Розмір відео: 1280 X 720853 X 480640 X 360
Показувати елементи керування програвачем
Автоматичне відтворення
Автоповтор
เท่าที่ผมเข้าใจโดยสรุปคือ กฎของ Chesterton ต้องการจะบอกว่าการที่คิดจะทำอะไร เปลี่ยนแปลง หรือทำลายสิ่งไหน ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน ซึ่ง"ถี่ถ้วน" อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองคน บางคนมองว่าที่ตนคิดนั้นถี่ถ้วนแล้ว คิดมาดีแล้ว ยิ่งในปัจจุบันประเด็นสังคมหลากหลาย เกิดการถกเถียงมากมาย แต่ต้องยอมรับว่าในความหลากหลายและถกเถียงกันนั้น หลายครั้งเกิดจาก "ความไม่เข้าใจ" อย่างถ่องแท้ในบางเรื่องจริงๆ บางคนมั่นใจในความคิดตนสูงมาก อาจจะเพราะโลกสมัยใหม่ที่ทุกคนเข้าถึงโซเชียลได้ง่าย ข้อมูลมีอยู่รอบตัว จนทำให้ตนเองิาจจะคิดว่าตนเข้าใจเรื่องบางเรื่องไปซะหมด แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ก็ "ไม่ใช่ทุกเรื่อง" ที่ในโลกของโซเชียลหรืออินเทอร์เนต จะให้คำตอบหรือความเข้าใจได้หมดทุกแง่มุม บางคั้ข้อเท็จจริงบางอย่างก็ถูกซ่อนอยู่ในข้อเท็จจริงอีกทีหนึ่ง สุดท้ายนี้ ผมว่า กฎของ Chesterton ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงความ "ตระหนัก" ในหลายๆเรื่อง ให้ทำความเข้าใจกับมัน บางเรื่องต้องคิดถึงข้อดี-ข้อเสีย ของการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เพราะไม่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงหรือทำลายอะไร มันจะมี step ให้ต้องคิดต่อไปเสมอ แล้วสุดท้ายเราเองนั่นแหละคือคนที่ต้องรับกับสภาพและอยู่กับมันให้ได้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาในแง่ไหนก็ตาม
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดีๆครับผม
ผมมาลองคิดดีๆ คิดว่าถ้า "ให้มองหาถึงข้อดีแล้วยอมให้ทำลาย" มันแปลกๆไหม ถ้าพูดให้ถูกควรจะเป็น "ให้ดูข้อดี ข้อเสีย และสิ่งที่จะมาทดแทน พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียของสิ่งใหม่นั้นเพื่อเปรียบเทียบ" รึเปล่า
ข้อคิดเห็นส่วนตัวคือ..สิ่งที่ซ่อนอยู่มีนัยซ่อนเร้น..ภายใต้อายุ คำพูด บุคลิกบางอย่างของบางคนแลดูน่าเชื่อถือ..จนคิดว่าเป็นข้อเท็จจริง..และบางคนก็ใช้มุมมองความคิดที่เป็นข้อคิดเห็นตัดสินข้อเท็จจริง ของสิ่งที่เกิดก่อน..และพยายามทำให้ข้อคิดเห็นของคนหมู่มาก (คิดว่ามีมากแต่ความจริงไม่มากเลย) มีอิทธิพลกับคนอื่นๆ และช่วยกันทำลายกฎกติกาที่มีอยู่เดิม ที่เกิดจากคนรุ่นเก่า (จริงๆแล้วหมู่มากกว่า เช่น 60-14 = 46 ซึ่ง 46 ย่อมมากกว่า) ..ดังนั้น.. มีที่ปรึกษามากก็ปลอดภัย..และจะให้ดีกว่านั้น ที่ปรึกษาควรมีหลักธรรมะ ใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ หรือให้คำแนะนำที่ชอบธรรมด้วย..(อย่าให้กติกู 14 ..อยู่เหนือกติกา..46).. แต่เด็กมักไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดไป..มีพระวจนะพระเจ้ากล่าวว่า..จงตีสอนบุตรหลานของท่าน..อย่าจงใจให้ถึงความพินาศ..การเพิกเฉยต่อความผิดบางอย่าง อาจนำไปสู่ความพินาศ
หลังจากฟังเรื่องนี้แล้ว นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนไปเรียนเลย ถ้าถามเด็กนักเรียนว่าการตัดผมสั้นมีประโยชน์อะไร นักเรียนส่วนใหญ่ที่ต่อต้านเรื่องนี้คงตอบไม่ได้กัน หรือ ถึงแม้ว่าจะรู้คำตอบแต่ความชอบทำตามใจตัวเองก็ยังชนะอยู่ดีนะครับ
