาจะดูว่าใครแสดงเป็นตัวเองแล้วเข้ากับบทบาทนั้นมากที่สุด ไม่ใช่พยายามแสดงเป็นคนอื่น การที่ต้องพยายามแสดงเป็นคนอื่นส่วนใหญ่เกิดจากการล็อคตัวนักแสดงไว้แล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีอารมณ์และด้านต่างๆเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่คนบ้าที่บกพร่องทางอารมณ์ คนปกติทุกคนสามารถแสดงได้ทุกอารมณ์ แค่เวลาแสดงหนังเขาให้บทบาทอาชีพอะไรมา โปรไฟล์ภูมิหลังตัวละครนั้นเป็นยังไงแค่นั้น ทุกคนมีอารมณ์ความรู้สึกช่วงที่ดีและแย่ บทนี้อยากคนที่แย่แบบนี้ ก็ไปหาแคสเอานักแสดงคนไหนที่เวลาเล่นบทแย่ในแบบตัวเองแล้วใกล้เคียงกับที่ผู้กำกับต้องการมากที่สุด ยกตัวอย่างง่ายๆเลย ถ้าผมเป็นผู้กำกับ ผมต้องการสร้างหนังสักเรื่อง ตัวละครที่หาคนมาแสดง อยากให้หัวเราะหรือมีบุคลิกคล้ายพี่จีน ระหว่าง ผมเลือกพี่จีนมาแสดง กับ เลือกคนอื่นมาแล้วบอกให้เขาแสดงให้เหมือนพี่จีน อันไหนง่ายกว่ากัน แน่นอนแบบแรกคือสิ่งที่ผู้กำกับทั่วโลกส่วนใหญ่ต้องการ อย่างหลังส่วนใหญ่มาจากการล็อคเป้าตัวนักแสดงบทนั้นทั้งนั้น ถ้าในวงการไทยและสิ่งที่น่าจดจำและชัดเจนที่สุดของนักแสดงคนนึง ผมว่า น้าค่อม นี่คือตัวอย่างการเป็นนักแสดงที่ดี การแสดงเป็นตัวเองได้แบบชัดเจน ไม่ว่าจะไปเล่นเรื่องไหนก็ตาม ทุกเรื่องทุกบทบาททุกอาชีพจะมีความเป็นน้าค่อมเสมอ ไม่ใช่แกแสดงไม่เป็นหรือแสดงแย่ แต่ผู้กำกับต้องการแบบนั้น ผู้กำกับไม่ได้บ้าไปหานักแสดงคนอื่นมาแล้วบอกเล่นให้ได้แบบน้าค่อม สวมวิญญาณน้าค่อมมาแสดง ไม่ใช่ นักแสดงที่ร้อนเงินพยายามให้ได้งานจะพยายามแสดงให้เข้าบทบาทนั้นให้มากที่สุดเวลาแคสโดยไม่สนว่าจะเป็นตัวเองหรือไม่ ต้องการแค่โอกาสการทำงานหาเงินก่อน แต่ทุกอย่างจะไม่ยุ่งยากถ้านักแสดงทุกคนมืออาชีพมากพอที่จะแสดงเป็นตัวเองในบทนั้นๆเพราะง่ายที่สุดและไม่เดือดร้อนคนอื่นในกองถ่าย การไปศึกษาเกี่ยวกับบทบาทอาชีพอะใช่เพื่อให้การแสดงลื่นไหลขึ้นอย่างบทหมอ นักแสดงหลายคนไม่ใช่หมอก็ไปศึกษาเอาว่าหมอนั้นเขาเป็นกันอย่างไง แล้วแสดงออกในเวอร์ชั่นตัวเองว่าหากตัวเองเป็นหมอจะทำตัวบุคลิกออกมายังไง ถ้าผู้กำกับเลือกแล้วแปลว่าเขาต้องการเห็นหมอที่มีตัวตนแบบนักแสดงคนนั้น แต่สุดท้ายคือต้องแสดงเป็นตัวของตัวเอง จะเห็นได้ชัดว่า หนังที่มีการรีบูทหลายรอบ ทำหลายเวอร์ชั่น ตัวละครเดิมๆแต่มีนักแสดงที่แตกต่างกันไปในแต่ละเวอร์ชั่นนั้น ทุกเวอร์ชั่น ทุกนักแสดงเขาจะแสดงเป็นตัวของตัวเองในมุมมองและการตีความของนักแสดงคนนั้นๆ นี่แหละคือการแสดง การสวมบทบาทเป็นตัวเองในบทบาทอาชีพต่างๆในเรื่องที่เขายื่นมาให้การร้องไห้ได้ภายใน10วินาที ไม่ได้แปลว่าแสดงเก่งหรือแสดงได้ ทุกคนร้องไห้เป็น แค่ผู้กำกับเขาจะต้องการตัวละครที่ร้องไห้ออกมานั้นเป็นใครที่ใกล้เคียงกับที่เขาต้องการที่สุด สมัยนี้น้ำตาเทียมเทคนิคมันมีเยอะ ทุกคนมีอารมณ์โกรธเป็น เศร้าเป็น หัวเราะเป็น บ้าบอเป็น แค่อารมณ์ต่างๆเหล่านั้นในแบบฉบับของใครจะใกล้เคียงกับสิ่งที่ผู้กำกับเขาต้องการมากที่สุดแค่นั้นเอง
ไม่ควรยกย่องการแสดงแบบด้นสด ไม่ใช่เรื่องน่าขื่นชมเลยแม้แต่นิดเดียว มืออาชีพจริงๆต้องเข้าออกบทได้ตามที่ต้องการ
ด้นสดแต่กล้องไม่ด้นสดเลย กล้องวางไว้พอดีเลย
😢 ไม่เห็นใครคอมเม้นท์ถึง ฮีธ เลดเจอร์ เลย
ภาระแท้ๆ แยกงานกับชีวิตจริงไม่ออก
ภาระมากกว่า
555จ้างผม ค่าตัว
ความบ้าเสรีภาพ ตะวันตก😂
แบบนี้แหละคือเหตุผลที่ Hollywood ถึงมาไกลกว่าหนังไทยเสมอ หนังไทยคือนักแสดงเป็นคนเดิมคือ ชีวิตจริงเป็นยังไงในหนังก็แบบนั้น ดูที่ไรรู้สึกได้เลยว่าไม่ได้เป็นคนๆนั้น ไม่น่าเชื่อถือได้เลย ไม่เชื่อเลยว่านี่คือคนคนนั้นนะไม่ใช่นักแสดง 5555555 😂
กาก้า งง
สุดยอดคอนเท้นท์แบบนี้แหละครับที่รอคอย❤
30 ปี The Shawshank Redemption ตำนานหนังล้มเหลวที่ดีที่สุด ua-cam.com/video/VgbP0YrxT1w/v-deo.htmlsi=BRpg34rj_T5raLkw
ในมุมผม นักแสดงที่สุดยอดคือ คนที่เข้าและออกบทบาทได้ตลอดเวลา คนที่ทำได้แบบนี้น่ายกย่องมากกว่าครับ เข่น จอนนี่เดป ที่สามารถเป็น สแปร์โร่ได้ทุกเมื่อ ลุงจาตุรงค์ที่เป็น พี่แสบ ได้ตลอดตามที่ต้องการ และอีกหลายๆคนที่ไม่ได้ยกตัวอย่าง
ถ้าเข้าง่ายแล้วออกง่ายแสดงว่ายังเข้าลึกไม่พอน่ะครับ 555555 😂