ขอบคุณครับ แล้วคุณพี่พอจะรู้บ้างมั้ยครับว่าให้นักเรียนตัดผมไปเพื่ออะไรข้อกำหนด : อย่าพูดเรื่องความเป็นระเบียบ หรือ อะไรเทือกๆก้นมาดูมุมมองผมก่อนการตัดผมของเด็กนักเรียนมันไม่ได้อะไรเลยครับ ใช่ครับ มันทำให้นักเรียนไม่มีเหา แต่ มันก็หัวนักเรียนเองไม่ใช่เหรอครับ ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ความมั่นใจสำคัญมากๆเลยนะครับ แล้วทำไมเราต้องพรากความมั่นใจนั้นออกไปด้วยล่ะครับในตอนนี้ก็มีหลายโรงเรียนแล้วหนิครับ ที่เปลี่ยนมาให้นักเรียนไม่ต้องตัดผมแล้วหนิครับ ทั้งอย่างงั้นแต่นักเรียนกลับดูมีความสุขกว่าที่ที่ไม่ให้อ ยากเห็นได้ชัด คุณพี่คิดว่าทำไมล่ะครับ ตอนนี้เปลี่ยน
@@beautifulday8515 มันก็มีข้อดีตั้งหลายข้อนะครับ แต่ดูจากที่พิมพ์มาแบบนี้แล้ว ไม่ว่าผมจะบอกข้อดีอะไรไปก็ไม่ถูกใจคุณซักข้อหรอก รับประกันได้เลยครับ แต่ไหน ๆ ก็ถามมาแล้วก็จะตอบในมุมมองเท่าที่ผมมองเห็นก็แล้วกัน 1.ทำให้นักเรียนไม่มีเหา หัวเขาเองก็จริงแต่สามารถสร้างความเดือดร้อนทำให้คนอื่นติดเหาต่อได้ ไม่งั้นคนดื่มเหล้าติดยาที่ไปก่อคดีต่าง ๆ ก็คงอ้างแบบนี้ได้เหมือนกันว่าเขาดื่มของเขาเอง ไม่ได้ไปชวนให้ใครดื่มด้วยเสียหน่อย 2.เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ทุกคนต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบ คนที่เขาวางกฎเอาไว้เขาดูแล้วว่าเรื่องทรงผมเนี้ย ขัดใจวัยรุ่นที่อยู่ในวัยกำลังรักสวยรักงาม การตัดให้เป็นระเบียบไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรมากเพราะเดี๋ยวก็ยาวขึ้นมาใหม่ได้ เหมาะแก่การนำมาใช้ในการฝึกวินัย 3.การแต่งตัวและทรงผมเป็นสิ่งที่สามารถแสดงฐานะทางการเงินที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัวได้ อาจนำมาสู่การแต่งตัวประชันความสวยงาม คนที่ไม่มีทรัพย์มาแต่งให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้อาจเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ อาจถูกกีดกันออกจากกลุ่มทำให้ไม่มีเพื่อน และ อาจมีการลักขโมยสิ่งของทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนอีกด้วย เอาแค่ 3 ข้อนี้ก็น่าจะมองเห็นภาพได้อย่างเพียงพอแล้วว่าการมีกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนได้มากแค่ไหน จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายข้อแต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เช่น ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เวลาเหงื่อออกแล้วจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรค หากนักเรียนโดดเรียนไปเที่ยวในเวลาเรียน จะเป็นจุดเด่นทำให้ตามจับกลับมาได้ง่าย เป็นต้น ส่วนคำถามที่ว่าทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปแล้ว ผมคิดว่าเป็นเพราะโลกในยุคโซเชียลมีเดียทำให้เด็กใจร้อนมากขึ้น เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจก็ไม่มีความอดทน โรงเรียนหลายแห่งจึงงดเว้นกฎเพื่อเอาใจเด็กเหล่านี้ พอเด็กเห็นถูกใจก็อยากเข้าไปเรียน แล้วโรงเรียนก็จะได้เงิน ถ้าโรงเรียนไหนไม่ปรับตาม จำนวนเด็กที่มาเรียนก็จะน้อยลง เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมพิมพ์มาซะยาวขนาดนี้ก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าโรงเรียนจะกลับไปใช้กฎแบบเดิมเพราะทุกอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หวังแค่ใครได้มาเห็นข้อความนี้แล้วอาจมองเห็นถึงสิ่งดี ๆ ที่จะหายไปจากการยกเลิกกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนเท่านั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประเด็น "Chesterton Fence" ที่เจ้าของกระทู้กำลังนำเสนออยู่แหละครับ ว่าอย่า (เพิ่ง) ทำลายสิ่งที่คุณยังไม่เข้าใจ (ก่อนที่จะพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียในแง่มุมต่าง ๆ ให้ครบถ้วนดีแล้ว)