แรกๆ และ อาจจนถึงทุกวันนี้ เดป ยังเผลอ เปน สแปโรว์ เสมอมาครับ ลองสังเกตุ จริต หนังทุกเรื่องต่อจาก ไพเรท ดูครับ
ส่วน จาตุรง คล้าย แครี่ ครับ คือ ถ้าเรื่อง ตลก เสียง หน้าตา แก สร้างสรรค์ ในแบบฉบับตัวเอง ได้เทพ ทั้งสองคน
2 เรื่องที่คุณพูดมา มันออกแนวตลกผจญภัย อีกอันก็ตลกไปเลย ต่างจากคนที่รับบทเป็นโจ๊กเกอร์ที่ จิต วิปลาสเอาแน่เอานอนไม่ได้ สรุปก็คือคุณจะเอา 2 เรื่องนั้นมาเทียบกับ เรื่อง โจ๊กเกอร์ไม่ได้ เทียบกันไม่ได้หรอกครับ
ถูกต้องครับ ถ้าต้องmethodแล้วทำให้ครอื่นลำบาก หรือพึ่งพาคนอื่น ผมว่าก็งั้นๆอ่ะครับ
@@GhoulLcf-u4yเค้าเรียกมืออาชีพครับ เค้าไม่ได้ไม่เข้าถึงบท เค้าสามารถคุมตัวเองได้ ไม่บ้าไปกับบท เป็นตัวละครนั้นๆแค่ตอนถ่าย ถ่ายเสร็จก็จบ
ผมว่าmethod มันดูเป็น วิธีการ ที่เป็นขั้นตอนที่ เรียบง่ายกว่า
แต่ก็เห็นด้วยกับ มาติน ว่า สุดท้าย นักแสดงที่เก่งๆจริงๆต้อง สามารถแสดงบทนั้นได้ อย่างถ่องแท้ และต้องสามารถทำงานรว่มกับทีมงานได้อย่างดี ถึงควรจะเป็นนักแสดงที่น่ายกย่อง
ผมว่าฟิวมันเหมือนร่างทรงเบียวเป็นตัวละครนั้นๆ เห็นหลายๆเคสเบียวจนหลอนไปก่อกวนทีมงานหรือนักแสดงท่านอื่นแบบนี้ก็ไม่โอเค นักแสดงหลายๆท่านที่ไม่ได้ใช้เทคนิคร่างทรงเขายังได้รางวัลเลย แต่อย่างว่าแหละสไตล์ใครสไตล์มัน ถ้านักแสดงคนนั้นๆทำตัวแย่มากจริงเดี๋ยวก็โดนแบนกันไปเองนั้นล่ะครับ
“นักแสดง“ ชื่อก็บอกอยู่ว่า‘แสดง’ เข้าบทเดินกล้องก็เริ่มแสดง สั่งคัทออกจากกล้องก็กลับมาเป็นตัวเอง
ใส่หัวโขนก็กลายเป็นยักษ์เป็นลิง ถอดโขนก็กลับมาเป็นคนปกติ
สมัยเรียนอาจารย์สอนผมว่าตอนทำงานก็ทำหน้าที่ตัวเอง พอเลิกงานก็กลับมาทำหน้าที่พ่อ/ลูก ที่ดีกชับครอบครับ ไม่ใช่แบกพาระงานกลับมาบ้านด้วย คนใกล้ชิดจะไม่มีความสุข
เห็นด้วยกับชาร์ลีซ เธรอน , แมด มิคเคนเซ่น และ โรเบิร์ต แพททินสัน ครับ 👍
เห็นด้วยกับบิลโบ้ ไม่เห็นต้องอินจนคนอื่นเขาเดือดร้อนขนาดนั้น
ถ้าป๋าแมดเป็นสายMethod แล้วแสดงฉากตีไข่เจมส์บอน ไม่อยากจะคิดเลยว่าเป็นไง 55555
จุกขี้แตก😂
อื่ม...จตุรงค์+โก๊ะตี๋+น้าค่อม แทบไม่ต้องใช้ Method Acting ... สั่ง Action เมื่อไร เข้า Modeฮา ได้ทันที!!!
นี่ขนาดขาดคริสเตียน เบลไปนะ คนนี้ก็สุดเหมือนกัน แต่มันทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง แบบที่มาร์ตินพูดน่ะถูกต้องเลย
ออกง่ายก็ดีไป แต่ถ้าเข้าแล้วไม่ยอมออก หรือออกยาก ทีมงานเหนื่อย คนรอบตัวเหนื่อย พูดตรงๆ ก็ผู้ป่วยจิตเวชดีๆ นี่เอง
ในเรื่อง Man On the Moon
ถ้าจะบอกว่า Jim Carrey สวมวิญญาณ Andy Kaufman ก็คงไม่ถูกนัก
จากปากคำของ Jerry Lawler นักมวยปล้ำที่เคยร่วมงานกับ Kaufman (และได้แสดงในภาพยนตร์ด้วย)
เขาบอกว่า Kaufman เวลาอยู่หน้ากล้อง เขาก็จะกวนประสาทใส่คนดู เป็นบุคคลน่าเตะก้นที่สุดคนนึง
แต่เวลาหลังกล้อง Kaufman สุภาพมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เรียกเขาว่า Mr. Lawler ทุกคำ
เวลาจะทำอะไร จะปรึกษาก่อนเสมอว่าทำแบบนี้ดีมั้ยแบบนั้นดีมั้ย
ซึ่งเขาเข้าใจว่า Kaufman น่าจะทำแบบนั้นกับเพื่อนๆในกองถ่ายทุกคน
เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่า Jim Carrey สวมวิญญาณ Kaufman ในการแสดง
Lawler บอกว่า ไม่จริงเลย Kaufman ไม่ได้เป็นคนแบบนี้
เขารู้ เพราะเขาได้รู้จักกับ Kaufman ในชีวิตจริง
ในขณะที่ Carrey ไม่เคยเจอ Kaufman มาก่อนเลย Carrey คิดไปเองทั้งนั้น
ปัญหาของ Jim Carrey คือ
เขาเลือกที่จะเป็น Kaufman เวอร์ชั่นหน้ากล้องตลอดเวลาที่อยู่ในกองถ่าย แกล้งคนอื่นไปทั่ว
มันทำให้ทำงานด้วยยาก
โดยเฉพาะกับความจริงที่ว่า นักแสดงเกือบทุกคนในกองถ่าย รู้จักกับ Kaufman มาก่อน รู้ดีว่า Kaufman เป็นคนยังไง
แต่ Jim Carrey ที่แสดงเป็น Kaufman กลับเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเจอ Kaufman มาก่อน
มาทำตัวไม่เหมือน Kaufman เลย แต่มาบอกว่าตัวเองเป็น Kaufman ... มันไม่ใช่
ขอบคุณมากๆสำหรับคอนเท้นดีๆครับพี่จีน
ด้านความรู้เรื่องภาพยนตร์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ผมได้มาจากการติดตามช่องพี่จีนมานานมากๆ
จะเล่นบทฆาตกร จำเป็นต้องไปเรียนรู้การฆ่าคนด้วยมั้ย ผมว่าไม่นะ
จำเปนครับไม่งั้นไม่เข้าถึงบท
ต้องเรียนรู้สิครับ แต่แค่เรียนรู้การฆ่าคนมันยังไม่ใช่ Method Acting มันเป็นการทำความเข้าใจบทเฉยๆ ซึ่งก็ควรทำ
นี่อาจจะเป็นวิธีการที่จับพวก ร่างทรง ไปอยู่ให้ถูกที่รึปล่าว เลยได้สุดยอดผลงาน❤
ชารีสเทอรอน แต่ละเรื่องแสดงได้แตกต่างกันมาก แต่จิมแครี่ ไม่ว่าจะในเมทอดแอ็คตอิง ก็เป็นจิมแครี่คนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