มันก็มีข้อดีตั้งหลายข้อนะครับ แต่ดูจากที่พิมพ์มาแบบนี้แล้ว ไม่ว่าผมจะบอกข้อดีอะไรไปก็ไม่ถูกใจคุณซักข้อหรอก รับประกันได้เลยครับ แต่ไหน ๆ ก็ถามมาแล้วก็จะตอบในมุมมองเท่าที่ผมมองเห็นก็แล้วกัน 1.ทำให้นักเรียนไม่มีเหา หัวเขาเองก็จริงแต่สามารถสร้างความเดือดร้อนทำให้คนอื่นติดเหาต่อได้ ไม่งั้นคนดื่มเหล้าติดยาที่ไปก่อคดีต่าง ๆ ก็คงอ้างแบบนี้ได้เหมือนกันว่าเขาดื่มของเขาเอง ไม่ได้ไปชวนให้ใครดื่มด้วยเสียหน่อย 2.เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ทุกคนต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบ คนที่เขาวางกฎเอาไว้เขาดูแล้วว่าเรื่องทรงผมเนี้ย ขัดใจวัยรุ่นที่อยู่ในวัยกำลังรักสวยรักงาม การตัดให้เป็นระเบียบไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรมากเพราะเดี๋ยวก็ยาวขึ้นมาใหม่ได้ เหมาะแก่การนำมาใช้ในการฝึกวินัย 3.การแต่งตัวและทรงผมเป็นสิ่งที่สามารถแสดงฐานะทางการเงินที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัวได้ อาจนำมาสู่การแต่งตัวประชันความสวยงาม คนที่ไม่มีทรัพย์มาแต่งให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้อาจเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ อาจถูกกีดกันออกจากกลุ่มทำให้ไม่มีเพื่อน และ อาจมีการลักขโมยสิ่งของทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนอีกด้วย เอาแค่ 3 ข้อนี้ก็น่าจะมองเห็นภาพได้อย่างเพียงพอแล้วว่าการมีกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนได้มากแค่ไหน จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายข้อแต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เช่น ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เวลาเหงื่อออกแล้วจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรค หากนักเรียนโดดเรียนไปเที่ยวในเวลาเรียน จะเป็นจุดเด่นทำให้ตามจับกลับมาได้ง่าย เป็นต้น ส่วนคำถามที่ว่าทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปแล้ว ผมคิดว่าเป็นเพราะโลกในยุคโซเชียลมีเดียทำให้เด็กใจร้อนมากขึ้น เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจก็ไม่มีความอดทน โรงเรียนหลายแห่งจึงงดเว้นกฎเพื่อเอาใจเด็กเหล่านี้ พอเด็กเห็นถูกใจก็อยากเข้าไปเรียน แล้วโรงเรียนก็จะได้เงิน ถ้าโรงเรียนไหนไม่ปรับตาม จำนวนเด็กที่มาเรียนก็จะน้อยลง เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมพิมพ์มาซะยาวขนาดนี้ก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าโรงเรียนจะกลับไปใช้กฎแบบเดิมเพราะทุกอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หวังแค่ใครได้มาเห็นข้อความนี้แล้วอาจมองเห็นถึงสิ่งดี ๆ ที่จะหายไปจากการยกเลิกกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนเท่านั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประเด็น "Chesterton Fence" ที่เจ้าของกระทู้กำลังนำเสนออยู่แหละครับ ว่าอย่า (เพิ่ง) ทำลายสิ่งที่คุณยังไม่เข้าใจ (ก่อนที่จะพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียในแง่มุมต่าง ๆ ให้ครบถ้วนดีแล้ว)
@@ananpinya835 หลังจากเห็นแล้วก็ช่วยมาแสดงความคิดเห็นตอบกลับด้วยนะครับ หวังว่าพี่จะให้มุมมองไหม่ๆกับผมได้จริงๆ มันถึงเป็นการ debate ไงครับเรื่อมต้นคือ ขอบคุณครับที่ประเมินผมไว้อย่างดิบดีว่าผมคงไม่เค้าใจ ช่างมัน เรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่าสำหรับข้อ 1. Point นี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยครับ การที่อ้างว่าเป็นสิทธิ์ส่วนตนก็อาจจะสร้างปัญหาให้ส่วนรวมได้จริง
@@ananpinya835 สำหรับ ข้อ 2. ผมขอถามกลับครับ พอโตขึ้นไปแล้วเหนี่ยมีกี่อาชีพที่บังคับตัดผม เท่าที่ผมรู้ก็มี ทหาร แล้ว ก็..... ตำรวจ...? ไม่ครับ ลุงผมก็ไม่ได้ตัด แล้วอีก หลายพันอาชีพที่อนาคตของชาติเราเลือกได้ล่ะครับ?กลับมาพูดถึงระเบียบวินัย ถ้าพี่พูดถึงชุดนักเรียน ผมจะไม่ว่าเลย เพราะผมเข้าใจ point ของมัน คือ หลายอาชีพมากๆที่ใส่ uniform ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ ทหาร หมอ พนักงานบริษัท การไฟฟ้า บลาๆๆ อะไรก็ว่าไป ผมจะไม่โต้แย้งอะไรเลยถ้าพี่ว่ามาแบบนี้พี่ครับ พี่เอาอะไรมาบอกว่ามันไม่เป็นปัญหา ค่าตัดผมเด็ก ป. ถึง ม.ต้น อยู่ที่ประมาณ 40 ม.ปลาย+ อยู่ที่ 80-100 ไม่เป็นปัญหา??? นั่นคืออยู่ได้ทั้งวันเลยนะครับ แล้วแบบพี่เอ้ย หัดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างเถอะครับ พี่บอกว่าเดียวผมมันก็กลับมายาวไหม่ งั้นพี่ให้ผมตัดตับของพี่ครึ่งนึงมั้ยครับ ผมจะเอาไปให้หมากิน fun fact:ตับเป็นอวัยวะภายในที่สามารถที่จะงอกไหม่ได้ ถึงแม้จะไม่เหมือนเดิมก็ตาม *ก็เหมือนผม*ไงพี่!!พี่ช่วยทำให้ผมอย่างนึง ตบหน้าตัวเองแล้วออกจากความฝันเถอะครับ อ้อๆ ให้ง่ายขึ้น อย่าลืมกลับไปดูปีด้วยนะครับ ปีนี้ไม่ใช่ 1999 นะครับพี่ครับผมบ้านจน ชีวิตไม่มีห้อยอะไรซักอย่าง ผมอยู่ห้อง gifted ของโรงเรียนประจำจังหวัด ในห้องมีลูกทหารยศพันโท ทั้งยังลูกสถาปนิกที่เป็นคนออกแบบหอโหวดของร้อยเอ็ด น่าตลกดีครับที่ไม่เคยมีใครสนเรื่องทรงผม , การแต่งกาย, เครื่องประดับ เลย หรือแม้ว่าใครมีชาติตระกูลแบบไหน บ้านรวยหรือจนพวกเค้าก็ไม่เคยจะสน แล้วก็นะ พี่ครับ แค่ผม ไม่ได้ทำให้ใครดูสูงกว่าใครได้ครับ ต่อให้คุณจน คุณก็มีผมที่ดีได้ สิ่งคุณต้องทำ มีแค่ คุณเดินไปเซเว่น หยิบยาสระผม 20(กว่า) บาท แล้วกลับบ้าน มาสระผม เอ้อ เผลอๆได้ 1 แถม 1 ด้วยเนี่ยอะครับ *ทุกคน* สระผมได้ การที่แค่ผมคุณดีไม่ได้หมายความว่าอะไรนอกจากการที่คุณดูแลตัวเองครับ อ้อครับ ใช่ๆ ผมเอาประสบการณ์ของตัวเองมาวัด ตามจริงมันไม่ควรทำอย่างงั้น แต่ๆๆๆๆ พี่เอาข้อมูลที่พี่ว่ามาจากไหนเหรอครับ ขอไม่ใช่แหล่งข่าวจาก 10 ปีก่อนนะครับ ขอร้อง พี่เคยลองมั้ยครับ การกระทำที่ว่า เอาใจเขามาใส่ใจเราน่ะครับ ขอร้องครับ ก่อนที่ลูกพี่จะไปไกล ถึงขนาดแค่ทักไปยืมเงินก็บล็อคเฟสแล้ว
เท่าที่ผมเข้าใจโดยสรุปคือ กฎของ Chesterton ต้องการจะบอกว่าการที่คิดจะทำอะไร เปลี่ยนแปลง หรือทำลายสิ่งไหน ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน ซึ่ง"ถี่ถ้วน" อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองคน บางคนมองว่าที่ตนคิดนั้นถี่ถ้วนแล้ว คิดมาดีแล้ว ยิ่งในปัจจุบันประเด็นสังคมหลากหลาย เกิดการถกเถียงมากมาย แต่ต้องยอมรับว่าในความหลากหลายและถกเถียงกันนั้น หลายครั้งเกิดจาก "ความไม่เข้าใจ" อย่างถ่องแท้ในบางเรื่องจริงๆ บางคนมั่นใจในความคิดตนสูงมาก