คิด เหมือน กัน เห็น ทุกเรื่อง จิม มันก็แค่ โอเวอร์ แอคติ้ง+เล่นหน้า เล่น ตา และ ตั้งแต่มาคิด แบบ นีี้ มันทำให้กลับไปดูหนังเก่าๆ ที่คนนี้แสดง ไม่สนุก อีก เลย
ชอบคลิปแบบนี้มากครับพี่จีน ขออีกครับ
อย่าบอกว่าวาคินฟินนิกไม่ดีพอในภาค2 การวางเรื่องต่างหากที่มีผลกับบทบาทที่เขาได้รับ
บางคนทำเพื่ออยากกดคนในกองถ่าย ให้ตัวเองเหมือนพระเเจ้า
แกทุ่มเทมาก ๆ ❤
8:29 คนทำงานและเด็กการแสดง เริ่มตรงนี้ได้เลยลูก
ขออนุญาตแชร์จากที่เคยสอบถามคนที่เรียน-สอนการแสดง เค้าบอกว่า method acting มันเป็นวิธีที่ใช้เมื่อคุณไม่มี identity ตัวเองชัดเจนให้กลับมาหา กล่าวคือ ถ้าเรารู้ว่าตัวเราเป็นใคร ตัวละครที่เราเล่นเป็นใคร พอเราหยุดเป็นตัวละครนั้นแล้ว เราจะกลับไปหาตัวเองได้ แต่คนที่ใช้วิธี method acting คืออาจจะไม่รู้จักตัวเองดีพอ หรือมีปัญหาบางอย่าง เลยต้องใช้วิธีนี้มาช่วยให้ตัวเองอยู่กับตัวละครตลอดเวลาแทน
อย่างไรก็ตาม method acting จะปรากฏต่อนักแสดงสายนี้ได้ขึ้นอยู่กับบทบาทที่อ้างอิงจากการมีอยู่ของตัวละครนั้น ฉนั้นไม่ควรมอบบทบาทนี้ให้พวกเขา (ให้ไปแสดงเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ปุยเมฆ รูปภาพในกรอบ จบปิ๊ง😁😁)
อยากรู้ว่าที่ นิโคลัส เคจ เล่นในเรื่อง นิคเคจ เรียกเมดธอดไหมครับ เพราะเป็นตัวเองตลอดเวลาเลย
ดีมาก...
เราต้องแยกประเด็นก่อน ว่าเรื่องหลัก การแสดงคืองาน วิธีการทำงานจะเป็นยังไง ก็ต้องไปดูผลลัพธ์ แต่ถ้าสุดท้าย ผลลัพธ์ที่ได้มันดี เราจะชมได้อย่างเต็มปากมั้ย ถ้าเพื่อนร่วมงานต้องมารับอารมณ์ รับความเครียด รับภาระที่ไม่จำเป็น การเม็ดแตท เอ้ย เมทตอทมันก็คือวิธีการทำงานรูปแบบหนึ่ง แล้วถ้าผลลัพธ์คนที่ใช้กับไม่ใช้ ประสบความสำเร็จเหมือนกัน ได้ออสการ์เหมือนกัน ใครเก่งกว่า ถ้าในความคิดผม คนที่เป็นนักแสดงมืออาชีพ เก่งกว่าครับ เก่งกว่ามากเลยด้วย จะมาพูดง่ายๆว่าวิธีการใครวิธีการมันไม่ได้ "นักแสดง" มันตรงความหมายอยู่แล้ว มันต้องมีความเป็นมืออาชีพ แต่ถ้าเป็นนักแสดงที่สร้างภาระให้คนอื่น ก็คือนักแสดง แค่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ งั้นก็วนกลับไป ถ้าคุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่เลือกไม่ได้ ต้องปรนนิบัติเพราะต้ำต้อยกว่า คุณคิดว่าทั้ง 2 คนที่ใช้วิธีการทำงานต่างกัน และประสบความสำเร็จเหมือนกัน คุณคิดว่าใครเก่งกว่า ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้ร่วมงาน คุณอาจะเลือกตอบใครก็ได้ ก็คุณไม่ได้เป็นผู้ประสบภัย เอ้ย เหตุ แต่ถ้าเป็นคนในวงการเค้าตอบเป็นเสียงเดียวกันอยู่แล้วครับ