อาจจะเพราะโลกสมัยใหม่ที่ทุกคนเข้าถึงโซเชียลได้ง่าย ข้อมูลมีอยู่รอบตัว จนทำให้ตนเองิาจจะคิดว่าตนเข้าใจเรื่องบางเรื่องไปซะหมด แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ก็ "ไม่ใช่ทุกเรื่อง" ที่ในโลกของโซเชียลหรืออินเทอร์เนต จะให้คำตอบหรือความเข้าใจได้หมดทุกแง่มุม บางคั้ข้อเท็จจริงบางอย่างก็ถูกซ่อนอยู่ในข้อเท็จจริงอีกทีหนึ่ง สุดท้ายนี้ ผมว่า กฎของ Chesterton ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงความ "ตระหนัก" ในหลายๆเรื่อง ให้ทำความเข้าใจกับมัน บางเรื่องต้องคิดถึงข้อดี-ข้อเสีย ของการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เพราะไม่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงหรือทำลายอะไร มันจะมี step ให้ต้องคิดต่อไปเสมอ แล้วสุดท้ายเราเองนั่นแหละคือคนที่ต้องรับกับสภาพและอยู่กับมันให้ได้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาในแง่ไหนก็ตาม
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดีๆครับผม
ผมมาลองคิดดีๆ คิดว่าถ้า "ให้มองหาถึงข้อดีแล้วยอมให้ทำลาย" มันแปลกๆไหม ถ้าพูดให้ถูกควรจะเป็น "ให้ดูข้อดี ข้อเสีย และสิ่งที่จะมาทดแทน พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียของสิ่งใหม่นั้นเพื่อเปรียบเทียบ" รึเปล่า
ข้อคิดเห็นส่วนตัวคือ..สิ่งที่ซ่อนอยู่มีนัยซ่อนเร้น..ภายใต้อายุ คำพูด บุคลิกบางอย่างของบางคนแลดูน่าเชื่อถือ..จนคิดว่าเป็นข้อเท็จจริง..และบางคนก็ใช้มุมมองความคิดที่เป็นข้อคิดเห็นตัดสินข้อเท็จจริง ของสิ่งที่เกิดก่อน..และพยายามทำให้ข้อคิดเห็นของคนหมู่มาก (คิดว่ามีมากแต่ความจริงไม่มากเลย) มีอิทธิพลกับคนอื่นๆ และช่วยกันทำลายกฎกติกาที่มีอยู่เดิม ที่เกิดจากคนรุ่นเก่า (จริงๆแล้วหมู่มากกว่า เช่น 60-14 = 46 ซึ่ง 46 ย่อมมากกว่า) ..ดังนั้น.. มีที่ปรึกษามากก็ปลอดภัย..และจะให้ดีกว่านั้น ที่ปรึกษาควรมีหลักธรรมะ ใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ หรือให้คำแนะนำที่ชอบธรรมด้วย..(อย่าให้กติกู 14 ..อยู่เหนือกติกา..46).. แต่เด็กมักไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดไป..มีพระวจนะพระเจ้ากล่าวว่า..จงตีสอนบุตรหลานของท่าน..อย่าจงใจให้ถึงความพินาศ..การเพิกเฉยต่อความผิดบางอย่าง อาจนำไปสู่ความพินาศ
หลังจากฟังเรื่องนี้แล้ว นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนไปเรียนเลย ถ้าถามเด็กนักเรียนว่าการตัดผมสั้นมีประโยชน์อะไร นักเรียนส่วนใหญ่ที่ต่อต้านเรื่องนี้คงตอบไม่ได้กัน หรือ ถึงแม้ว่าจะรู้คำตอบแต่ความชอบทำตามใจตัวเองก็ยังชนะอยู่ดีนะครับ
ขอบคุณครับ แล้วคุณพี่พอจะรู้บ้างมั้ยครับว่าให้นักเรียนตัดผมไปเพื่ออะไร
ข้อกำหนด : อย่าพูดเรื่องความเป็นระเบียบ หรือ อะไรเทือกๆก้น
มาดูมุมมองผมก่อน
การตัดผมของเด็กนักเรียนมันไม่ได้อะไรเลยครับ ใช่ครับ มันทำให้นักเรียนไม่มีเหา แต่ มันก็หัวนักเรียนเองไม่ใช่เหรอครับ ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ความมั่นใจสำคัญมากๆเลยนะครับ แล้วทำไมเราต้องพรากความมั่นใจนั้นออกไปด้วยล่ะครับ
ในตอนนี้ก็มีหลายโรงเรียนแล้วหนิครับ ที่เปลี่ยนมาให้นักเรียนไม่ต้องตัดผมแล้วหนิครับ ทั้งอย่างงั้นแต่นักเรียนกลับดูมีความสุขกว่าที่ที่ไม่ให้อ
ยากเห็นได้ชัด คุณพี่คิดว่าทำไมล่ะครับ ตอนนี้เปลี่ยน