ส่วนตัวผมเห็นด้วยเหมือนที่ป๋า Mads พูดครับ เข้าถึงบทบาทอย่างถ่องแท้น่ะมันดีครับ แต่ถ้าคัทแล้วมันก็ต้องกลับมาอยู่ในโลกจริงได้ด้วย ไม่ใช่ยังคงบทบาทนั้นไว้แล้วทำให้ลำบากคนอื่น อย่างนี้ไม่เรียกเก่งหรอกครับ เขาเรียกว่าไม่รับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่า ลองคิดกลับกัน ถ้านักแสดงคนนั้นพร้อมสวมบทบาทได้เมื่ออยู่ในฉาก เล่นถึงรสถึงชาติในบทได้อย่างเข้มข้น และพร้อมถอดหัวโขนของบทบาทนั้นๆ ได้ทุกเมื่อหาก ผกก. สั่งคัท อย่างนี้สิที่เรียกว่าเก่งจริง
ผมว่ามันคล้ายกับการให้คนทำโอที แล้วคนยกย่องว่าเป็นสิ่งที่ดี ทำงานหนัก ตรรกกะแปลกๆแบบนี้มีอีกหลายอย่างในสังคมคน
ภาระ ผู้กำกับ โดนบังคับให้ทำภาคสอง 😅
ก็ภาคแรกมันได้ตังอ่ะ ก็ทนได้หมดแหละ
แต่ภาคนี้คงทนไม่ได้กันละ
โอเค 🃏
ผมก็เห็นด้วยนะว่ามันไม่จำเป็นต้องใช้ method acting เพราะความเป็นจริงนั้น เราล้วนทำงานกันเป็นทีม
ผลงานมัน พิสูจน์ แล้วว่า การแสดงแบบผิวๆ ไม่มีทางทดแทน หรือ ทำให้เหมือนได้ เหมือน Animate ตัวละครจาก Animator กับ ใช้ Motion Capture อ่ะ
อันสุดท้ายเขาพูดถูกอยู่นะ
การทำงานไม่ควรทำให้คนอื่นเดือดร้อน
สารคดี Jim&Andy ตอนจบผมงงมาก ถ้าใครเคยดูแล้วผมสงสัย ตอนจบคือเหมือนจิมแครรี่เฉลยปะครับว่าทุกอย่างที่เขาทำทั้งหมดนั้นเขาแค่แกล้ง เพราะเขาป่วนกองทั้งเรื่อง แต่ตอนจบเขากลับเฮฮากับทีมงานเฉยเลยเหมือนเขาเฉลยว่าที่ผ่านมาทั้งหมดแค่แกล้ง ถ้าผมเข้าใจอะไรผิดช่วยอธิบายได้นะครับ เพราะแอบงงนิดนึง
คนนี้อแสดงเก่งมาก พา ลงดำดิ่งเลย เรื่อง โจ๊กเกอร์1
Fc joker
10:12 ชาริส เทอโรนหน้าเหมือนเทย์เลอร์ สวิฟต์ช่วงอัลบั้มแรกๆ เลย😅
ผมเห็นด้วยกับ โรเบิร์ต 100%
ก๊วยเจ๋ง เนียนๆ😂 ปลุกอารมณ์😂
สำหรับผมคิดว่า คนที่ใช้เมดตอต คือคนที่ไม่เก่งพอที่จะแสดงบทเหล่านั้นได้โดยง่ายต่องลงทุนลงแรงมากมายขนาดนั้น.......
😮
ไม่รู้ หนังไหนดี หนังไหนดัง นั้นแหละนักแสดงดี
องค์ลง ภาษาบ้านผม 555
ของทอมแฮคไม่สุดนะครับ ถ้า สุด จริงๆ ในเกาะร้าง มันไม่น่า มีหมอ หรือการรักษา นะครับ
เหมือนเบียวไม่เลิก
ถ้า Keanu Reeves มา Acting Method ในเรื่อง John Wick ละก็ ไม่อยากคิดต่อเลย
คงมีแค่ส่วนน้อยที่ทำแบบนี้ จะ method จะ improvise ถ้าแสดงออกมาได้ดี ก็ดี แต่ถ้า cut แล้วยังไม่จบ มันก็คือภาระคนอื่นนั่นล่ะ