@@beautifulday8515 มันก็มีข้อดีตั้งหลายข้อนะครับ แต่ดูจากที่พิมพ์มาแบบนี้แล้ว ไม่ว่าผมจะบอกข้อดีอะไรไปก็ไม่ถูกใจคุณซักข้อหรอก รับประกันได้เลยครับ แต่ไหน ๆ ก็ถามมาแล้วก็จะตอบในมุมมองเท่าที่ผมมองเห็นก็แล้วกัน 1.ทำให้นักเรียนไม่มีเหา หัวเขาเองก็จริงแต่สามารถสร้างความเดือดร้อนทำให้คนอื่นติดเหาต่อได้ ไม่งั้นคนดื่มเหล้าติดยาที่ไปก่อคดีต่าง ๆ ก็คงอ้างแบบนี้ได้เหมือนกันว่าเขาดื่มของเขาเอง ไม่ได้ไปชวนให้ใครดื่มด้วยเสียหน่อย 2.เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ทุกคนต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบ คนที่เขาวางกฎเอาไว้เขาดูแล้วว่าเรื่องทรงผมเนี้ย ขัดใจวัยรุ่นที่อยู่ในวัยกำลังรักสวยรักงาม การตัดให้เป็นระเบียบไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรมากเพราะเดี๋ยวก็ยาวขึ้นมาใหม่ได้ เหมาะแก่การนำมาใช้ในการฝึกวินัย 3.การแต่งตัวและทรงผมเป็นสิ่งที่สามารถแสดงฐานะทางการเงินที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัวได้ อาจนำมาสู่การแต่งตัวประชันความสวยงาม คนที่ไม่มีทรัพย์มาแต่งให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้อาจเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ อาจถูกกีดกันออกจากกลุ่มทำให้ไม่มีเพื่อน และ อาจมีการลักขโมยสิ่งของทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนอีกด้วย เอาแค่ 3 ข้อนี้ก็น่าจะมองเห็นภาพได้อย่างเพียงพอแล้วว่าการมีกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนได้มากแค่ไหน จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายข้อแต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เช่น ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เวลาเหงื่อออกแล้วจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรค หากนักเรียนโดดเรียนไปเที่ยวในเวลาเรียน จะเป็นจุดเด่นทำให้ตามจับกลับมาได้ง่าย เป็นต้น ส่วนคำถามที่ว่าทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปแล้ว ผมคิดว่าเป็นเพราะโลกในยุคโซเชียลมีเดียทำให้เด็กใจร้อนมากขึ้น เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจก็ไม่มีความอดทน โรงเรียนหลายแห่งจึงงดเว้นกฎเพื่อเอาใจเด็กเหล่านี้ พอเด็กเห็นถูกใจก็อยากเข้าไปเรียน แล้วโรงเรียนก็จะได้เงิน ถ้าโรงเรียนไหนไม่ปรับตาม จำนวนเด็กที่มาเรียนก็จะน้อยลง เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมพิมพ์มาซะยาวขนาดนี้ก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าโรงเรียนจะกลับไปใช้กฎแบบเดิมเพราะทุกอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หวังแค่ใครได้มาเห็นข้อความนี้แล้วอาจมองเห็นถึงสิ่งดี ๆ ที่จะหายไปจากการยกเลิกกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนเท่านั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประเด็น "Chesterton Fence" ที่เจ้าของกระทู้กำลังนำเสนออยู่แหละครับ ว่าอย่า (เพิ่ง) ทำลายสิ่งที่คุณยังไม่เข้าใจ (ก่อนที่จะพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียในแง่มุมต่าง ๆ ให้ครบถ้วนดีแล้ว)