Method Acting ไม่ดีเสมอไป
เล่นกล้ามเนื้อ วัย50
ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับกลุ่มหลังครับ จริงๆกลุ่มแรกพี่จีนขาดอีกตัวอย่างของ คริสเตียน เบล ในหนังคนเหล็กอีกเรื่องด้วย
ผมมองว่า การแสดงที่ดีคือการแสดงเป็นตัวเองในบทบาทนั้นๆ จะเห็นได้ว่านักแสดงเก่งๆหลายคนจะมีซิกเนเจอร์จดจำเฉพาะตัวก็คือตัวตนของเขาไม่ว่าจะไปแสดงเรื่องไหนๆ มันจะมีกลิ่นอายที่ทำให้รู้ว่าจะกี่เรื่องกี่บทบาท นักแสดงคนนั้นยังคงเป็นตัวตนนั้นแค่อยู่ในบทบาทที่แตกต่างออกไป เห็นด้วยกับมาติน ฟรีแมน มากครับ และศาสตร์การแสดงแบบเม็ดตอดแอคติ้งนี่ฮิตและนิยมในไทยมากพวกโรงเรียนสอนแอคติ้งหรือเวิร์คช็อปต่างๆในไทยล้วนแต่มุ่งเน้นไปทางการสอนแบบเม็ดตอดแอคติ้งทั้งนั้น (ส่วนหนึ่งเพราะการแข่งขันต่ำ ตัวเลือกน้อย หลายเรื่องล็อคเป้านักแสดงไว้ ถึงจะไม่เข้ากับบทแต่ล็อคไว้แล้ว ต้องพยายามแสดงเป็นคนอื่นให้ได้ แทนที่จะไปแคสหานักแสดงที่เป็นตัวเองแต่เข้ากับบทนั้นมากกว่า แต่ไม่ใช่กับประเทศไทย ในไทยเน้นเส้นสายคอนเนคชั่นชื่อเสียงฐานแฟนคลับแค่นั้น) เวลาแคสติ้งจริงๆ ถ้าผู้กำกับหรือคนแคสมืออาชีพไม่ล็อคเป้าจริงๆ เขาจะดูว่าใครแสดงเป็นตัวเองแล้วเข้ากับบทบาทนั้นมากที่สุด ไม่ใช่พยายามแสดงเป็นคนอื่น การที่ต้องพยายามแสดงเป็นคนอื่นส่วนใหญ่เกิดจากการล็อคตัวนักแสดงไว้แล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีอารมณ์และด้านต่างๆเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่คนบ้าที่บกพร่องทางอารมณ์ คนปกติทุกคนสามารถแสดงได้ทุกอารมณ์ แค่เวลาแสดงหนังเขาให้บทบาทอาชีพอะไรมา โปรไฟล์ภูมิหลังตัวละครนั้นเป็นยังไงแค่นั้น ทุกคนมีอารมณ์ความรู้สึกช่วงที่ดีและแย่ บทนี้อยากคนที่แย่แบบนี้ ก็ไปหาแคสเอานักแสดงคนไหนที่เวลาเล่นบทแย่ในแบบตัวเองแล้วใกล้เคียงกับที่ผู้กำกับต้องการมากที่สุด
ยกตัวอย่างง่ายๆเลย ถ้าผมเป็นผู้กำกับ ผมต้องการสร้างหนังสักเรื่อง ตัวละครที่หาคนมาแสดง อยากให้หัวเราะหรือมีบุคลิกคล้ายพี่จีน ระหว่าง ผมเลือกพี่จีนมาแสดง กับ เลือกคนอื่นมาแล้วบอกให้เขาแสดงให้เหมือนพี่จีน อันไหนง่ายกว่ากัน แน่นอนแบบแรกคือสิ่งที่ผู้กำกับทั่วโลกส่วนใหญ่ต้องการ อย่างหลังส่วนใหญ่มาจากการล็อคเป้าตัวนักแสดงบทนั้นทั้งนั้น ถ้าในวงการไทยและสิ่งที่น่าจดจำและชัดเจนที่สุดของนักแสดงคนนึง ผมว่า น้าค่อม นี่คือตัวอย่างการเป็นนักแสดงที่ดี การแสดงเป็นตัวเองได้แบบชัดเจน