มันก็มีข้อดีตั้งหลายข้อนะครับ แต่ดูจากที่พิมพ์มาแบบนี้แล้ว ไม่ว่าผมจะบอกข้อดีอะไรไปก็ไม่ถูกใจคุณซักข้อหรอก รับประกันได้เลยครับ แต่ไหน ๆ ก็ถามมาแล้วก็จะตอบในมุมมองเท่าที่ผมมองเห็นก็แล้วกัน 1.ทำให้นักเรียนไม่มีเหา หัวเขาเองก็จริงแต่สามารถสร้างความเดือดร้อนทำให้คนอื่นติดเหาต่อได้ ไม่งั้นคนดื่มเหล้าติดยาที่ไปก่อคดีต่าง ๆ ก็คงอ้างแบบนี้ได้เหมือนกันว่าเขาดื่มของเขาเอง ไม่ได้ไปชวนให้ใครดื่มด้วยเสียหน่อย 2.เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ทุกคนต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบ คนที่เขาวางกฎเอาไว้เขาดูแล้วว่าเรื่องทรงผมเนี้ย ขัดใจวัยรุ่นที่อยู่ในวัยกำลังรักสวยรักงาม การตัดให้เป็นระเบียบไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรมากเพราะเดี๋ยวก็ยาวขึ้นมาใหม่ได้ เหมาะแก่การนำมาใช้ในการฝึกวินัย 3.การแต่งตัวและทรงผมเป็นสิ่งที่สามารถแสดงฐานะทางการเงินที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัวได้ อาจนำมาสู่การแต่งตัวประชันความสวยงาม คนที่ไม่มีทรัพย์มาแต่งให้เข้ากับกลุ่มเพื่อนได้อาจเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ อาจถูกกีดกันออกจากกลุ่มทำให้ไม่มีเพื่อน และ อาจมีการลักขโมยสิ่งของทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนอีกด้วย เอาแค่ 3 ข้อนี้ก็น่าจะมองเห็นภาพได้อย่างเพียงพอแล้วว่าการมีกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนได้มากแค่ไหน จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายข้อแต่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เช่น ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เวลาเหงื่อออกแล้วจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรค หากนักเรียนโดดเรียนไปเที่ยวในเวลาเรียน จะเป็นจุดเด่นทำให้ตามจับกลับมาได้ง่าย เป็นต้น ส่วนคำถามที่ว่าทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปแล้ว ผมคิดว่าเป็นเพราะโลกในยุคโซเชียลมีเดียทำให้เด็กใจร้อนมากขึ้น เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจก็ไม่มีความอดทน โรงเรียนหลายแห่งจึงงดเว้นกฎเพื่อเอาใจเด็กเหล่านี้ พอเด็กเห็นถูกใจก็อยากเข้าไปเรียน แล้วโรงเรียนก็จะได้เงิน ถ้าโรงเรียนไหนไม่ปรับตาม จำนวนเด็กที่มาเรียนก็จะน้อยลง เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมพิมพ์มาซะยาวขนาดนี้ก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าโรงเรียนจะกลับไปใช้กฎแบบเดิมเพราะทุกอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หวังแค่ใครได้มาเห็นข้อความนี้แล้วอาจมองเห็นถึงสิ่งดี ๆ ที่จะหายไปจากการยกเลิกกฎเรื่องการตัดผมสั้นหรือการแต่งชุดนักเรียนเท่านั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประเด็น "Chesterton Fence" ที่เจ้าของกระทู้กำลังนำเสนออยู่แหละครับ ว่าอย่า (เพิ่ง) ทำลายสิ่งที่คุณยังไม่เข้าใจ (ก่อนที่จะพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียในแง่มุมต่าง ๆ ให้ครบถ้วนดีแล้ว)
@@ananpinya835 หลังจากเห็นแล้วก็ช่วยมาแสดงความคิดเห็นตอบกลับด้วยนะครับ หวังว่าพี่จะให้มุมมองไหม่ๆกับผมได้จริงๆ มันถึงเป็นการ debate ไงครับ
เรื่อมต้นคือ ขอบคุณครับที่ประเมินผมไว้อย่างดิบดีว่าผมคงไม่เค้าใจ ช่างมัน เรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า
สำหรับข้อ 1. Point นี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยครับ การที่อ้างว่าเป็นสิทธิ์ส่วนตนก็อาจจะสร้างปัญหาให้ส่วนรวมได้จริง
@@ananpinya835 สำหรับ ข้อ 2. ผมขอถามกลับครับ พอโตขึ้นไปแล้วเหนี่ยมีกี่อาชีพที่บังคับตัดผม เท่าที่ผมรู้ก็มี ทหาร แล้ว ก็..... ตำรวจ...? ไม่ครับ ลุงผมก็ไม่ได้ตัด แล้วอีก หลายพันอาชีพที่อนาคตของชาติเราเลือกได้ล่ะครับ?
กลับมาพูดถึงระเบียบวินัย ถ้าพี่พูดถึงชุดนักเรียน ผมจะไม่ว่าเลย เพราะผมเข้าใจ point ของมัน คือ หลายอาชีพมากๆที่ใส่ uniform ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ ทหาร หมอ พนักงานบริษัท การไฟฟ้า บลาๆๆ อะไรก็ว่าไป ผมจะไม่โต้แย้งอะไรเลยถ้าพี่ว่ามาแบบนี้
พี่ครับ พี่เอาอะไรมาบอกว่ามันไม่เป็นปัญหา ค่าตัดผมเด็ก ป. ถึง ม.ต้น อยู่ที่ประมาณ 40 ม.ปลาย+ อยู่ที่ 80-100 ไม่เป็นปัญหา??? นั่นคืออยู่ได้ทั้งวันเลยนะครับ แล้วแบบพี่เอ้ย หัดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างเถอะครับ พี่บอกว่าเดียวผมมันก็กลับมายาวไหม่ งั้นพี่ให้ผมตัดตับของพี่ครึ่งนึงมั้ยครับ ผมจะเอาไปให้หมากิน fun fact:ตับเป็นอวัยวะภายในที่สามารถที่จะงอกไหม่ได้ ถึงแม้จะไม่เหมือนเดิมก็ตาม *ก็เหมือนผม*ไงพี่!!
พี่ช่วยทำให้ผมอย่างนึง ตบหน้าตัวเองแล้วออกจากความฝันเถอะครับ อ้อๆ ให้ง่ายขึ้น อย่าลืมกลับไปดูปีด้วยนะครับ ปีนี้ไม่ใช่ 1999 นะครับ
พี่ครับผมบ้านจน ชีวิตไม่มีห้อยอะไรซักอย่าง ผมอยู่ห้อง gifted ของโรงเรียนประจำจังหวัด ในห้องมีลูกทหารยศพันโท ทั้งยังลูกสถาปนิกที่เป็นคนออกแบบหอโหวดของร้อยเอ็ด น่าตลกดีครับที่ไม่เคยมีใครสนเรื่องทรงผม , การแต่งกาย, เครื่องประดับ เลย หรือแม้ว่าใครมีชาติตระกูลแบบไหน บ้านรวยหรือจนพวกเค้าก็ไม่เคยจะสน แล้วก็นะ พี่ครับ แค่ผม ไม่ได้ทำให้ใครดูสูงกว่าใครได้ครับ ต่อให้คุณจน คุณก็มีผมที่ดีได้ สิ่งคุณต้องทำ มีแค่ คุณเดินไปเซเว่น หยิบยาสระผม 20(กว่า) บาท แล้วกลับบ้าน มาสระผม เอ้อ เผลอๆได้ 1 แถม 1 ด้วย
เนี่ยอะครับ *ทุกคน* สระผมได้ การที่แค่ผมคุณดีไม่ได้หมายความว่าอะไรนอกจากการที่คุณดูแลตัวเองครับ
อ้อครับ ใช่ๆ ผมเอาประสบการณ์ของตัวเองมาวัด ตามจริงมันไม่ควรทำอย่างงั้น แต่ๆๆๆๆ พี่เอาข้อมูลที่พี่ว่ามาจากไหนเหรอครับ ขอไม่ใช่แหล่งข่าวจาก 10 ปีก่อนนะครับ ขอร้อง พี่เคยลองมั้ยครับ การกระทำที่ว่า เอาใจเขามาใส่ใจเราน่ะครับ ขอร้องครับ ก่อนที่ลูกพี่จะไปไกล ถึงขนาดแค่ทักไปยืมเงินก็บล็อคเฟสแล้ว