ไม่ว่าจะไปเล่นเรื่องไหนก็ตาม ทุกเรื่องทุกบทบาททุกอาชีพจะมีความเป็นน้าค่อมเสมอ ไม่ใช่แกแสดงไม่เป็นหรือแสดงแย่ แต่ผู้กำกับต้องการแบบนั้น ผู้กำกับไม่ได้บ้าไปหานักแสดงคนอื่นมาแล้วบอกเล่นให้ได้แบบน้าค่อม สวมวิญญาณน้าค่อมมาแสดง ไม่ใช่ นักแสดงที่ร้อนเงินพยายามให้ได้งานจะพยายามแสดงให้เข้าบทบาทนั้นให้มากที่สุดเวลาแคสโดยไม่สนว่าจะเป็นตัวเองหรือไม่ ต้องการแค่โอกาสการทำงานหาเงินก่อน แต่ทุกอย่างจะไม่ยุ่งยากถ้านักแสดงทุกคนมืออาชีพมากพอที่จะแสดงเป็นตัวเองในบทนั้นๆเพราะง่ายที่สุดและไม่เดือดร้อนคนอื่นในกองถ่าย การไปศึกษาเกี่ยวกับบทบาทอาชีพอะใช่เพื่อให้การแสดงลื่นไหลขึ้นอย่างบทหมอ นักแสดงหลายคนไม่ใช่หมอก็ไปศึกษาเอาว่าหมอนั้นเขาเป็นกันอย่างไง แล้วแสดงออกในเวอร์ชั่นตัวเองว่าหากตัวเองเป็นหมอจะทำตัวบุคลิกออกมายังไง ถ้าผู้กำกับเลือกแล้วแปลว่าเขาต้องการเห็นหมอที่มีตัวตนแบบนักแสดงคนนั้น แต่สุดท้ายคือต้องแสดงเป็นตัวของตัวเอง จะเห็นได้ชัดว่า หนังที่มีการรีบูทหลายรอบ ทำหลายเวอร์ชั่น ตัวละครเดิมๆแต่มีนักแสดงที่แตกต่างกันไปในแต่ละเวอร์ชั่นนั้น ทุกเวอร์ชั่น ทุกนักแสดงเขาจะแสดงเป็นตัวของตัวเองในมุมมองและการตีความของนักแสดงคนนั้นๆ นี่แหละคือการแสดง การสวมบทบาทเป็นตัวเองในบทบาทอาชีพต่างๆในเรื่องที่เขายื่นมาให้
การร้องไห้ได้ภายใน10วินาที ไม่ได้แปลว่าแสดงเก่งหรือแสดงได้ ทุกคนร้องไห้เป็น แค่ผู้กำกับเขาจะต้องการตัวละครที่ร้องไห้ออกมานั้นเป็นใครที่ใกล้เคียงกับที่เขาต้องการที่สุด สมัยนี้น้ำตาเทียมเทคนิคมันมีเยอะ ทุกคนมีอารมณ์โกรธเป็น เศร้าเป็น หัวเราะเป็น บ้าบอเป็น แค่อารมณ์ต่างๆเหล่านั้นในแบบฉบับของใครจะใกล้เคียงกับสิ่งที่ผู้กำกับเขาต้องการมากที่สุดแค่นั้นเอง
ไม่ควรยกย่องการแสดงแบบด้นสด ไม่ใช่เรื่องน่าขื่นชมเลยแม้แต่นิดเดียว มืออาชีพจริงๆต้องเข้าออกบทได้ตามที่ต้องการ
ด้นสดแต่กล้องไม่ด้นสดเลย กล้องวางไว้พอดีเลย
😢 ไม่เห็นใครคอมเม้นท์ถึง ฮีธ เลดเจอร์ เลย
ภาระแท้ๆ แยกงานกับชีวิตจริงไม่ออก
ภาระมากกว่า
555จ้างผม ค่าตัว
ความบ้าเสรีภาพ ตะวันตก😂
แบบนี้แหละคือเหตุผลที่ Hollywood ถึงมาไกลกว่าหนังไทยเสมอ หนังไทยคือนักแสดงเป็นคนเดิมคือ ชีวิตจริงเป็นยังไงในหนังก็แบบนั้น ดูที่ไรรู้สึกได้เลยว่าไม่ได้เป็นคนๆนั้น ไม่น่าเชื่อถือได้เลย ไม่เชื่อเลยว่านี่คือคนคนนั้นนะไม่ใช่นักแสดง 5555555 😂
กาก้า งง
สุดยอดคอนเท้นท์แบบนี้แหละครับที่รอคอย❤